ความรัก
เมื่อฉันเสพติดความรัก
เมื่อฉันเสพติดความรัก
ฉันได้จ่ายสิ่งที่เรียกว่าความรักของฉันให้เธอไปแล้ว
เธอจะต้องอยู่กับฉัน ต้องตามใจฉัน ต้องรู้ใจฉันต้องเข้าใจฉัน
ต้องฟังฉัน ต้องให้อภัยฉัน ต้องเสียสละเพื่อฉัน ต้องไม่ทิ้งฉันไป
…ฯลฯ…
ถ้าเธอไม่ทำ ไม่อยากทำ ไม่ยอมทำ หรือทำไม่ได้อย่างที่ฉันหวัง
ฉันก็จะผิดหวัง เสียใจ ร้องไห้ โวยวาย คลุ้มคลั่ง เหมือนกับคนเสียสติ
=================
คนที่มีคู่รักนั้นก็เหมือนกับคนที่เสพติดความรัก ต้องคอยเสพสุขจากคู่ของตน เป็นทาสคู่ของตน ต้องคอยดูแลเอาใจเพื่อที่จะได้เสพสุขในมุมที่ตนนั้นรู้สึกชอบใจ
เมื่อได้เสพก็เป็นสุข พอเป็นสุขก็ยิ่งจะติดในสุขนั้น อยากเสพมากขึ้นอีก ไม่อยากให้ลดลง ไม่อยากให้ขาดหายไป แต่เมื่อถึงวันที่หมดโอกาสได้เสพสุขนั้น จิตใจก็จะดิ้นทุรนทุราย เหมือนปลาขาดน้ำ อยากได้อยากเสพสิ่งที่เข้าใจว่าความรัก
หากเกิดอาการไม่ได้ดั่งใจแล้ว แม้เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ถึงแม้จะพยายามควบคุมอารมณ์กดข่มตัวเองไว้ แต่ก็ยังมีการสะสมเชื้อทุกข์ไว้ เก็บกดจดจำความแค้นต่อไปอีก ครั้งที่หนึ่งพอไหว ครั้งที่สองยังกลั้นใจให้อภัย แต่พอครั้งที่สาม ไม่ไหวแล้วเว้ย!! ทำไมถึงไม่ทำอย่างที่ใจฉันหวัง, ทำไมไม่เหมือนเดิม, ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้…ฯลฯ ..!!
ก็จะเริ่มเรียกร้องโดยเอาความรักของตนเป็นหลักยึดว่าตนนั้นให้มากกว่า แต่อีกคนไม่สนองเท่าที่ตนให้ไป เข้าใจว่าจ่ายไปแล้วต้องได้รับกลับมา เป็นความรักที่มุ่งแต่จะเอา ยังเป็นรักที่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนอยู่ ยังไม่ใช่รักที่เสียสละ ยังเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง
ถ้าคู่รักมีความสามารถในการบำเรอกิเลส ก็อาจจะสามารถครองคู่กันได้นานจนตายจากกัน แต่ถ้าไม่สามารถสนองกิเลสของคู่ได้ก็จะต้องเจอปัญหา ใครที่แก้ปัญหากำไรขาดทุนของการสนองกิเลสได้ทันก็จะสามารถดำรงสภาพคู่ต่อไปได้ แต่ใครที่แก้ปัญหาไม่ได้ ปล่อยให้คนหนึ่งลงแดงจากอาการเสพติดความรัก สุดท้ายรักนั้นก็จะกลายเป็นยาพิษ เปลี่ยนคนรักให้เป็นศัตรู เปลี่ยนคนคุ้นเคยให้เป็นคนแปลกหน้า เปลี่ยนคนบ้าให้เป็นคนพาล
– – – – – – – – – – – – – – –
22.5.2558
ความรักกับเด็กอยากได้ของ
นึกขึ้นมาได้ ลองเอามาเปรียบเทียบกันดู ตอนที่เด็กอยากได้ของเล่นนี่จะพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้มา พ่อแม่ไม่ให้ก็งอแงจะเอา หลากหลายเหตุผลที่คิดขึ้นมาได้ พร้อมกับแสดงลีลา งอน ประชด เหวี่ยงเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา…ก็เหมือนคนอยากมีคู่นั่นแหละ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เสพ ถ้ามีใครมาห้ามหรือมาเห็นแย้งก็ไม่อยากฟัง
ถ้าได้มาก็มีสองอย่างหนึ่งคือสุขแป๊ปๆแล้วก็เบื่อ เลิกเล่น อยากได้ของใหม่ หรืออีกอย่างคือยึด เหมือนกับตุ๊กตาเน่าๆ ที่ทั้งเหม็นและเก่า แต่ไม่ยอมให้ใครแย่งไป ไม่ยอมห่าง ยึดไว้อย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องจากกันไปอยู่ดี
พอโตแล้วก็ไม่ไปซื้อหรือเล่นของเล่นเหมือนเด็กๆอีก เพราะไม่ได้มีความพอใจในสิ่งเหล่านั้นแล้ว เปลี่ยนไปอยากได้สิ่งอื่นแทน แต่ก็ยังเข้าใจว่าเด็กทุกคนต้องเล่นของเล่น ต้องอยากได้ของเล่น
ก็เหมือนกับความรัก พอมีอายุมากขึ้นผ่านความรักในมุมคนคู่มาได้ แม้ตนเองจะไม่อยากไปมีคนรักแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปัญญาเห็นโทษของความอยาก ยังเห็นว่าความรักในมุมของการมีคู่นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้
ความเบื่อในความรักเมื่ออายุมากนี้เองเรียกว่าการเบื่อหน่ายแบบทั่วๆไป ไม่ต้องปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมีปัญญามากขึ้น มันก็เกิดขึ้นได้เอง เป็นเรื่องสามัญ เป็นธรรมชาติของโลก ซึ่งความอยากนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่มันเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปเสพอีกเรื่องหนึ่งนั่นเอง
สรุปแล้ว…ความอยากก็ทำให้เราเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้เดียงสา แต่ความไม่อยากนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่
เด็กในมุมของธรรมะนั้นคือผู้ที่ยังมัวเมาอยู่กับกิเลส ส่วนผู้ใหญ่นั้นคือผู้ที่ปลดเปลื้องกิเลสได้อย่างแท้จริงแล้ว
ความรักต้องการความหวาน
คนมีความรักต้องหมั่นคอยเติมความหวานกันบ่อยๆ
เพราะรักที่เปี่ยมล้นไปด้วย”กิเลส”นั้นเสพไม่เคยพอสักที
– – – – – – – – – – – – – – –
22.5.2558
ประสบการณ์ความรักโลกไม่สวย
ภาพความคิดเห็นจากในเพจ ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ได้อ่านความคิดเห็นที่โพสเข้ามา ข้อความเพียงสั้นๆที่ตอกย้ำให้เห็นว่าความไม่เที่ยงนั้นมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ
สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าจะใช่ วันหนึ่งมันกลับไม่ใช่ มีคนจำนวนหนึ่งได้ทดลองไปพิสูจน์สิ่งนั้น และนำประสบการณ์อันแสนจะเจ็บปวดที่มีค่าให้ผู้อื่นได้ศึกษากัน
….ลองอ่านดูก่อนนะ
….ลองเปิดใจยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่แม้เขาจะไม่มาบอก มันก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆในสังคมอยู่ดี
….ลองสังเกตุดูว่าตนเองยอมรับความจริงนั้นได้ไหม หากวันหนึ่งจะต้องเกิดกับตน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ จะเป็นอย่างไร จะดีกว่าไหมถ้าไม่รับเขาเข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก
….แต่ถ้ารู้สึกประมาณว่า ฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้หรอก, ฉันจะต้องทำให้ดีกว่านี้, ฉันจะเรียนรู้ความรักไปพร้อมกับการแก้ปัญหา ,ฉันเป็นคนดีต้องได้เจอสิ่งที่ดี, แม้แต่การบอกว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน แล้วไม่สนใจศึกษาเรื่องของผู้อื่นเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้เสพโดยไม่ต้องกังวล
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเจอวิบากกรรมแบบไหน ผลของกรรมชั่วทั้งหลายก็มักจะมาในรูปแบบที่ยั่วยวนให้เสพทั้งนั้น อาจจะมีมารในร่างเทวดาเข้ามาในชีวิตก็ได้ ใครจะรู้… อาจจะหนักกว่าคนอื่นเขาก็ได้นะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการโลกสวย มันก็เกิดจากอัตตา ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันเยี่ยมยอดนั่นแหละ มันจะมองเห็นคนอื่นด้อยไปหมด โดยเฉพาะคนหน้าตาดี มีฐานะ มีชื่อเสียงก็จะยิ่งประมาทมาก เพราะเข้าใจว่าจะใช้สิ่งที่ตนมีเหล่านั้น มัดใจอีกฝ่ายได้ตลอดกาล เพราะตนมีสิ่งเหล่านั้นที่เหนือกว่าคนอื่น จึงคิดว่าตนจะต้องไม่มีทางผิดหวังช้ำรักเหมือนคนอื่นๆแน่นอน…..กิเลสมันก็ พาให้คิดไปเองแบบนี้ละนะ