คู่มือคนโสด

เขามาชอบ บัณฑิตก็ยังเฉย ส่วนคนเขลา อยู่เฉย ๆ ก็ไปชอบเขา

May 30, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 547 views 0

การตรวจสอบความเจริญในการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง คือลดการเสพลงได้อย่างผาสุก เรื่องความรัก เรื่องคู่ก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติได้เจริญ ความกระหายใคร่อยากในเรื่องเหล่านี้จะลดลง

แม้ในฐานศีล ๕ ที่กำลังพัฒนาตนเอง ก็จะไม่มีอาการอย่างคนทั่วไป คือจะไม่ไปไล่จีบเขา ไม่ไปหว่านเสน่ห์ ไม่ไปเกี้ยวพาราสี หรือไม่ไปพยายามล่อลวงใครมาให้เป็นคู่

เพราะจะมี “หิริ” อยู่ในใจ คือรู้สึกว่ามันเป็นบาป มันผิด มันไม่เจริญ แต่ใจจะยังอดไม่ได้ ยังอยากอยู่ข้างใน แต่จะพยายามควบคุมอาการไม่ให้ไปเบียดเบียนผู้อื่นนัก

คนที่มีฐานศีล ๕ ที่กำลังพัฒนาไปสู่ความเจริญ จะมีความละอายต่อการไปจีบหรือไปล่อลวงเขา การจะมีคู่ของคนที่อยู่ในสภาวะนี้คืออยู่ ๆ ก็ไปชอบเขาเอง แล้วก็ลงเอยกันไปแบบไม่หวือหวา

ส่วนคนที่ต่ำกว่าศีล ๕ หรือถือศีลแบบกระท่อนกระแท่น ถือศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ อาบน้ำกลัวเปียก ถือศีลแบบยึดเป็นวินัย ก็มักจะมีส่วนพร่องไปตามปัญญาที่ไม่เต็มรอบ

ดีไม่ดีก็ไปทำตามแบบปุถุชน หรือคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรือไม่ได้ตั้งใจลดกิเลสเลย คือแม้จะอ้างว่าถือศีล ๕ เป็นพระอริยะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ “จริง” ตามนั้น คำพูดนี่ใครก็พูดได้ เล่นคำ เล่นภาษากันไป แต่ถ้าในสภาวะจริง มันก็ต้องมี “ใจ” เป็นองค์ประกอบด้วย

เช่น ใจจะรู้สึกผิดบาปละอายต่อการไปจีบเขา ไปล่อลวงเขา อย่างพระโสดาบันนี่จะไม่โกหกแล้ว ไม่ไปบอกใครหรือล่อลวงใครว่า ” มีคู่สิไม่ทุกข์เท่าไหร่หรอก หรือถึงมีก็ยังสามารถทำใจให้ทุกข์น้อยได้ ” คำพูดล่อลวงพวกนี้จะไม่มีหลุดออกจากปากหรือจากใจเลย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันทุกข์มาก แต่มันอดรนทนไม่ไหว มันอยากมี ถึงจะมีก็มีด้วยใจสังวร

เพราะรู้ว่าสิ่งที่เจริญกว่านี้ยังมี ผาสุกกว่านี้ยังมี เพราะมีสัตบุรุษที่ทำตนเป็นตัวอย่าง แสดงธรรมที่เลิศกว่า ประเสริฐกว่า พอรู้ว่ามีดีกว่า แต่ใจมันยังเอาไม่ไหว ถึงจะไปมีคู่ก็ใช่ว่าจะยินดีในการมีคู่เต็มร้อย ใจมันจะละอาย มีหิริอยู่ตลอด จะครองรักไปอย่างคนคุก สำรวม เจียมตัว เพราะรู้ว่าตนยังไม่เจริญ ตนยังทำไม่ได้ และรู้ว่าคนที่เจริญกว่าตนยังมี

คนที่ต่ำกว่าศีล ู๕ และไม่มีคุณวิเศษของสาวกที่ครบพร้อม จึงปฏิบัติตนเหมือนคนทั่วไป ไปรักเขา ชอบเขา จีบเขา ล่อลวงเขา ป้อล้ออยู่นั่น ไม่มีความละอายแก่ใจ เจอคนพวกนี้ให้ห่างไว้ แม้จะโฆษณาว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เจริญในธรรม หรือมั่นคงเพียงใด แต่ความจริงข้างในนั้นยังเน่าเหม็นมากอยู่

ส่วนบัณฑิตนี่ไม่ต้องเล่าให้ยุ่งยาก ไม่ไปจีบใครเขา และใครมาจีบ มาชอบ มาอ่อย ก็ไม่หวั่นไหวด้วย ใส่พานมาเสิร์ฟก็ไม่กิน เพราะมีสิ่งดีกว่าให้เสพ สุขสบาย ผาสุกกว่าเอาชีวิตไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องความรัก ก็คือไม่ต้องมีความรัก ไม่ต้องมีคู่ให้ปวดหัว

เป็นสภาพที่ไม่ต้องทน เพราะเข้าใจทุกอย่าง ทั้งเข้าใจตัวเองและเข้าใจโลก ที่สำคัญคือเข้าใจเรื่องกรรม ก็เราทำกรรมมา เราก็ต้องรับ สมัยก่อนเราก็ไปจีบเขา เราก็ต้องรับ แล้วสมัยก่อนนี่มันกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่รู้ ไปจีบ ไปล่อลวงเขามากี่ร้อยล้านคนแล้ว ชาตินี้จะต้องเจอคนมาจีบ มาวุ่นวาย ก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะเข้าใจความเป็นไปของกรรม

ใช้กรรมแล้วมันก็จบดับไป เราไม่ได้ก่อกรรมชั่วใหม่ ไม่เห็นจะต้องทุกข์ใจอะไร ก็มีแต่จะดี จะเจริญไปเรื่อย ๆ

ส่วนคนเขลานี่ไม่ต้องให้ใครมาจีบเขาหรอก อยู่เฉย ๆ เขาก็แส่หา ทำอาการระริกระรี้ เดี๋ยวไปจีบคนนั้นทีคนนี้ที ดีไม่ดีจีบหลาย ๆ คนพร้อมกันอีก

คนรู้ธรรม รู้กรรมจริงนี่ไม่ต้องไปจีบใครให้ปวดหัวหรอก ชั่วที่ทำสะสมไว้มันมีเยอะ เดี๋ยวตัวเวรตัวกรรมเขาก็จะมาทวงอยู่ดีนั่นแหละ ทั้งทัก ทั้งอ่อย ทั้งป้อยอ ฯลฯ ป้องกันให้ทันแล้วกัน อย่าไปตกเป็นเหยื่อของกิเลสมาร ที่มาล่อให้เราหลงว่าคู่ครอง คู่รักเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามี

บวชก่อนถูกเบียด

May 26, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 632 views 0

วันก่อนก็มีคนทักมาประมาณว่า ไม่ค่อยมีผู้ชายมาโพสตอบสักเท่าไหร่ ผมก็เห็นตามนั้นแหละ ไม่ค่อยมีหรอก

ผู้ชายนี่ปกติก็มีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาปฏิบัติธรรมยิ่งมีน้อยมาก ดีไม่ดีปฏิบัติธรรมไปแล้วพลาดเจอนารีพิฆาตไปอีก การที่จะมีผู้ชายอยู่รอดปลอดภัยในความโสด ยินดีในธรรมแห่งความสันโดษ พอใจในความโสด มีน้อยจริง ๆ

ปกติในสังคมก็ไม่ค่อยมีการแสดงธรรมหมวดที่พาให้ยินดีเป็นโสด หรือชี้ให้เห็นโทษของคนคู่อยู่แล้ว มีแต่พาหลงในรสรัก ปรุงแต่งรักให้ดูงดงาม แต่ก็ยังมีประเพณี คือให้บวชก่อนเบียด เป็นกำแพงชั้นสุดท้ายที่จะปกป้องผู้ชายไว้

การบวชคือการละ ละชื่อละโคตร คือทิ้งอดีตทั้งหมดแล้วตั้งใจปฏิบัติชีวิตใหม่ คือชีวิตนักบวช แม้บวชก่อนเบียดจะเป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนในเชิงศาสนา แต่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะ “รั้ง” ไว้ ประวิงเวลาไว้ ถ่วงเวลาไว้ ไม่ให้ไปเบียดกันเร็วนัก

เบียดกันคืออะไร บ้างก็ว่าแต่งงาน อยู่ร่วมกัน แต่โดยสภาพจริง ๆ คือไปเบียดเบียนกันนั่นแหละ คือเอาตัวไปเบียดกันให้มันลำบาก หรือเรียกว่าสมสู่กัน เอาใจไปเบียดเบียนกัน ไปเป็นอัตตาของกันและกัน พยายามจะกลืนกันด้วยความหลง สรุปคือเบียดเบียนทั้งกายและใจ

เดาว่า คนรุ่นเก่าเขาก็คงจะคิดว่าถ้าไปบวชก่อนก็อาจจะซึ้งในรสพระธรรมแล้วออกบวชตลอดชีวิตก็ได้ ซึ่งจริง ๆ การบวชมันก็ต้องเป็นแบบนั้น คือบวชเอาธรรม ไม่ใช่บวชรอเบียด

ถ้าบวชรอเบียดนี่มันจะทุกข์มากเลยนะ เพราะตอนบวช แฟนสาวก็คอยรับส่ง ถือหมอน ใส่บาตร เรียกว่าหลอกหลอนกันถึงที่นอน คือฝังสัญญาไว้ที่หมอนแล้ว จะนอนก็หลอนในใจ บิณฑบาตร ก็ยังเจอกันบ่อย ๆ การบวชถ้าไม่มีใครสอนให้ลดกิเลส ให้ลดกาม ลดอัตตา ก็มีแต่จะกำหนัดมากขึ้นทุกวันนั่นแหละ คือรสกามมันจะแรงกว่ารสธรรม

สุดท้ายธรรมก็รั้งไว้ไม่อยู่ สึกไปเบียดในที่สุด สิ้นสุดความสามารถของธรรมที่จะรั้งเอาไว้ เวียนกลับไปเป็นผู้ครองเรือน เสื่อมจากธรรมของนักบวชในที่สุด

ผู้หญิงนี่เป็นภัยที่ร้ายมากสำหรับผู้ชาย แทนที่จะได้อยู่เป็นนักบวชตลอดชีวิต ก็ไปผูกสัญญาใจไว้เป็นบ่วงในใจ ให้ต้องสึก ออกจากความเป็นนักบวชไปหลายต่อหลายราย

บางคนไม่ได้ตั้งใจบวชก่อนเบียดหรอก แต่บวชไปบวชมาเจอสีกาขาว ๆ อวบ ๆ วับ ๆ แวม ๆ มันก็ชักอยากจะเบียด ก็สึกออกมา เพราะอะไร? เพราะเป็นนักบวชนี่มันได้โลกธรรมมาก ได้ลาภ สักการะ บริวารมาก แต่ปฏิบัติธรรมไม่ถูกตรง ไม่คบสัตบุรุษ ไม่มีมิตรสหายดี พอเจอนารีพิฆาตก็เสร็จเลย จบเลย เอาความดีทั้งหมดที่ทำมาเทให้หมากินหมดเลย คือสรุปได้เลยว่าปฏิบัติธรรมมาเพื่อหาเมีย เพราะบทมันจบที่ไปมีเมีย อันนี้มีหลายเคสแล้วทั้งคนดังคนไม่ดัง เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มที่ปฏิบัติไม่ถูกตรง … แม้กลุ่มที่ปฏิบัติถูกตรงยังป้องกันได้ยากเลย กิเลสเรื่องคู่นี่มันแอบเสพ เขาไม่ค่อยเปิดเผยกันหรอก

จริง ๆ ผู้หญิงก็มีเต็มไปหมดนั่นแหละ อย่างประโยคที่เขาว่า “นารีมีมากเหมือนฝูงลิง” คือเกิดเป็นผู้ชาย ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์เนี่ย ไม่รอดผู้หญิงหรอก มีดักรอทุกสี่แยก

เกิดมามีวิบากกรรม มีบทละคร มีนางเอกมาดักรอให้หลงเป็นพระเอก เป็นระยะ ๆ ขึ้นอยู่กับจะพลาดตอนไหน ส่วนใหญ่ก็ยินดีพลาดด้วย ยอมมอบตัวมอบใจให้หญิงที่ตนหลง มันก็เสียของไป

ชีวิตผู้ชายนี่ความจริงแล้วสามารถเดินในเส้นทางธรรม พาให้ตนเองเจริญได้สะดวกกว่าผู้หญิงมาก คือถ้าจะประพฤติตนเป็นโสดเนี่ย มันจะง่ายกว่า ลำบากน้อยกว่า ปลอดภัยกว่า จะเป็นฆราวาสก็ได้ เป็นนักบวชก็ได้ ทางก็โล่ง ง่าย แต่ผู้หญิงนี่เขาจะไปทางธรรมยาก ครองเรือนอยู่คนเดียวก็อันตราย จะบวชก็ไม่มีที่ให้บวชแล้ว ก็ได้แต่นุ่งห่มเครื่องแบบกันไป

พอชีวิตผู้หญิงมันไปทางเจริญลำบาก ก็ใช้วิธีหาผู้ชายนี่แหละมาเติมเต็ม ยิ่งพวกลามก ก็ไปสอยพวกพระ จับพวกนักบวชมาเป็นสามี เพราะนอกจากจะได้คนดี(ตามที่โลกเข้าใจ) ยังได้เสพอัตตาในความสำเร็จของการข่มผู้ชายที่คนกราบไหว้ด้วย

นักบวชที่สึกมาเบียดผู้หญิง นี่เรียกว่าทิ้งศักดิ์ศรีของนักปฏิบัติธรรมลงไปกอง กราบแทบเท้าผู้หญิงเลยนะ ทีนี้ก็สมอัตตาผู้หญิงเขาล่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าหญิงย่อมต้องการความเป็นใหญ่ในบ้าน นี่แหละ คือสุดท้ายคุณจะดีจะเก่งเท่าไหร่ คุณก็ต้องมายอมสยบแทบเท้าฉันอยู่ดี

นารีพิฆาตก็ถูกสร้างมาเพื่อปราบผู้ชาย เป็นรูปแบบหนึ่งของกิเลสที่จะคอยฉุดคนลงต่ำ ต่ำแค่ไหน ก็ต่ำกว่าสะดือนั่นแหละ ลองคิดดู พระที่คนยอมก้มหัวกราบไหว้มาหลายสิบปี สุดท้ายไปก้มทั้งตัวทั้งใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง การกระทำของเขาจะฉุดศาสนาลงต่ำขนาดไหน คนจะเสื่อมศรัทธาในศาสนาขนาดไหน

จริง ๆ คนที่ได้บวช ก็ควรจะใช้โอกาสนั้นทิ้งไปให้หมดเลย เพราะในคำขอบวช มันก็ต้องทิ้งทุกอย่างก่อนบวชอยู่แล้ว ก็ทำให้คำนั้นมันเป็นจริงเสียเลย ไม่ใช่แค่บวชเล่น แล้วก็ไปไกล ๆ ให้เจริญ ๆ พ้น ๆ จากจุดเดิมเลย ไม่ควรกลับมาลำบากอีก

ไม่ต้องสนใจหรอก ผู้หญิงที่รอเราสึกน่ะ พอบวชแล้ว สัญญาก่อนหน้านั้นมันก็เป็นโมฆะหมดแล้ว ให้เข้าใจว่า เขาก็รอเรากลับไปให้เขาเชือดนั่นแหละ รอให้เรากลับไปให้เขาลูบหัวโล้นเรา รอให้เรากลับไปตายรังที่เขา ให้เขาได้กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า แม้ธรรมะก็ไม่อาจจะมีอำนาจมากไปกว่าฉันไปได้หรอก และสุดท้ายแม้เธอจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่สามารถออกจากกำมือของฉันได้หรอก

เรียนรักให้ถูกสัมมาทิฏฐิ

May 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 489 views 0

กิเลสคืออำนาจที่เลวร้ายที่สุด ครอบงำ บิดเบือน สร้างความเข้าใจกลับหัวกลับหาง อยากผาสุกแต่กลับทำทุกข์ พาให้ฉลาดในทางโลก คือหาทางเสพให้ดูดีดูน่ายกย่อง คือทำคนให้เป็นคนโง่ที่ดูฉลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ความรักก็เช่นกัน ในยุคปัจจุบันนี่ก็เรียกว่าเละเทะแล้ว มีธรรมประยุกต์มากมาย แต่ก็ไม่ได้อ้างอิง ไม่ได้เข้ากันกับหลักฐานในพระไตรปิฎก ไม่ได้ไปในแนวทางเดียวกัน เรียกว่ากล่าวกันแล้วเหมือนธรรมที่ดูเท่ ดูปล่อยวาง ดูฉลาด แต่กลับหัวกลับหางกับพุทธะโดยสิ้นเชิง

เป้าหมายของพุทธไม่ใช่ความหยุดอยู่ ความตั้งอยู่ ความดำรงอยู่ แต่เป็นการชำระโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า จะไม่มีคำสอนใด ๆ ที่ให้หยุดชีวิตไว้ที่ความรัก หรือให้หยุดพักที่การมีคู่

คำตรัสที่ว่ามีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย คำความเหล่านี้คือตัวบอกจุดหมายของการปฏฺิบัติธรรมในศาสนาพุทธ คือให้เข้าถึงความพ้นทุกข์สูงสุด มีธรรมสูงสุดเป็นเป้าหมาย

คือให้ปฏิบัติสู่ความไม่มีทุกข์เลย ไม่ใช่หยุดอยู่ในสภาพเทวดา สภาพทาสที่คอยเสพสมใจตามกิเลสที่ได้มุ่งหมาย หรือสภาพที่ไร้อำนาจต่อต้านเพศตรงข้ามต้องยอมสยบไว้ใต้เท้าเขา

ดังนั้นเป้าหมายของสาวกที่จะเจริญ คือควรจะประพฤติตนเป็นโสดให้ได้สำเร็จ สมบูรณ์ทั้งรูปและนาม ส่วนจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง คือพยายามแล้วมันไปไม่ถึงก็ยังดีกว่าไม่พยายาม

ไม่ใช่ว่าให้ความสำคัญกับการมีคู่ การมีคู่จะพาเจริญ หรือการมีคู่ดีจะขัดเกลากัน อันนี้ไม่ใช่ มันคือเฉโก ความลามกของกิเลสคือพาให้คนหลงเสพโดยมีความคิดเท่ ๆ มาแปะป้ายไว้ให้ดูดี ดูฉลาดปราดเปรื่อง แต่จริง ๆ กลิ่นกามนี่เหม็นคลุ้งเลย

การมีคู่มันจะมีอะไรดี มันก็มีแต่เรื่องเบียดเบียนกันเท่านั้นแหละ คนมีปัญญาเขาจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เลยนะ ดังเช่นว่ามีคู่แล้วก็ต้องไปนอนเตียงเดียวกันให้มันนอนลำบากทำไม? ให้มันเบียดกัน ให้มันหลับยาก อันนี้คือความโง่ของกิเลสที่พาให้คนหลงยึด ผูกกันไว้ เข้าใจว่านอนเตียงเดียวกันคือความสุข จริง ๆ นอนเตียงใครเตียงมัน ห้องใครห้องมันนี่จะหลับสบายกว่า จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอกนอกจากเรื่องการสมสู่ การมีคู่ก็มีเหมือนซื้อบริการทางเพศแบบเหมานั่นแหละ เอาไว้ใกล้ ๆ ตัว จะได้เสพง่าย ๆอยากเมื่อไหร่ก็เสพได้เลย ก็เป็นการขายตัวอย่างถูกจารีตแบบหนึ่ง แต่ไม่ถูกธรรม คือไม่พาพ้นทุกข์

เรื่องพวกนี้คนเขาก็ไม่พูดกันหรอก เขาก็พูดกันแต่มุมพาเจริญ ส่วนมุมสกปรก ที่มันเน่า ๆ เละ ๆ เขาก็เก็บมันไว้ ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมดา

มันก็ใช่ถ้าจะบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์หรอก ไม่ได้ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่ได้มุ่งหวังมรรคผลใด ๆ ก็อยากแค่ใช้ชีวิตบำเรอกามตนอย่างเต็มที่ ใครจะว่าอย่างนั้นก็คงจะไม่ขัดศรัทธากัน

แต่ถ้าจะมาบอกว่าการมีคู่คือเรื่องดี พาเจริญอะไรนี่ ก็บอกตรง ๆ ว่าต้องวิจารณ์ไว้ เพราะเห็นใจคนอื่นที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วมาเจอธรรมลามกพวกพาหลงในรสรัก เขาจะเสียเวลามาก อุตส่าห์เกิดมาเป็นคน ได้มีพระพุทธศาสนาประกาศอยู่ ยังจะมาเจอพวกมิจฉาดักตีหัว เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศแล้วโดนทัวร์โจรดักตีหัวพาเที่ยวนรกยังไงอย่างนั้น

ทุกวันนี้มิจฉาธรรม มันก็เยอะมากพออยู่แล้ว ใครรู้ตัวก็อย่าพยายามเพิ่มอีกเลย แค่เจอสารพัดนักเขียนชื่อดังประกาศธรรมที่ยินดีในคู่ก็พาคนฉิบหายมากอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มหรอก เพราะมันไม่พาเจริญ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้มิจฉาทิฏฐิ ปิดบังไว้จะเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ดังนั้นถ้ายิ่งพยายามเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิในเรื่องคู่มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ความเสื่อมเกิดมากเท่านั้น ทั้งตนเองและผู้อื่นนั่นแหละ

มาจับที่มีหลักฐานกันชัด ๆ ไปขยายดีกว่า เอาอันนี้ “ไม่มีรัก ไม่มีทุกข์” ไปขยายกัน ไปทำความเข้าใจกันดี ๆ อย่าไปเอาเป้าหมายที่มันนอกกรอบ นอกขอบเขตพุทธ ถ้าไปเอาที่มันนอกรีตมันจะไม่พ้นทุกข์ เอาที่มันอยู่ในกรอบ ในจารีต ในวิถีพุทธมันจะเจริญ

พระอริยะชั้นสูง ๆ ท่านไม่เอาเรื่องคู่ทั้งนั้นแหละ เธอไปทาง ฉันไปอีกทาง พระมหากัสสปะเถระเป็นอีกท่านที่บำเพ็ญบารมีตามพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่ท่านปฏิบัติในเรื่องคู่นี่ลอกพระพุทธเจ้ามาชัด ๆ เลย บทเดียวกันแต่เปลี่ยนคนแสดง พอท่านรู้ตัวว่ามีสิ่งเจริญกว่าท่านก็ให้เมียไปทาง ท่านก็ไปอีกทาง ไม่มีหรอกจะมามัวปะปนกันอยู่ อย่างคนโลก ๆ อันนั้นบางทีเขาก็มั่วนิ่ม จริง ๆ ก็ยึดมาก แต่ฉลาดในการพูด มันก็ดูเหมือนจะดี แต่ถ้าจะเทียบสภาวะจริง ๆ ก็มีพระพุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะอยู่แล้ว ก็เทียบจากตัวอย่างที่ดีไป อย่าไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดี

ประพฤติตนเป็นโสด ทั้งรูป ทั้งนาม

May 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 513 views 0

บทความก่อนมีคำว่าโสดทั้งรูปทั้งนาม ก็นึกถึงตัวเองสมัยศึกษาธรรมใหม่ ๆ บางทีก็งงศัพท์ ว่าไอ้คำที่ว่า มันหมายความว่ายังไง มันเป็นยังไง ก็เลยเอามาลองพิมพ์ให้อ่านกัน

โสดทั้งรูป

คืออยู่เป็นโสดนั่นแหละ ตั้งตนอยู่เป็นโสดให้ได้ ให้นิ่งเลยเลย ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหว ไม่ไหวติง มีสาวมาอ่อย มีหนุ่มมาเกี้ยวก็ไม่ออกอาการหวั่นไหว อันนี้คือทำรูปให้เป็นโสดได้

ไม่ใช่ว่าเป็นโสดแล้วแส่หานะ ไปแจกขนมจีบเขาไปทั่วอันนี้ไม่ใช่ มันต้องนิ่งพอจะทน ถ้ามีหนุ่มสาวเขามาทักทาย มาหยอกล้อ ก็ไปเล่นกับเขา ไปยุ่งกับเขาแบบล้น ๆ เกิน ๆ คือมีอาการดีใจ เหมือนหมากระดิกหางเวลาเห็นคนให้อาหาร อันนี้ไม่ดี อาการเหล่านี้ต้องเก็บให้อยู่ ให้รูปสวยไว้ก่อน ถ้ายั่วขึ้นรูปไม่สวย ถ้ายั่วแล้วยังไม่ออกอาการเรียกว่ารูปสวย

ส่วนคนมีคู่นี่รูปเขาไม่สวยอยู่แล้ว เป็นวิบากกรรมของเขาที่ต้องแบก บางคนมีคู่มาก่อนเจอธรรมะ มันก็ช่วยไม่ได้ มันก็ต้องยอมรูปไม่สวย แต่สามารถทำนามให้สวยได้

โสดทั้งนาม

นาม คือ นามธรรม คือใจนั่นแหละ เอาใจให้เป็นโสดให้ได้ แม้โสดโดยรูปธรรมเราจะเก๊ก ๆ อยู่บ้าง แม้ไม่ออกอาการแต่ใจยังหวั่นไหว ก็ยังดี แต่จะดีกว่าถ้าใจไม่หวั่นไหว

การที่ใจไม่หวั่นไหว ในการไปชอบคนนู้น ไปรักคนนั้น มันก็ต้องล้างกิเลส อันคือความอยากในการมีคู่เสียให้หมด ถ้าล้างหมดมันจะไม่มีอาการอยากแล่บออกมา

ซึ่งอาการอยากนี่แหละที่ทำให้รูปไม่สวย ถึงแม้จะกดไว้ อดทนไว้ แต่กิเลสมันเต็มอก วันหนึ่งมันก็จะล้นทะลักออกมาเป็นอาการล้น ๆ เกิน ๆ ในการปฏฺิบัติต่อบุคคลที่ชอบอยู่ดี

การเป็นโสดโดยนามนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนและศึกษากับผู้รู้จริง เพราะถึงขั้นล้างกิเลส มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำเก๊กกันได้ มันต้องรู้ ต้องเข้าใจ ต้องขุดรากของความหลงออกมา ให้หมดแบบถอนรากของโคน มันถึงจะเป็นโสดได้อย่างผาสุก

โสดโดยนามธรรมนี่ ก็สามารถปฏิบัติได้ทั้งคนโสดและคนมีคู่ ก็ล้างกิเลสหมวดเดียวกันนั่นแหละ คือความอยากมีคู่ ความยินดีในการมีคู่ การเห็นความสำคัญในการมีคู่ การให้คุณค่าในการมีคู่จนสร้างตัวตน หรืออัตตาขึ้นมาว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้จริง สิ่งนี้สุข สื่งนี้เท่านั้นคือเป้าหมาย เราก็ต้องทำลายตัวนี้

ถ้าโสดโดยนามได้จริง คู่จะไม่มีความสำคัญอีกต่อไป จิตมันจะไม่ให้ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นคุณค่า เป็นสิ่งดี แต่จะเป็นเพียงสมมุติโลก เป็นคนคนหนึ่ง ไม่พิเศษ คนโสดก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะโสดอยู่แล้วก็เบาสบายต่อไป ส่วนคนคู่ก็เลือกปฏิบัติเอาเท่าที่เป็นกุศล เพราะถ้าบาปไม่มีแล้ว ที่เหลือก็แต่ประมาณกุศลเท่านั้นว่า กุศลอันไหนดีกว่า

คือจะเลิกหรือไม่เลิกตอนไหนก็ได้ มีอิสระในการตัดสินใจ ให้เลิกเดี๋ยวนั้นก็เลิกได้เลย โดยเฉพาะอีกฝ่ายเปิดทางนี่จะไม่ขัดเลย จะยินดี ยอมเป็นหม้าย ยอมให้เขาทิ้ง ยอมให้มีคนอื่นมาพรากไปอย่างสบายใจ แม้จะยังอยู่ในสถานะคู่ ก็จะคิดอยู่นั่นแหละว่าจะทำยังไงหนอ ถึงจะพ้นสถานะนี้ได้อย่างไม่เป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นมาก จิตจะมีอิทธิบาทในการทบทวนเพิ่มปัญญาในการออกจากสถานะคู่ไปเรื่อย ๆ ไม่แช่อยู่ ไม่หยุดหรือจมอยู่ แต่จะพยายามออกเพราะรู้ว่าเป็นสถานะที่เป็นอกูศล เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี พอวิบากร้ายที่เคยทำมาหมด ปัญญาถึงรอบ ก็จะมีวิธีการพูด มีกุศโลบายที่จะอธิบายเขาให้เข้าใจ หรือ มีคนมาเจาะช่องให้ออกได้เอง ถึงตอนนั้นก็วิ่งออกอย่างเริงร่าเหมือนคนวิ่งเข้าเส้นชัยได้คนแรกได้เลย

สุดท้ายก็จะกลายเป็นคนโสดอย่างผาสุกทั้งรูปทั้งนามได้ในที่สุด