คนพาล
บอกเล่า : ชุดบทความคนพาล (จบ)
ก็คิดว่าบทความเกี่ยวกับเรื่องคนพาลตามที่ได้คิดไว้ก็น่าจะจบลงที่เสวิสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่มีการอนุโลมในการช่วยคนอยู่ ก็เรียกว่าเหมาะจะเป็นตัวจบ
เพราะตามโลกมันก็ต้องหลงไปคบคนพาลก่อน > แล้วก็ต้องพัฒนา ออกห่าง ไม่คบคนพาล > ล้างความชิงชังในคนพาล > แล้วก็ล้างความยึดมั่นถือมั่น ไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นอีกทีนั่นแหละ ที่เหลือก็จะเรียนรู้จากความพลาดไป ปรับถอยเข้าถอยออกไป หาจุดที่เป็นกุศลอาศัย
มันจะวนแบบงง ๆ ก็อาจจะมีคนสงสัย ว่าแล้วหลุดพ้นแล้วทำไมยังกลับมาอีก บางทีมันก็อธิบายยาก แต่ก็ยังดีที่มีคำว่า “พระโพธิสัตว์” คือผู้ที่ปัญญาพ้นจากความหลงแล้วกลับมาช่วยคนหลงนั่นเอง
แต่ที่พิมพ์กันหนัก ๆ เพราะว่าส่วนใหญ่ในสังคมเขาก็จะหลงไปคบคนพาลนั่นแหละ บางทีตั้งใจไปปฏิบัติธรรม ไปทำดี ยังพลาดไปคบคนพาล ไปเชื่อใจคนพาลได้เลย
แล้วโทษภัยนี่เขามีมาก อย่าไปเผินว่ามีโทษน้อย เป็นทุกข์น้อย เพราะจริง ๆ เป็นภัยมาก อันตรายเหมือนงู เหม็นเหมือนบ่อขี้ ยังไงก็อย่างนั้น
พระพุทธเจ้ายังตรัสว่าการไม่คบคนพาล เป็นมงคลในชีวิต “เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ”
แต่ยุคนี้ยากมาก พลังความดีน้อย คนทำดีน้อย มงคลสูตรนี้มี 38 ประการ 3 ข้อแรกเปรียบเสมือนประตู แต่มาเจอข้อแรกก็ยากแล้ว เหมือนสะดุดขอบทางเดินก่อนเข้าประตูยังไงอย่างงั้น
เหมือนสัมมาทิฏฐิ ถ้าความเห็นผิด ที่เหลือจะผิดทั้งหมดเลย ปัญหาคือเขาก็แปะป้ายว่าสัมมาฯ กันหมดทั้งบ้านทั้งเมืองนั่นแหละ ไม่มีสำนักไหนที่จะแปะป้ายว่าตนเป็นสำนักมิจฉาทิฏฐิสักสำนัก
แล้วก็ปฏิบัติต่างกัน ความเห็นต่างกัน ไม่ไปทางเดียวกัน แต่ขึ้นป้ายสัมมาฯ เหมือนกัน คนเขาก็หลงกันไปตามภูมิล่ะทีนี้ ใครมีทุนเก่ามากก็เจอที่ถูก ใครทำบาปมามาก็เจอที่พาหลง คือไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นโลภ โกรธ หลง กลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว ฯลฯ
ถ้าไม่คบคนพาลแล้วเข้าใกล้บัณฑิตไปปฏิบัติบูชานะจะเจริญได้ไวเชียวล่ะ เพราะถ้าทิศทางถูกก็เหลือแต่ความเร่ง ก็เร่งให้เต็มที่ ปฏิบัติธรรมให้เต็มกำลัง ! อ่านแล้วดูดี
ให้นึกภาพรถแข่งที่กำลังเร่งเครื่อง รอสัญญาณปล่อย พอได้สัญญาณแล้วทุกคันก็พุ่งกันไปเต็มที่เลย พุ่งทะยานสุดแรงเกิด แต่ภาพก็คือไปคนละทิศละทาง
8 ทิศก็ว่ายังน้อยไป เรียกว่าไปกันแทบทุกองศาเลยก็ว่าได้ นั่นแหละคือผลของการคบคนพาลในปัจจุบัน ซึ่งจริง ๆ ทางพ้นทุกข์ก็มีทางเดียวนั่นแหละ มรรค 8 ก็มีปฏิบัติแบบเดียว แต่คนเขาก็เข้าใจว่าเขาไป มรรค 8 มีรถ 360 คัน ไป 360 องศา ก็ไปมรรค 8 ทุกคัน
ก็เร่งปฏิบัติกันไป สุดท้ายเดี๋ยวไม่พ้นทุกข์ ก็ต้องเลิกอยู่ดีนั่นแหละ สุดท้ายแล้วเขาก็จะซึ้งใจ ว่าคบคนพาลนั้นพาฉิบหายแบบนี้นี่เอง
น้ำหนักของความรู้สึกในการห่างไกลคนพาล
จากชิคุจฉสูตร จะมีตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเปรียบโทษของการเข้าไปคบหา เข้าไปชิดใกล้คนพาล มีความเน่าในตน ผิดศีล ฯลฯ ว่าเหมือนกับการเข้าไปใกล้งูที่อยู่ในบ่อขี้ แม้ไม่กัดแต่ถ้าไปใกล้ก็จะทำให้เหม็นได้
คนทั่วไปถ้าไม่ได้ศึกษาและปฏิบิติธรรม เขาจะไม่เข้าใจน้ำหนักที่ควรจะห่างไกลคนพาลเหล่านี้ เขาก็คิดว่าไม่เป็นโทษขนาดนั้นล่ะมั้ง ไม่อันตราย ไม่ถึงขนาดต้องห่างไกลหรอกน่า หรือไม่ก็ทำเป็นไม่รู้จัก ไม่สนใจความเป็นภัยของคนพาลไปเลย
การที่พระพุทธเจ้าจะยกอะไรขึ้นมาเปรียบเทียบนั้น ท่านก็มักจะยกสิ่งที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกันเพื่อเปรียบเทียบให้รู้สึก ให้เข้าใจ ให้พอเห็นภาร่วมกันได้ง่ายขึ้น
คนพาลนั้นก็เหมือนกับงูในบ่อขี้ ทั้งอันตราย ทั้งเหม็น แม้ไม่กัดแต่มาเข้าใกล้ก็เหม็น มงคลสูตรที่ว่า ห่างไกลคนพาลนั้น คือต้องมีปัญญาเข้าถึงสภาวะว่าคนพาลเป็นโทษดังนี้ คือเหมือนความอันตรายของงู และเหม็นเหมือนขี้
รู้สึกอย่างไรกับงู ก็รู้สึกกับคนพาลนั้นใกล้เคียงกัน คืออันตราย เป็นภัย ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าเข้าไปยุ่งใด ๆ แม้มันจะมีหรือไม่มีพิษ หรือแม้จะกัดหรือไม่กัดก็ตาม คนทั่วไปเขาก็จะไม่อยากเข้าไปใกล้งู อันนี้คือสภาพจิตของคนที่คนใจภัยของคนพาล ก็จะห่างคนพาลไว้ เพราะพิษภัยอันตรายเหล่านั้น
ส่วนบ่อขี้ หรือขี้นี่ก็เป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่รังเกียจอยู่แล้ว ยิ่งงูตกถังขี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะปกติขี้มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น จะเหม็นโชยขึ้นมาก็เพราะมีอะไรไปเขี่ยหรือทำให้ขยับ แต่ถ้ามีงูไปตกถังขี้แล้วเลื้อยมาทางเรา ก็คล้าย ๆ จะกลายเป็นขี้เดินได้ ทั้งอันตรายทั้งน่ารังเกียจ
ความเห็น ความเข้าใจและชื่อเสียงที่ไม่ดีของคนพาลเช่นกัน ก็เหมือนกับขี้นั่นแหละ คนทั่วไปรังเกียจอย่างไร กับความเน่าในของคนพาลก็มีน้ำหนักเท่านั้นเช่นกัน
ถ้าเห็นความพาลในคนพาล เห็นการโทษของการผิดศีลในคนผิดศีล เห็นความเน่าในตนของคนเสแสร้งได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจริง ๆ จะเข้าใจน้ำหนัก ว่าควรจะรักษาระยะห่างในการคบหาเท่าไหร่จึงจะดี ควรจะห่างไปไกลเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย
มันก็เป็นเรื่องง่ายที่เข้าใจได้ยากมากถึงยากที่สุด เพราะคนพาลนั้นรู้ไม่ได้ง่าย ๆ ส่วนมากก็จะเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดี หลอกคน ถึงขนาดว่าขี้ที่เปื้อนก็ยังเป่ามนต์ให้หอมได้ เป็นของวิเศษได้ แบบนั้นก็มีเหมือนกัน
แต่บางคนเขามีวิบากกรรมที่ต้องหลง เพราะเคยไปส่งเสริมมามาก มีกรรมก็ต้องรับกรรม แต่เมื่อรู้แล้ว ชัดแล้ว เห็นความเป็นพาล เห็นความผิดศีลเน่าในแล้ว ก็ควรจะถอยห่างออกมา
คนทุศีล เน่าใน น่าห่างไกลที่สุด
จากบทความที่ยก ชิคุจฉสูตร มาอธิบายก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า คนทุศีล หรือคนที่ผิดศีล แล้วไม่เปิดเผย ปิดบัง โกหก หลอกลวงผู้อื่นว่าตนเองปฏิบัติดี นั้นร้ายยิ่งกว่า คนขี้โกรธ ขี้งอน ขี้น้อยใจ ฯลฯ (แต่ก็ควรจะห่างไว้เช่นกัน)
ถ้าเราวิเคราะห์ ในประโยคที่ว่า “ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารีบุคคล แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีบุคคล เน่าในภายใน ”
เราจะรู้เลยว่าคนพาลเช่นนี้ ร้ายสุดร้าย เพราะเบื้องหน้าเราจะไม่รู้เลย คบกันแรก ๆ เราจะไม่รู้จักเขาเลย เพราะเขาเน่าใน มันจะมองไม่เห็นได้ง่าย ๆ แถมเขายังแสร้งให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาปฏิบัติดีและเขาตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์
นี่คือเหตุที่ผมพยายามจะขยายเรื่องคนพาลให้ละเอียดขึ้นในช่วงนี้ เพราะถ้าเจอคนน่าเกลียดเช่นนี้ จะต้องเสียเวลามาก ตั้งแต่เวลาไปคบหาเขา เวลาเชื่อเขา ดีไม่ดีไปสนับสนุนเขาอีก
ทั้งหมดนั้นเพราะเรายังไม่มีปัญญา ภูมิธรรมไม่ถึง ดูเขาไม่ออก ยกตัวอย่างเช่น กรณีเณรคำ ไม่ธรรมดานะ หลอกคนได้ตั้งเท่าไหร่ คนเขาก็เชื่อนะ ใช่ว่าคนจะยอมมอบเงินมอบศรัทธากันให้ง่าย ๆ เขาก็แสวงหาคนดีมีศีลที่เขาจะสนับสนุนนั่นแหละ แต่สุดท้ายเขาก็โดนหลอกไง คือคนพาลเนี่ย เขาจะเนียนสุดเนียนเลย บางทีพูดธรรมะ 95% แทรกกิเลสที่ตนอยากเสพไปอีก 5 % เอากำไรนิดหน่อย ทำให้เพี้ยนไปทีละนิดละหน่อย แต่พูดทุกวัน มันก็ได้เยอะ
คนพาลเขาก็ใช้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่แหละมาหากิน สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็มีการชำระนักบวชทุศีลที่เข้ามาปลอมปนมาเสพผลประโยชน์ในศาสนาพุทธออกไปเยอะ แต่ยุคนี้ไม่มีกิจกรรมนั้น ดังนั้นเราก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้เพื่อที่จะรู้ให้ทันคนพาล
เพราะเวลาในชีวิตเราสำคัญมาก บางคนเทไปให้คนผิด 1 ปี 5 ปี 10 ปี เสียไปแน่ ๆ คือเวลา แรงกาย ทรัพย์สิน โอกาส และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่วิบากกรรมไม่ใช่จบแค่นั้น เราหลงสนับสนุนคนพาล คนชั่ว คนทุศีลไปเท่าไหร่ เราต้องรับผลแห่งความเห็นผิดเหล่านั้น เขากิเลสโตเพราะเราสนับสนุน เขาไปหลอกคนได้อีกมากมายเพราะเราสนับสนุน คนหลงและไม่พ้นทุกข์เพราะเราเป็นหนึ่งในแรงผลักดันคนพาล เราต้องรับวิบากนั้น มันหนีไม่ได้
ดีที่สุดคือห่างไกลคนพาล ไม่คบคนพาล ไม่สนับสนุนคนพาล แต่ปัญหาคือคนพาลดันแสร้งว่าเป็นบัณฑิตเสียอีก แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้ ปลอมซะเหมือนเลย รูปนอกตรวจไปก็ใช่ ธรรมะพูดมาค่ารวม ๆ ก็ใช่อีก มันจะไปทางไหน ก็มีแต่หลงกลเขาเท่านั้นแหละทีนี้
ถ้าไม่มีคนมาคอยชี้นี่จบเลย จริง ๆ ผมหูตาสว่างได้ก็เพราะศึกษาตามครูบาอาจารย์ ไม่งั้นต้องหลงไปนาน แล้วยังมีความหลงสนับสนุนคนพาลไปเป็นลำดับด้วยนะ มันจะหลุดเป็นลำดับจากการที่เรามีปัญญามากขึ้น
หลุดแล้วยังไงล่ะ พอมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคนพาลก็เลิกคบนั่นแหละ เพียงแต่พอเห็นปริมาณกรรมที่เคยไปสนับสนุนเขาไว้ มันทำให้รู้สึกว่า เราควรจะเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปนะ คือสื่อสารโทษภัยของคนพาลนี่แหละ ไม่งั้นพลาดไปมันจะหนัก และนานมาก ก็น่าจะทำให้ผู้อ่านได้ตรึกตรองและทำตนให้พ้นภัยไปได้บ้าง
สนับสนุน คบหา เข้าใกล้คนพาลมีแต่เสียกับเสีย ประโยชน์ตนก็เสีย ประโยชน์ท่านก็ไม่มี เพราะคนพาลไม่ใช่เนื้อนาบุญ สนับสนุนไปก็กิเลสเพิ่มอีก มีแต่ความเดือดร้อนรออยู่
ดังนั้นจะคบใครอย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อ อย่าเพิ่งรีบลงแรงลงใจ ถ้าจะลงก็ดูศีลดูธรรมหน่อย ดูว่าเขาตั้งใจลดกิเลสไหม เขาลดโลภ โกรธ หลงได้แค่ไหน เขาพูดไปในทางลดหรือเสริม หรือไม่สนใจในการล้างกิเลส หรือดูกันไปนาน ๆ ผ่านไปปีหลายปี ดูพัฒนาการของเขาในการลดกิเลส ดูกลุ่มสังคม ดูเพื่อนของเขา ดูกิจกรรมของเขา ก็จะพอเห็นความจริงได้
แต่ถ้าดีที่สุด ก็ลองปฏิบัติตามแนวคิดของเขาดู ถ้าพ้นทุกข์ พ้นกังวลหวั่นไหวในเรื่องใด ๆ ขึ้นมาตามที่เขาสอน ก็ค่อยสนับสนุนเขาก็ยังไม่เสียหาย เพราะศาสนาพุทธเขาสอนกันฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว
ดังนั้นก็ไม่ควรรีบปักใจไว้ที่ใคร เพราะเหตุต่าง ๆ เช่น เขาว่ากันมาว่า… เขาพูดถูกตามหลักฐาน เขาพูดเหมือนที่เราคิด … ฯลฯ (ศึกษาต่อได้ที่ “กาลามสูตร”) ควรจะเอามรรคผลของตัวเองเป็นหลัก ถ้าปฏิบัติตามแล้วพ้นทุกข์ได้จริง ก็ค่อยหันไปสนับสนุนท่านเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังก็ยังไม่สาย
คนพาลที่ไม่รู้จักคนพาล
ยิ่งได้ศึกษาจากพระไตรปิฎก ก็จะยิ่งได้เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านได้แจกแจงความเป็นคนพาล ในระดับต่าง ๆ ไว้ เช่นระดับที่น่าเกลียด ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้ หรือแย่น้อยลงมาคือควรวางเฉย คือไม่ควรไปยุ่งนั่นแหละ ก็ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้เช่นกัน
คนที่ปฏิบัติธรรมจนชัดเจน จะสามารถเห็นคนพาลได้ชัดเจน เพราะถ้าตนเองได้ล้างความพาลมาแล้ว ก็จะเห็นความพาล รู้จักความพาล ดังนั้น การเห็นความพาลในคนพาล จึงเป็นผลอย่างหนึ่งของการปฏิบัติ จะเห็นลีลาอาการวาทะที่บ่งบอกถึงความพาล หรือที่เรียกกันว่าตาทิพย์หูทิพย์
ตาทิพย์ หูทิพย์ของพุทธนั้นไม่ใช่ตาที่เห็นผี เห็นเทวดา อันนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ หูทิพย์ก็ไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงแปลก ๆ เสียงไกล ๆ เสียงใกล้ ๆ
แต่ตาทิพย์ หูทิพย์นั้นคือฟังชั่นหนึ่งของปัญญา ที่สามารถจำแนกความเป็นทิพย์และความเป็นพิษที่มีอยู่ในโลก นั่นคือสามารถแยกความเป็นบัณฑิตและคนพาลได้ แยกความเห็นที่ถูกออกจากความเห็นที่ผิดได้ ผ่านการรับรู้ด้วยการมองเห็นและการได้ยิน
ผู้ที่เป็นบัณฑิตจะเห็นคนพาลเป็นคนพาล เห็นบัณฑิตเป็นบัณฑิต ส่วนคนพาล จะไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้จักบัณฑิต ไม่รู้จักคนพาล ดีไม่ดีก็เดามั่วเอา หรือไม่ก็เล่นคำเล่นวาทะพางงไปอีก
สรุปเลยว่าคนที่ยังล้างความพาลในตนไม่ได้ จะไม่เห็นคนพาลชัดเจน ไม่รู้จักคนพาลหรอก เพราะแค่พาลที่สิงในตัวเองยังไม่รู้จักเลย ดังนั้นข้างนอกที่ไกล ๆ เป็นอื่นไปจากตัวเรา ยังไงก็มองไม่ชัด รู้ไม่จริง ได้แค่เดาเอา และส่วนมากจะเดาผิดเพราะตนเองไม่มีภูมิธรรม
พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้แจ้งในความเป็นพาล จึงสามารถแจกแจงลีลาอาการของคนพาลไว้ชัดเจน แถมยังสอนให้ห่างไกลคนพาลด้วย คนจะเจริญได้ก็ต่อเมื่อห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต บูชาผู้ที่ควรบูชา
เป็นองค์ประกอบของการปิดทางชั่ว รู้จักสิ่งดี และปฏิบัติตามสิ่งดี ถ้าไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรชัดเจน วิถีแห่งการปฏิบัติก็จะมัว ๆ มั่ว ๆ ไปตามนั้นด้วย
ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็จะเริ่มยกระดับการพิมพ์บทความเกี่ยวกับคนพาล โดยอ้างอิงพระไตรปิฎก เริ่มจากชิคุจฉสูตร (เล่ม 20 ข้อ 466) ถ้าได้ศึกษาแล้วรู้จักแยกแยะคนพาลออกจากชีวิตได้ ก็เป็นความเจริญ ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้แล้วพาให้เกิดความรู้แจ้งทั้งโลกุตระและโลกียะไปด้วยกัน เติมเต็มปัญญาให้ปรากฏทั้งรูปทั้งนามไปด้วยกัน