คู่มือคนโสด
มีคู่ดี หนียาก พ้นทุกข์ยาก
วันก่อนพิมพ์บทความเกี่ยวกับความผาสุกของคนที่มีคู่ดีเมื่อเทียบกับคนโสด วันนี้จะมาบอกโทษของการมีคู่ที่ดี เป็นคนดี นิสัยดี ฯลฯ
การมีคู่ดี ก็เป็นเรื่องที่คนในโลกส่วนมากใฝ่หาอยู่แล้ว ใครล่ะจะอยากมีคู่ไม่ดี เขาก็อยากมีดี ๆ กันทั้งนั้น เหมือนอาหาร เขาก็อยากกินแต่ของอร่อย ใครมันจะไปอยากกินของไม่อร่อย ความอยากมันก็แบบนี้ มันจะเสพมาก เอามาก เป็นภพที่ฝังวิญญาณอยู่ สะกดไม่ให้ได้ออกไปไหน
แต่โทษภัยในคู่ดีนั้นยิ่งล้ำลึกออกยาก เรียกว่าถ้าคนจะประพฤติตนเป็นโสดแล้วดันมาเจอคู่ดี ถ้าไม่มีปัญญาจริงก็เรียกว่าไปไม่เป็นกันเลย คือไปไหนไม่รอด ต้องจมปลักอยู่กับความดีของเขา
เพราะคู่ไม่ดี คู่ชั่ว ผิดศีลกันชัด ๆ นี่เขาก็มีโทษมาก มีเหตุผลให้ออกได้ง่าย ๆ แต่เชื่อไหม แม้จะมีคู่ชั่ว ผิดศีล คบชู้ นอกใจ ใช้ความรุนแรง หลายคนก็ยังออกไม่ได้เลย เขาชั่วอยู่ชัด ๆ ก็ยังออกไม่ได้เลย ด้วยความหลงสุขบ้าง หลงทรัพย์จากเขาบ้าง ไม่มีอำนาจเหนือเขา ต้องยอมอยู่ภายใต้การผิดศีลเบียดเบียน
ไม่ต้องคิดเลยว่าคู่ดีจะออกยากขนาดไหน มันจินตนาการไม่ออกเลยที่จะทิ้งคนที่ดีพร้อมตามที่เราต้องการ ยิ่งดีเหนือคนอื่น อัตตามันจะยิ่งโตไปกันใหญ่ จะยิ่งภูมิใจ ยิ่งยึดมาก
ที่ยึดมากเพราะเราไปให้คุณค่าเขาไว้เอง คือเขาดี มันก็ดีของเขา แต่เราไปเอาดีของเขามาเป็นของเรา มันก็จะให้ความสำคัญกับเขา แล้วมันก็จะไม่ยอมพราก เพราะเข้าใจว่าคู่ดีมีศีลคือสิ่งสำคัญ เป็นของหายากในโลก
โทษของคู่ดีก็คือผูกเราไว้ในนรกนั่นแหละ จะว่าคู่ดีมันทุกข์น้อยกว่าคู่ไม่ดีมันก็ใช่ แต่มันยังทุกข์มากอยู่ เมื่อเทียบกับสถานะดี ๆ อีกมากมาย
ก็เหมือนนางวิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ 7 ขวบ แต่จนโตก็ตันอยู่ที่โสดาบัน เพราะหลงในความรัก คู่ครอง ครอบครัว มันก็ตันอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า เทศน์ให้ฟัง ให้ก้าวขึ้นมาจากความทุกข์ ให้ออกมาจากนรก ก็ไม่ได้มีสัญญาณใด ๆ ว่าพยายามจะขึ้นมา
หลักฐานจากพระไตรปิฎกก็มีอยู่แค่นี้ คือได้สอน แต่ไม่มีบทบรรยายว่าได้ฟังแล้วบรรลุธรรมหรือร่าเริงในธรรมเหมือนท่านอื่น ๆ ก็สรุปความได้ว่านางก็คงจะยินดีอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ
ปฏิบัติธรรมมาประมาณหนึ่ง ชีวิตมันก็จะดี แถมเจอคนดีอีกต่างหาก มันจะก็จะออกยาก รักคู่ รักครอบครัว รักไปหมด มันก็ผูกไว้ ฝังไว้กับทุกข์ มันก็เป็นกิเลสนั่นแหละ ที่ดันไว้ไม่ยอมให้ขึ้นไปมากกว่านั้น แม้จะมีสัตบุรุษสูงสุดช่วยอยู่ แต่ถ้าไม่พาตนเองปีนขึ้นมาจากทุกข์มันก็ไปต่อไม่ได้
คู่ดีก็มีโทษประมาณนี้แหละ ก็อาจจะมีมรรคผลระดับหนึ่ง มีวิบากกรรมที่ดีระดับหนึ่งเลย ได้มาเจอคนที่ดี ที่เขามีศีล ไม่เบียดเบียนมาก
แต่มันก็ยังมีทุกข์มากอยู่ไง ทุกข์จนร้องห่มร้องไห้ เพราะความรักเป็นเหตุนั่นแหละ
ทุกข์มากที่ว่านี่มันก็เห็นกันได้ยาก คนทั่วไปเขาก็เห็นกันว่าทุกข์น้อย เขาเห็นว่ามีคู่ดี เขาก็ยอมทนทุกข์ที่จะเกิด เพราะเขาคิดว่ามันไม่น่าจะเยอะ ขนาดคู่ไม่ดีไม่มีศีล คนส่วนใหญ่เขายังยอมทนทุกข์กันเลย เพราะเขาหลงว่าสุขมันมากกว่าทุกข์ หรือแม้จะทุกข์ก็มีสุขให้เสพ
พระพุทธเจ้าบอกรักมีแต่ทุกข์ … ส่วนสุขท่านไม่ได้กล่าวถึง คือมันไม่มีนั่นแหละสุข แต่คนเขาปั้นขึ้นมาตามกิเลสเขา กิเลสมากก็สุขจากรักมาก กิเลสน้อยก็สุขจากรักน้อย ไม่มีกิเลส รักก็ไม่มีสุขเลย เพราะสุขมันลวงไปตามอำนาจของกิเลส
ความสุขความทุกข์ในรัก จะรุนแรงแปรผันตามกิเลส สุขเท่าใด ทุกข์เท่านั้น มีน้ำหนักที่จะเกิดแรงตามการปรุงแต่งในจิต
ถ้าจะเปรียบการมีคู่ดี ก็คงจะเหมือนได้เงินมา 100 ล้านแล้วพอใจนั่นแหละ ตามที่เขาว่า “เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร” คือคนรักนี่มันมีค่ามาก แต่เขาไม่รู้ว่า ที่ดีที่เลิศกว่าคนรักที่ดีก็ยังมีอยู่ ถ้าพ้นความอยากมีคู่ดีไปได้ ก็เทียบได้ว่ามีเงินเป็นอนันต์ ใช้ไม่มีวันหมด
แต่ 100 ล้านนี่มีหมด มันใช้หมดได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งนั่นแหละ เพราะกามราคะเปรียบเหมือนหนี้ สุดท้ายมีเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้จนหมด
คู่ดีนี่มีค่าใช้จ่ายนะ คือต้องทำกรรมดีมามากพอถึงจะเจอคนดี แต่ถ้าเอากรรมดีไปแลกตามกิเลสนี่มันจะหมดไปอย่างรวดเร็ว พวกทำดีแลกกิเลส ภาพก็จะคล้ายเศรษฐีตกอับ วันหนึ่งมี อีกวันหนึ่งหมด พอหมดแล้วหมดเลย เป็นยาจกเลย
คู่ดีก็เหมือนกัน เขามีเวลาจำกัดของเขา เขาไม่เที่ยง เขาไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน แปรผันได้ตลอดเวลา แต่ความตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดนี่สามารถทำให้ยั่งยืนไม่เวียนกลับไม่แปรผันได้ คือสามารถทำให้ความโสดนั้น “เที่ยง” ได้
พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับสภาวะนิพพาน 7 ประการ คือสภาพที่กิเลสดับ หนึ่งในนั้นคือ เที่ยง คือกิเลสดับอย่างแน่นอน ไม่แปรกลับ ไม่แปรปรวน คนที่ประพฤติตนเป็นโสดอย่างถูกมรรคผล จึงมีความผาสุกที่ยั่งยืน ยาวนาน ถาวร
ต่างจากคนมีคู่ดี ที่แม้จะดี แต่ก็จะมีความทุกข์ต่าง ๆ นา ๆ ที่เกิดด้วยเหตุแห่งคู่ครองหรือครอบครัวอยู่ทุกวี่วัน ต่างจากคนโสดที่จัดการความอยากของตนได้แล้ว เขาย่อมไม่เป็นทุกข์ อยู่ผาสุกสบายทุกวี่วัน
สรุปว่าโทษของการมีคู่ดี ก็คือมันยังพาทุกข์มากอยู่นั่นเอง เพราะสุขที่มากกว่านั้นมันยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าการมีคู่ดีคือสภาพที่เลิศยอด แต่ที่ยอดกว่าคือไม่มีคู่ชีวิตก็ยังดีอยู่ อันนี้สิดี
โสดถ่วงโลก ไม่ให้จมดิ่งไปมากกว่านี้
โดยวิถีของโลกนี้ก็มีอยู่บล็อกเดียวอยู่แล้ว คือใช้ชีวิตตามอยาก หาคู่บำเรอกิเลส แล้วก็สร้างครอบครัวครอบตัวครอบใจกันไป มีลูกมีหลาน นอนบนกองทรัพย์ที่ลูกหลานหามา แล้วก็ตายกันไป
เป็นสูตรสำเร็จที่คนเอาไว้ใช้ป้องกันสิ่งที่ตนเองกลัว กลัวไม่มีคนรัก กลัวไม่มีทรัพย์ กลัวลำบาก กลัวป่วยแล้วไม่มีคนดูแล กลัวตายแล้วไม่มีคนเผา กลัวไม่มีคนทำบุญส่งไปให้ สารพัดความกลัวที่จะทำให้คนแสวงหาสิ่งใด ๆ มาแปะ มาเติมเต็มให้รู้สึกอุ่นใจ
ทีนี้โมเดลใช้ชีวิตอยู่คนโสดนี่มันก็มีอยู่ในสังคมเหมือนกัน คือโสดเพื่อที่จะเสพอีกอย่าง โสดไม่ผูกมัด โสดไม่เอาภาระเป็นต้น คือเอาแต่ใจตนเองสุด ๆ นั่นแหละ อันนี้มันก็จะคงสภาพได้ช่วงหนึ่ง แต่เดี๋ยวกิเลสมันก็แส้เฆี่ยนให้วิ่งไปหาคู่อยู่ดี แม้จะหาไม่ได้ แต่ใจก็ยังถวิลหา ระลึกถึง ฝันถึง ฝังใจ ฯลฯ
ทั้งมีคู่และโสดที่เต็มไปด้วยความอยากเหล่านั้น ต่างก็อยู่ฝั่งเดียวกันคือฝั่งโลก หรือโลกียะ ความเป็นโลกคือวนเวียนอยู่กับโสดหรือมีคู่ เปลี่ยนสถานะไป แต่ไม่พ้นความอยาก
ทีนี้อีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งโลกุตระ ซึ่งมีน้อยมาก น้อยอย่างเทียบกันไม่ได้เลย แต่ก็จำเป็นต้องอยู่ แสดงตน แสดงธรรม เพื่อถ่วงโลกไว้ ไม่ให้ไหลลงมากกว่านี้ ไม่ให้มืดบอดไปมากกว่านี้
ถ้าไม่มีธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัส คนนี่มืดบอดเลยนะ ชีวิตจะเป็นไปได้ไม่กี่ทาง เช่น หาคู่ มีครอบครัว หรือไม่ก็โสดแบบอัตตาจัด ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความอยาก
การมีธรรมะแสดงอยู่ ทำให้คนที่เขาทุกข์ เขาอยากหลุดพ้นจากทุกข์สามารถที่จะมีทางออกทาง ออกจากโลก มันก็มีแค่มาฝั่งโลกุตระเท่านั้นถึงจะพ้น เพราะความเป็นโลกคือความวน หลงเสพหลงสุขสารพัดลีลา ซึ่งจะทำพาทุกข์มาให้อย่างไม่มีวันจบสิ้น
การที่ผมพิมพ์บทความเรื่องโสดบ่อย ๆ นี่คือการถ่วงโลกไว้ เพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทำจริง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้มีเวลามาขยาย แต่ก็ได้ให้แนวทางไว้ แต่คนที่จะมาแสดงตัวตนให้ชัด ๆ น่ะมีน้อย คนที่จะมาเปิดเผยอย่างจริงจังก็มีน้อย ดีไม่ดีมีพวกผีแอบปลอมปนเข้ามาอีก
การพิมพ์ไปแต่ละบทความ คนที่มีปัญญาเขาจะได้ประโยชน์ทุกครั้ง แม้ทีละน้อยก็จะได้ประโยชน์ เพิ่มภูมิธรรม เพิ่มความรู้ แม้รู้อยู่แล้วก็ได้รู้เหลี่ยมรู้มุมเพิ่ม ส่วนคนที่ไม่มีปัญญาก็ตรงข้ามนั่นแหละ เหมือนน้ำเต็มแก้ว ที่สำคัญเป็นน้ำเน่าด้วย เพราะไม่รู้จักว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร ซึ่งจะก็มักทำสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรลงไป
การบำเพ็ญทำดีก็ไม่มีอะไรมากกว่าการคิดดีซ้ำซาก การทำดีซ้ำซาก การพูดธรรมซ้ำซาก คือซ้ำ ๆ ทวน ๆ ไปอยู่แบบนั้น ซ้ำคือซ้ำ ย้ำในความดี ทวนคือทวนกระแสโลก
ถ้าได้ตามนี้ถือว่าเยี่ยม เชื่อไหม คนไม่มีภูมิธรรม ไม่ได้ปฏิบัติธรรมถึงผล ไม่มีมรรคผล เขาทำย้ำซ้ำทวนไม่ได้หรอก เพราะเขาจะไม่มีจิตยินดีในธรรม เขาจะเบื่อไปตามโลกีย์วิสัย คนที่มีญาณปัญญาจะมีความร่าเริ่งในธรรม ยินดีในธรรม เขาจะย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ในธรรมนั้นได้อยากผาสุก เบิกบาน แจ่มใส ก็เว้นเสียแต่ง่วงนอนมาก ๆ นั่นแหละ
ย้ำด้วยการทวนกระแสโลก อันนี้คือความจริง คนไม่มีธรรมจะไม่แกล้วกล้าอาจหาญ จะไม่กล้าท้า ไม่กล้าทวนกระแสโลก แสดงธรรมกระมิดกระเมี้ยน ไม่กล้าหาญ ไม่เปิดเผย มีแต่ภาพกว้าง ๆ แนวคิดกว้าง ๆ เป็นคอนเซ็ปต์ทั่ว ๆ ไปที่ใครก็รู้ได้ ไม่กล้าลงลึกในสภาวธรรม ไม่กล้าแจงแจงรายละเอียด เพราะตัวเองไม่พ้น มันก็จะเหนียม ๆ เก้อ ๆ อยู่แบบนั้น โดยเฉพาะตัวเองไม่มี มันก็ทวนไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าแสดงตัวออกมาหรอก
สรุปคือเขาจะไม่มาทำงานพวกนี้หรอก ครูบาอาจารย์ที่ผมศรัทธาท่านพูดเรื่องเดิมมาหลายสิบปีแล้วก็ยังพูดเรื่องเดิมอยู่ ผ่อนน้ำหนักกว่าเก่าด้วย คือสมัยแรกท่านก็เข้มเชียว แต่มาตอนนี้น้ำหนักก็เบาลงแต่สวยงามมากขึ้น ศิลปะก็เปลี่ยนไปตามภูมิตามการประมาณของท่าน แต่หลักสำคัญคือเนื้อหาเก่า พูดเรื่องเก่า เรื่องเดิม
คือเรื่องที่สืบต่อมาตั้งแต่หลายต่อหลายชาติ ก็พูดเรื่องเดิมตั้งแต่ชาติที่แล้ว ยันชาตินี้ และคิดว่าชาติหน้าท่านก็คงจะพูดต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก
คนมีปัญญาจะรู้ว่าพูดเรื่องการลดกิเลสเรื่องการไม่เบียดเบียนนี่มีประโยชน์ที่สุดในโลก ควรพูด ควรย้ำมากที่สุดในโลก เพราะไม่มีอะไรดีเท่ากับพูดหรือแสดงธรรมเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว
มีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม?
เห็นความเห็นนี้ในพวกเว็บบอร์ด ก็นำมาวิจารณ์กันหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตั้งใจที่จะออกจากนรกคนคู่
คนที่เขาหลงเขาก็ว่ามีคู่เป็นสุขกันหมดนั่นแหละ ยิ่งคู่ดียิ่งเป็นสุขกว่าโสด นั่นเขาฟันธงอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้นหมดใจเลย
ก็เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น อยากได้ของเล่นแพง ๆ พอได้มาเขาก็จะเป็นสุขใช่ไหม? ลองนึก ๆ ดูตัวเราในอดีตก็น่าจะตอบว่าใช่ ได้ของเล่นมันก็เป็นสุข
แต่ถ้าลองคิดดูว่าผู้ใหญ่ได้ของเล่นแบบนั้นมันจะสุขไหม ได้ของเล่นดีมากเลยนะ ดีมากแพงมาก หายากมาก มันจะสุขไหม ตุ๊กตาแพง ๆ ได้มา มันจะสุขไหม … เอามาทำไม ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นสุขหรอก ส่วนใหญ่ก็น่าจะเข้าใจได้แบบนี้ ยกเว้นพวกติดของเล่นไม่เลิก
เรื่องคู่ก็เหมือนกัน คนที่เขาโตแล้ว มีปัญญาแล้ว เขาก็ไม่ไปเป็นสุขกับของที่มันไม่สามารถสร้างสุขได้จริงหรอก เวลาคนหลงอะไรมันก็เป็นสุขกับสิ่งนั้น เหมือนเด็กเล่นของเล่น เขาหลง เขาชอบ เขาก็สุข คู่ก็เหมือนกัน คนหลง คนชอบ แม้ได้คู่ไม่ดีมาเขาก็เป็นสุข ไม่ต้องไปพูดถึงคู่ดีเลย ทุกวันนี้คู่ร้าย ๆ เขาก็ยังยินดีคบหากัน ใช่ว่าร้ายแล้วเขาจะเลิกกันซะที่ไหน
ถ้ามีใครมาถามมีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม? มันก็ตอบได้ทั้งสองมุมนั่น มุมโลกีย์ หรือมุมที่ยังหลงสุข ยังโง่อยู่ เขาก็เป็นสุขของเขาแบบนั้น
แต่ถ้าตอบมุมโลกุตระ ก็ตอบได้ง่าย ๆ คือ ไม่จริง เพราะบัณฑิต(ผู้ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์) เขาประพฤติตนเป็นโสดกัน ไม่แส่หา ไม่ป้อล้อ ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นโดยเฉพาะเรื่องชู้สาว ไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้มันปวดหัวหรอก เพราะมันเป็นทุกข์ยังไงล่ะ ส่วนสุขน่ะหรอ ไม่มีจริงอยู่แล้ว ไอ้ที่เขาสุข ๆ นั่นกิเลสเขายึดเขาปั้นเขาเสพของเขาเอง แล้วเขาก็หลงของเขานั่นแหละ
ผมเห็นเขาไปถามในเว็บบอร์ด ว่าโสดหรือมีคู่สุขกว่ากัน ดูแล้วก็เห็นใจ เพราะส่วนใหญ่ก็เรียกว่า ชุ่มไปด้วยกามกันทั้งนั้น สุดท้ายถ้าไม่มีของเก่าจริง ๆ ก็จะโดนโน้มน้าวไปทางโลกีย์วิสัย คือไปหาสิ่งที่โลกเข้าใจว่าดีมาเสพ
ใครจะลองศึกษาเทียบดูก็ได้ ให้มาเปรียบเทียบกันเลย เอาสิ่งที่ว่าสุขมาจดไว้ทุกวัน เล่าความสุขของการมีคู่ดีให้ได้ทุกวันนะ เอาแค่ความสุขนะ ยังไม่ต้องเขียนทุกข์ เดี๋ยวกระดาษจะไม่พอ
เอาให้ได้ทุกวันนะ เพราะผมเป็นโสดนี่เป็นสุขทุกวัน เพราะไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องระวัง กังวล ระแวง หวั่นไหวเพราะมีคู่ยังไงล่ะ สรุปมันสุขเพราะไม่ต้องมีคู่นี่แหละ
จะได้ศึกษากันไปชัด ๆ ว่าตกลงว่ามีคู่ดีมันสุขกว่าที่เข้าใจจริงไหม
ยอดนักรบ (ในเรื่องความรัก)
บทความก่อนหน้านี้ [กรณีศึกษา สารภาพบาป (เรื่องความรัก)] ได้ยกว่าคนที่พลาดไปหลงรักแล้วรอดมาได้ก็เหมือนนักรบที่เอาตัวรอดมาได้ แต่ก็มีบาดแผลหนัก
การแพ้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้าจะชนะกิเลสกันจริง ๆ มันก็ชนะกันได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ นอกนั้นที่ว่าชนะโดยลำดับ ก็เหมือนกับหลบดาบของกิเลสได้บ้าง ฟันสวนกลับไปได้บ้าง แต่กิเลสก็ยังไม่ตาย
โดยปกติแล้ว เราจะต้องเริ่มจากโดนกิเลสยำ แล้วก็ฮึดสู้ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไปฝึกวิชากับครูบาอาจารย์บ้าง เรียกเพื่อนมาช่วยบ้าง เราก็จะเริ่มต่อกรกับกิเลสได้มากขึ้นโดยลำดับ หลบหลีกได้ สวนกลับได้
แต่สภาพที่จะเอาชนะได้จริง ๆ นั้น ก็คือชนะแบบสะอาดหมดจดไร้บาดแผล (ใหม่) กิเลสลุกขึ้นมาได้ก็แทงซ้ำ แทงซ้ำ แทงซ้ำ จนมันพอนั่นแหละ
ถ้าจะเปรียบให้เป็นภาคปฏิบัติคือ เถียงไม่มีวันแพ้กิเลสในเรื่องความรัก (เป็นเรื่อง ๆ ตามที่ตนเองปฏิบัติได้) เอามารมาล่อลวงให้หลงรักมากขนาดไหน ตัวใหญ่แค่ไหน คือเอาคนมาหว่านล้อมขนาดไหน พูดจาน่าเชื่อถือแค่ไหน ก็เถียงไม่แพ้
ถ้าปัญญาเต็มรอบจะเถียงไม่มีแพ้ กิเลสจะงัดไม้ไหนมา ก็เถียงชนะกิเลสได้หมด รับได้ ตอบโต้กลับได้ แถมยังอัดกลับไปแรงกว่ากิเลสได้เลย เพราะธรรมะนี่ถ้าเต็มรอบก็ชนะแน่ ๆ อยู่แล้ว เถียงยังไงก็ชนะ (เฉพาะกิเลสตัวเองนะ กิเลสคนอื่นไปเถียงเขาไม่ชนะหรอก)
เหมือนกับประโยคของพระพุทธเจ้าที่ว่า “มาร เรารู้จักเธอแล้ว” มารได้ยินดังนั้นก็หายไปเลย มารก็คือกิเลสนั่นแหละ ความเห็นผิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกก็เช่นกัน
ถ้าเจอสัตบุรุษที่รู้แจ้งธรรมในหมวดนั้น ๆ ไปศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตาม ก็จะได้วิชา ได้วิทยายุทธ ที่เป็นเหตุให้รบชนะ (ถ้าหลงไปศึกษาจากคนไม่รู้จริง จะรบไม่มีวันชนะ)