บทกลอน คำคม
ความรัก…ไม่จำเป็นต้อง…
ความรัก…
ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน
ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน
ไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัว
ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดๆ
…เพียงเพื่อจะได้ครอบครอง
= = = = = = = = = = =
คนที่รักกันจริงนั้น ย่อมไม่คิดจะผูกพัน
ด้วยเงื่อนไขที่ผูกมัดเช่น แฟน หรือครอบครัว
แม้จะเป็นคนที่รักแสนรักปานใด
ก็จะไม่ยอมทำบาปและสร้างอกุศล
เพียงเพื่อได้เสพสุขที่ลวงโลกเหล่านั้น
…แต่จะคงไว้ซึ่งความเป็นมิตรที่ดี
เป็นผู้แบ่งปัน เกื้อกูล ดูแล ตักเตือน ฯลฯ
เพื่อนำพาคนที่รักนั้นไปสู่ความเจริญฝ่ายเดียว
…ผู้ที่เข้าไปผูกพันนั้น คงจะหนีไม่พ้นเหตุแห่งกิเลส
ด้วยความหลงในโลกียรส หลงในการสมสู่
หลงในการครอบครอง อยากได้เป็นเจ้าของ
หากเว้นขาดจากเรื่องเหล่านี้แล้ว
การคบหากันเป็นแฟน หรือแต่งงาน
ก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกเลยในชีวิต
ซึ่งจะคงเหลือไว้แต่ความเป็นมิตรที่ดีเท่านั้น
= = = = = = = = = = =
บทขยาย: ในบทนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ความรักที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องครอบครองด้วยสถานะใดๆที่เกินเพื่อนเลย หากเราไม่ต้องการครอบครองเขา ไม่สมสู่เขา ไม่หลงเสพสุขในกามคุณ โลกธรรม อัตตาทั้งหลายที่เขามี เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมีความสัมพันธ์ให้เกินเพื่อน
คนที่พยายามให้ความสัมพันธ์นั้นเกินเพื่อนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มันก็เป็นเพียงข้ออ้างของกิเลสที่ปั้นแต่งมาเพื่อให้ตนได้เสพสมใจเท่านั้น
คนที่หลงไปแต่งงานแล้ว ความเจริญสูงสุดที่จะมีได้ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่ สุดท้ายก็จะกลายเป็นการคบหาแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งการมีความสัมพันธ์ที่ดีนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างวิบากบาป สะสมกิเลสรายทาง ให้ต้องมารับกรรมชั่วกันทีหลัง เพียงแค่คงสถานะมิตรที่มีไว้ตั้งแต่แรกให้ยั่งยืน สุดท้ายก็จะมาบรรจบที่เดียวกันกับคู่รักที่เจริญแล้วทุกคู่
แต่คนที่คงความเป็นโสดและเป็นมิตรที่ดีจะเจริญได้มากกว่ามากนัก เพราะไม่ต้องมารับวิบากบาปจากความชั่วที่ทำมาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบำเรอกิเลสของกันและกัน การสมสู่กันและกัน การระบายโทสะแก่กันและกัน จนกระทั่งการพากันไปหลงในกิเลสต่างๆด้วยกัน พวกเขาก็ไม่ต้องรับวิบากบาปเหล่านั้นทีหลัง
นั่นหมายถึงเราสามารถพาคนที่เรารักเจริญได้มากกว่าการที่ไปคบหากันเป็นแฟนหรือแต่งงานกัน เพราะไม่ต้องมีวิบากบาปใดมากั้นขวางไม่ให้ไปสู่ความเจริญ นี้เองคือความรักที่มากกว่า เกื้อกูลมากกว่า มีปัญญามากกว่า เห็นแก่ตัวน้อยกว่า เสื่อมน้อยกว่า และทุกข์น้อยกว่าคนที่หลงไปคบหากันเป็นแฟนหรือแต่งงานกันมากนัก
– – – – – – – – – – – – – – –
2.5.2558
การมีความรัก เพื่อขัดเกลากิเลส
การมีความรัก
เพื่อขัดเกลากิเลส
ก็ตกอยู่ภายใต้กิเลส
…ตั้งแต่แรกแล้ว
= = = = = = = = = = =
การที่คนเราจะไปหลงสุขในการมีคู่ครองนั้นคงจะไม่แปลกอะไรสำหรับคนทั่วไป
แต่คนที่หันหน้ามาหาธรรม เข้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว ยังมีทิศทางที่ไปสู่การมีคู่
โดยอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ให้การมีคู่มีน้ำหนัก มีคุณค่า มีเหตุมีผล น่าได้ น่ามี น่าเป็น
เป็นพลังของกิเลสที่พาให้หลงไป ให้หลงคิดว่าวิธีเรียนธรรมของตนนั้นดีเยี่ยม
เพราะได้ทั้งเสพสุขและปฏิบัติธรรมไปในตัว เป็นความโง่สุดโง่ที่หลงไปในกิเลส
โดนกิเลสจูงให้ไปเสพโดยที่คิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้มีปัญญา สมดุลโลกและธรรม
กิเลสมันร้ายแบบนี้ มันชั่วแบบนี้ มันทำให้เราเป็นคนไร้เดียงสาที่คิดว่าตนฉลาดที่สุด
….ทั้งที่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการล่อลวงของกิเลส อยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลส
ทำให้จมอยู่ในความหลงผิด เชื่อในทางที่ผิด และเห็นทางที่ผิดเหล่านั้นเป็นทางที่ถูก
แล้วมันจะขัดเกลากิเลสได้อย่างไร ในเมื่อตนนั้นหลงอยู่ในกิเลส ขัดยังไงก็อยู่ในกิเลส
เหมือนคนที่คิดจะไปอาบน้ำขัดตัวโดยหวังความสะอาด แต่กลับลงไปขัดตัวในบ่อเก็บขี้
ขัดไปมันก็มีแต่เปื้อนขี้ปนเชื้อโรค แล้วมันจะสะอาดไหม? มันจะสุขไหม? มันจะดีไหม?
ท่านผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ก็ลองพิจารณากันดู ว่ามันจะคุ้มไหม?
มันจะได้มากกว่าเสียจริงไหม? ถ้าท่านเห็นว่าเป็นทางที่ไม่ควรก็พึงละเสีย พรากจากทางนั้นเสีย
อย่าได้เข้าใกล้ อย่าไปคลุกคลี อย่าปล่อยใจให้เผลอไปตามกลลวงของกิเลสที่คอยยั่วเย้า
แล้วเพียรพิจารณาให้เห็นโทษภัยตามความเป็นจริง ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้กันเถิด
– – – – – – – – – – – – – – –
2.5.2558
เมื่อรักนั้นคือความหลง ก็เหมือนคนติดยาเสพติด
เมื่อรักนั้นคือความหลง
ก็เหมือนคนติดยาเสพติด
มีให้เสพก็มีความสุข
พอไม่ได้เสพก็ทุกข์ทรมาน
= = = = = = = = = = =
โดยทั่วไปแล้ว…
คงยากที่ใครจะยอมรับว่า..ตนเองนั้นหลง
แต่ความจริงก็จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง
คู่รักที่ยังดูแลเอาใจใส่แก่กันและกัน
ก็จะดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังมีความสุขดี
แต่พอคนใดคนหนึ่งลดการเอาใจใส่ ด้วยเหตุใดก็ตาม
อีกคนก็จะเกิดอาการทุกข์ในจิตใจขึ้นมาทันที
….
นี่คือความเสพติดความรักเพราะความหลง
พอได้เสพมันก็หลงว่าเป็นสุข
แล้วยึดสุขนั้นไว้ว่าต้องได้เสพตลอด
ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากความสุข
ใครที่นำความสุขนั้นออกไปจากชีวิตฉัน
ก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับฉัน…
…โดยไม่สำคัญว่าคนนั้นจะเป็นใคร
เคยเป็นคนที่ฉันรักที่สุดหรือไม่
เคยเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ฉัน
เคยเป็นคนที่ช่วยเหลือฉันเมื่อทุกข์ใจ
แต่ถ้าวันนี้เธอพรากความสุขของฉันไป
เราจะกลายเป็นศัตรูกัน!!
….และนี่เองคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คู่รักทะเลาะกัน
แท้จริงแล้วความหลงก็คือความเห็นแก่ตัวดีๆนี่เอง
มันมาในภาพที่สวยหรูที่เรียกว่าความรัก
สุดท้ายแล้วก็หวังจะให้คนอื่นมาบำเรอตนเท่านั้นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
16.4.2558
ทุกข์ของคนอยากมีความรัก
ทุกข์ของคนอยากมีความรัก
ก็คือ “ความอยาก” มีความรัก
= = = = = = = = = = =
ความอยากมีความรักนั้นเหมือนคำสาป
ทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด
ใครที่เผลอตัวเข้าไป ก็มักจะหลงทาง
ทั้งที่ทางออกนั้นก็คือทางเข้า แต่กลับมองไม่เห็น
พากันแก้ปัญหาความรักด้วยการแสวงหามาเติมให้เต็ม
ยิ่งแก้ก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งแก้ก็ยิ่งหลง ยิ่งแก้ก็ยิ่งไกล
หาคนนั้น หาคนโน้น ชอบแบบนั้น ชอบแบบนี้
ปรึกษาคนนั้น ปรึกษาคนนี้ ตามหาศิราณีไปทั่ว
พบรัก สมหวัง คบหา เลิกรา เป็นอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว…
วิธีแก้ปัญหาความรักมันก็ไม่ได้หายากอะไรมากมาย
มันก็แก้กันที่ “ความอยากได้อยากมี” เท่านั้นเอง
…
การแก้ปัญหาความอยากได้รับความรัก
ไม่ได้ง่ายเพียงแค่กดข่มใจให้ “ไม่อยาก”
แต่เป็นการค้นให้ลึกลงไปถึงรากของปัญหา
คือเรา “อยาก” ได้รับอะไรจากความรัก
เราอยากได้ อยากมี อยากเสพอะไร
เราต้องการสิ่งใดหนอ ที่ทำให้เราต้องลำบาก
ที่ทำให้เราต้องทนทุกข์กับการแสวงหาความรัก
– – – – – – – – – – – – – – –
16.4.2558