รักแท้แพ้ระยะทาง

December 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,783 views 0

รักแท้แพ้ระยะทาง

รักแท้แพ้ระยะทาง

…จริงหรือไม่ที่เขาว่าระยะทางมีผลต่อความรัก

สำหรับคู่รักที่ต้องห่างไกลกันบ้าง ห่างไกลกันมาก ห่างไกลกันเหลือเกินไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายก็อาจจะมีความกังวลว่าความรักที่เคยมีนั้นจะห่างหายไปตามระยะทาง…

…รักแท้

คำว่ารักแท้นั้นหมายถึงรักที่ไม่แปรเปลี่ยน มั่นคง การที่รักแท้จะมาแพ้ระยะทางนั้นหมายถึงรักนั้นไม่แท้ การจะพูดคำว่า”รักแท้”นั้นง่ายดายกว่าการพิสูจน์ให้เห็นรักแท้มากนัก

…ระยะทาง

ระยะทางในบทความนี้หมายถึงความห่างไกลทั้งทางกาย ทางวาจา และใจ เช่น ตัวก็อยู่ห่างกัน การสื่อสารก็ไม่สะดวกเหมือนกับตอนอยู่ใกล้กัน ใจก็ไม่ค่อยใกล้กันเพราะมีกิจกรรมการงานมากมายที่ต้องทำ

…รักแท้ไม่แพ้ระยะทาง

ขึ้นชื่อว่ารักแท้นั้นไม่มีทางมาแพ้เพียงความห่างไกลทางกายวาจาใจนี้ได้เลย เพราะความแท้ไม่ว่าอย่างไรมันก็แท้ ที่มันแพ้เพราะมันไม่แท้แล้วเอาของปลอมมาหลอกขาย คนก็หลงเชื่อกันไปว่าเป็นรักแท้ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้จักรักแท้เลยไม่รู้ว่าหน้าตาของรักแท้เป็นอย่างไร พอได้ยินคำสัญญาที่ดูเหมือนจะมั่นคงและจริงจังก็มักจะหลงใหลไปได้

รักที่แท้นั้นเป็นการอยู่เพื่อให้ มีกันและกันเพื่อที่จะให้ความสุข ความสบายใจแก่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังอะไร ระยะทางแม้จะห่างไกลแสนไกล ต้องห่างกันนานแค่ไหนก็ไม่มีผลใดๆกับรักแท้เลย ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพคร่าวๆคงจะเหมือนกับลูกที่ห่างพ่อแม่ไปหลายปีแต่กลับมาก็ยังรู้สึกดีต่อกันรักกันเหมือนเดิม เหมือนกับเพื่อนที่ห่างหายกันไปร่วมสิบปีแต่ก็กลับมาคุยกันยิ้มและยินดีต่อกันได้

…รักไม่แท้แพ้ทุกอย่าง

รักที่ไม่แท้นั้นไม่ได้แพ้แค่ระยะทาง แต่จะแพ้ไปเสียทุกอย่าง เพราะถ้ามันไม่แท้แล้วมันก็ย่อมเสื่อมและเปลี่ยนแปลงไปในสักวันหนึ่ง

เหตุที่แพ้ทุกอย่างนั้นก็เพราะกิเลส คู่รักที่ห่างไกลกันนั้นยามใกล้กันก็สามารถสนองกิเลสปรนเปรอกันได้ แต่เมื่อยามห่างไกลกิเลสยังอยู่แต่คู่ไม่อยู่ ด้วยความอดกลั้นที่มีจำกัดและแรงของกิเลสที่ไม่มีวันจำกัดจึงส่งผลให้วันใดวันหนึ่งที่กิเลสร้อนแรงพุ่งทะลุปรอท ออกนอกใจที่เคยให้สัญญากับคู่ไว้ ไปหาสิ่งของ ผู้คน หรือเหตุการณ์ต่างๆมาบำรุงบำเรอกิเลสตนเอง

กรณีที่เห็นได้มากจนเหมือนเป็นเรื่องปกติคือการคบชู้ การมีกิ๊ก หรือการมีเมียน้อยผัวน้อย จะเรียกอะไรก็ตามแต่สำหรับคนที่มีรักไม่แท้นั้น หากห่างไกลคนรักนานๆแล้วก็มักจะหดหู่ห่อเหี่ยวสุดท้ายจึงต้องไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของตนมาบำเรอกิเลส เรื่องกามสมสู่เป็นเรื่องที่ผู้คนมักอดใจไม่ไหว ยอมทำลายศักดิ์ศรี ยอมทำลายคำมั่นสัญญา ยอมทำลายความเป็นมนุษย์เพื่อที่จะไปเสพให้สมกิเลส เพราะทนกับทุกข์ของความอยากเหล่านั้นไม่ได้

เรื่องกิเลสเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนคุ้นเคย แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ลองพรากจากสิ่งที่ตัวเองติดดูสักครั้งก็จะรู้ซึ้ง ยกตัวอย่างเช่น ติดกาแฟร้านประจำที่ปกติกินทุกเช้าร้านอื่นไม่เคยเข้า เข้าแต่ร้านนี้ แต่พอต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวันก็นอกใจกาแฟร้านเดิมไปซื้อกาแฟร้านท้องถิ่น เพราะอดใจห้ามใจไม่กินกาแฟไม่ไหว

เรื่องคู่ก็เหมือนกัน หลายคนไม่ได้มีคู่เพราะความรักที่แท้ แต่มีคู่เพราะความใคร่ อยากมีเพราะอยากสมสู่โดยใช้ความรักมาเป็นข้ออ้าง เมื่ออยู่ด้วยกันได้เสพสมใจกันก็ยังไม่มีอาการอะไร แต่พอต้องห่างกันไปกลับมีอาการใคร่อยากกระหายกามจนต้องนอกใจไปคบชู้ ไปสมสู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่รักที่ตนสัญญากันไว้ว่าจะไม่ทำร้ายใจกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับที่ยกตัวอย่างเรื่องกาแฟ เราก็ไม่ได้ปักมั่นว่าต้องกินร้านเดิมหรือร้านใหม่ แม้เราจะชอบร้านเดิมแต่ถ้ามันหาไม่ได้ก็กินร้านใหม่ เพราะจริงๆเราติดกาแฟมากกว่าติดร้านกาแฟถึงแม้จะรักชอบพอถูกใจกับร้านนั้นก็ตามทีเหมือนกันกับคู่รักที่นอกใจกัน เขาเองก็ไม่ได้ติดว่าต้องมีคู่ แต่ที่เขาติดจริงๆคือเรื่องการสมสู่ คือการมีคนมาปรนเปรอบำบัดความใคร่อยาก ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ ให้ความสำคัญ

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากความรักที่ไม่แท้ รักที่ไม่ได้ให้ รักที่คิดแต่จะเอา พอไม่ได้อย่างที่ใจต้องการก็ไปหากินเอากับคนอื่นที่สามารถปรนเปรอกิเลสตนเองได้ นี้คือบทสรุปของรักไม่แท้แพ้ระยะทาง

– – – – – – – – – – – – – – –

1.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร

December 1, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,316 views 0

เนื้อคู่...อยากรู้ว่าใคร

เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร

ถ้าพูดกันถึงเรื่องความรักก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเนื้อคู่ โดยเฉพาะคนโสดที่ยังเฝ้าฝัน เฝ้าใฝ่หาใครสักคนมาครองคู่ซึ่งเรามักจะเรียกคนนั้นว่า “เนื้อคู่” เรามักจะเข้าใจคำว่าเนื้อคู่ไปในเชิงอุดมคติ ฟังดูโรแมนติก เหมือนเรื่องในนิยาย พาให้ฝันหวาน พาให้เคลิ้มไป ทั้งๆที่เนื้อคู่นั่นแหละคือ “ตัวเวรตัวกรรม” ของจริงเลย

ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่ในบทของคู่รัก โดยรวบรวมมาทั้งหมด 13 หัวข้อ ซึ่งจะค่อยๆตอบคำถามคลายความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อคู่ไปตามลำดับ

1).เนื้อคู่อยากรู้ไปทำไม?

คงจะสงสัยว่ามันมีจริงไหม ที่เขาว่ากันว่าคนเรามีเนื้อคู่ คนที่มีครอบครัวหรือมีคนรักแล้วส่วนใหญ่ก็คงจะไม่สงสัยเพราะได้เจออยู่ตรงหน้าแต่ส่วนจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่อง คนที่อยากรู้เรื่องเนื้อคู่โดยมากจะเป็นคนโสดหรือคนอกหักที่ผิดหวังกับความรักมา

จริงๆแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องเนื้อคู่ไปทำไม เพราะถึงรู้ไปแต่ไม่เจอมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี หรือถึงจะเข้ามาในชีวิตแต่เราไม่ยินดีหรือไม่ประทับใจมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี เนื้อคู่จึงกลายเป็นวิมานบนฟ้าที่จับต้องไม่ได้เป็นเหมือนภาพสวยๆเอาไว้ปลอบใจคนให้เฝ้าฝันว่าสิ่งที่ค้นหานั้นมีอยู่จริงสักวันคงจะเจอ

ก่อนจะอ่านต่อไปก็ให้ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราอยากจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม รู้แล้วมันมีประโยชน์อะไร รู้ไปแล้วมันมีความสุขขึ้นไหม หรือยิ่งรู้ยิ่งทุกข์

2).เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร?

การที่เราจะไปอยากรู้ว่าเป็นใคร คนไหน ทำอะไร มาเมื่อไร เรามักจะใช้ช่องทางที่ผิด คือไปดูดวง ไปดูหมอ ไปฟังการทำนายต่างๆ ซึ่งส่วนมากก็จะไม่ตรงและเป็นโทษ

เพราะทำให้เราหลงสะกดจิตตัวเองเข้าไปในภพหรือในความคาดหวังตามลักษณะที่เขาระบุเข้าให้แล้ว เมื่อเจอคนที่ตรงตามลักษณะก็อาจจะทำให้หลงไปเองทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแต่กิเลสนั้นพาให้เราเข้าไปเกี่ยวเอง

การจะรู้ได้ว่าเนื้อคู่เป็นใครนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อพบแล้ว เจอแล้ว หลงแล้ว รักแล้ว ทุกข์แล้ว คือพอเจอแล้วสุขแล้วทุกข์ หนีเท่าไรก็หนีไม่ได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็เล่นเอาหลงแทบตายหรือไม่ก็ไปตาสว่างตอนแต่งงานแล้ว คนที่อยู่กับเราใกล้ชิดกับเราแล้วทำให้เกิดทุกข์สุขนั่นแหละเนื้อคู่ เป็นคู่เวรคู่กรรม เป็นตัวเวรตัวกรรมที่เกิดมาสร้างบุญสร้างบาปร่วมกับเรา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางสร้างบาป

3).เนื้อคู่จะพบเจอได้อย่างไร?

การพบเนื้อคู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดที่ต้องเดินทางไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนให้มันลำบาก ถ้าไม่มีกรรมร่วมกันขอให้ตายก็ไม่มีวันเจอ จะบินไปอ้อนวอนบนบานเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลกก็ไม่มีทางได้พบ เพราะเนื้อคู่เป็นเรื่องของบุญและกรรม

ผู้คนมักเฝ้ารอคอยว่าเนื้อคู่จะเป็นใคร มาถึงเมื่อไหร่ เขาจะเป็นอย่างไร เฝ้าตามหา เฝ้ามองหาซึ่งจริงๆแล้วเรื่องเนื้อคู่มันง่ายกว่านั้น ง่ายจนไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พอถึงเวลาเขาก็มาเคาะประตูหน้าบ้านเอง หรือไม่ก็จะมีอะไรบางอย่างดลให้ได้พบเจอ ได้ผูกพัน ได้ใกล้ชิด ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยไม่จำเป็นต้องไปวอนขอกับใครที่ไหน

การวอนขอหรือตั้งจิตขอนั้น แท้จริงเป็นการเบิกบุญกุศลของตัวเองนำสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาออกมาใช้ นั่นหมายถึงถ้าเราเคยทำกรรมเรื่องคู่ไว้ เราก็อาจจะได้เจอก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลใครไว้ ไม่เคยทำดีหรือทำชั่วกับใครไว้ก็ยากที่จะดึงใครเข้ามาในชีวิตเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วหากเราเบิกกุศลที่ตัวเองเคยทำมามันจะไม่ได้ทันที ฟ้าหรือกรรมจะแกล้งไม่ให้เรารับผลที่เราอยากได้ในทันที เรามีกรรมที่จะมีคู่จริงนะแต่โอกาสนั้นมันจะยังไม่เป็นของเรา เพราะเราอยากมีด้วยความอยากซึ่งเป็นกิเลส พอเป็นกิเลสกรรมก็จะดึงอกุศลเข้ามาร่วมด้วย ทำให้เราต้องพบกับทุกข์ทรมานทางจิตใจ เหมือนจะได้เหมือนจะไม่ได้อยู่นั่น ผลสุดท้ายแล้วจะได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมที่เรามีและเคยมีร่วมกัน

4).เนื้อคู่ถ้าเจอแล้วจะมีลักษณะอย่างไร?

ลักษณะหรืออาการเวลาที่เจอกับเนื้อคู่นั้น มักจะมีอาการพิเศษแตกต่างจากคนอื่นจนรู้สึกได้ การได้พบเจอนั้นไม่ได้หมายว่าต้องตอนนั้นหรือในเวลานั้นทันที อาจจะต้องรอไปจนถึงเวลาที่เหมาะสม เวลาที่กรรมจะเขียนบทให้ได้มีความสัมพันธ์ร่วมกัน

เมื่อเจอแล้วจะพบว่ามีความรู้สึกดูดดึงแปลกๆ จะดูดตลอดเวลา จะผลักก็ไม่ได้ ถึงจะพยายามผลักไสเขาออกจากชีวิตแต่เดี๋ยวก็จะวนกลับมา จะมีเหตุให้ต้องกลับมาคบหากันอีกเรียกได้ว่าถึงไล่ก็ไม่ไป เพราะส่วนหนึ่งคือเราก็จะไปหลงเขาเองอีกส่วนหนึ่งคือกรรมมันผูกกันมาด้วย

เนื้อคู่ที่เคยร่วมภพร่วมชาติกันมานั้นจะมีลักษณะที่เห็นได้เด่นชัดคือทั้งดูดทั้งผลัก ทั้งรักทั้งชัง คือมีทั้งดีและร้ายซึ่งเป็นกรรมของคนที่เคยปฏิบัติดีและปฏิบัติไม่ดีต่อกันมาก่อน เป็นผลกรรมที่เคยร่วมชาติกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดใดๆในชาติก่อนๆเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ญาติ ลูกน้อง ศัตรู ก็สามารถที่จะวนกลับมาเป็นเนื้อคู่ของเราได้ เพราะมีกรรมที่ผูกพันกัน

เราสามารถดูลักษณะได้จากการคบหาว่าเคยมีกรรมแบบใดกันมา เช่น ถ้าคบหาแล้วสร้างแต่ทุกข์ เอาแต่พลาญเงินทอง ทำลายชื่อเสียงนั่นแหละกรรมเขาดึงศัตรูมาให้เป็นคู่ แต่มันจะออกไม่ได้นะมันจะรักจะหลงเขาไปจนหมดกรรมนั่นแหละ หรือถ้าเป็นแม่กันมาก็จะคบกันแล้วมีลักษณะคล้ายแม่กับลูก มีคนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็กและทั้งคู่ก็ยินยอมให้เกิดสภาพนั้นด้วยนะ ส่วนถ้าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนก็มักจะเสมอกันจะมีอาการดูดผลักรักชังกันอย่างชัดเจน เพราะเคยรักกันทะเลาะกันมาก่อน ชาตินี้ก็เลยต้องมารับกรรมเดิมต่อ

การพบเจอใครสักคนแล้วหลงรักหลงชอบไม่ได้หมายความว่าเป็นเนื้อคู่เสมอไป แต่อาจจะเป็นเพราะกิเลสเราทำให้เราคิดจินตนาการไปเอง เช่นเราชอบคนหน้าตาแบบนี้พอวันหนึ่งไปเจอคนแบบนี้แล้วได้ใกล้ชิดเราก็หลงไปว่าเป็นเนื้อคู่ อันนี้เราคิดไปเองเพราะกิเลสเราสั่งให้เราพยายามที่จะไขว่คว้าในสิ่งที่เราหลงชอบ

เนื้อคู่จริงๆนั้นมันจะมาแบบทะลุสติ จะกันไม่อยู่ ถึงจะมีสติมากเก่งกล้าเพียงใดแต่จะทะลุกำแพงที่ป้องกันไว้ทั้งหมด เพราะกรรมนั้นทะลุทุกสิ่ง กรรมจะดลให้ต้องพบ ต้องเจอ ต้องหลง ต้องรัก ต้องทุกข์ทรมานเศร้าโศกเสียใจคร่ำครวญรำพัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีทดสอบดูว่าเนื้อคู่จริงหรือไม่ก็ให้ล้างกิเลสของเราให้ได้ก่อนจึงจะเห็นได้อย่างแท้จริงว่าคนที่เรารู้สึกดูดดึงนั้นมาจากกิเลส หรือมาจากกรรมเก่าจัดฉากให้เราต้องรับกรรมนั้น

5).เนื้อคู่มีแล้วได้อะไร?

เราอาจจะไม่เคยคิดไปว่ามีเนื้อคู่ไปแล้วได้อะไร มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนในชีวิตแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น เราต้องการเพียงแค่คนแก้เหงา คนดูแล คนปรนเปรอเรื่องการสมสู่การมีลูก หรือสิ่งที่เรียกว่าการสร้างครอบครัวเท่านั้นหรือ

น้ำหนักโดยส่วนมากของการมีคู่จะหนักไปในทางการสมสู่หรือการมี sex ด้วยซ้ำ คนจะเข้ามาหากันส่วนหนึ่งก็เพราะดึงดูดทางเพศ คนจะเบื่อหน่ายกันทะเลาะกันส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาเรื่องการสมสู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ยอมรับแต่กลับเป็นเรื่องจริงที่ทรงอิทธิพลต่อการมีคู่ มีสักคู่ไหมที่คบหากันแต่งงานกันแล้วมีการสมสู่เพียงแค่ต้องการมีลูก โดยมากก็สมสู่ด้วยความอยาก ด้วยกามราคะ ด้วยกามตัณหา ด้วยความใคร่อยากเสพกันทั้งนั้นซึ่งจริงๆแล้วการมีคู่คือการเอาคู่มาปรนเปรอกิเลสตัวเองโดยใช้คำว่าธรรมชาติ การแต่งงาน ความสมบูรณ์ของชีวิตเป็นคำที่ดูเหมือนจะดูดีมาปิดปังกิเลสไว้

อีกเหตุผลหนึ่งคือการมีครอบครัว อยากมีลูก อยากมีใครให้ดูแล แล้วที่มีอยู่มันไม่พอดูแลหรืออย่างไร พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรที่เคยเกื้อกูลเรามาตั้งแต่เด็ก คนเหล่านี้ไม่เรียกว่าครอบครัวหรืออย่างไร ทั้งที่จริงครอบครัวของคนส่วนใหญ่นั้นก็สมบูรณ์อยู่แล้วไม่ต้องไปหาเพิ่มแล้ว เพียงแค่กลับมาดูแลผู้มีพระคุณก็ประเสริฐมากแล้ว

แต่กลับไปแยกครอบครัวสร้างครอบครัวใหม่ เพิ่มภาระให้ตัวเองลดเวลาในการที่จะดูแลพ่อแม่ลง มันเป็นสิ่งที่สมควรจริงหรือ เป็นสิ่งดีงามจริงหรือ แม้จะดูเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องขยายพันธุ์แล้วมันดีจริงหรือ ถ้าดีจริงทำไมพระพุทธเจ้าให้อยู่เป็นโสด ให้งดสมสู่ ให้ออกบวชเพื่อพ้นจากเพศฆราวาส ทั้งหมดก็เพื่อการพ้นทุกข์ นั่นหมายถึงว่าการสร้างครอบครัวใหม่ การสมสู่ การมีลูก เป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกข์อยู่นั่นเอง

เรามีคู่เพียงแค่ต้องการเสพเรื่องสมสู่ อยากมีคนดูแลเอาใจใส่ อยากมีลูก อยากรู้สึกมีความมั่นคงในชีวิต มันคุ้มแล้วจริงหรือที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาครอบครองโดยแลกกับทุกข์ชั่วนิรันดร์

6).เนื้อคู่ของขวัญจากฟ้าจริงหรือ?

คำว่าเนื้อคู่นั้นถ้าได้ฟังแล้วก็เหมือนสิ่งดีสิ่งพิเศษที่ฟ้าส่งมาให้ แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ดลบันดาลให้เราเจอเนื้อคู่ก็คือกรรมของเราเองและเนื้อคู่นั้นก็คือคู่กรรมของเราเองคู่ที่สร้างกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่สร้างร่วมกันมาก็ต้องมารับต่อ

ดังนั้นเนื้อคู่จึงไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะคนที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาก็ต้องมีทั้งเรื่องดีและร้ายเราก็ต้องมารับทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ซึ่งกรรมดีเหล่านั้นก็มักจะให้ผลเป็นสุข ส่วนกรรมชั่วก็จะพาให้ทุกข์ จึงต้องเจอทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป

ทีนี้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะรับทั้งสุขและทุกข์เพราะเข้าใจว่ามันเท่าๆกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่เท่ากันเพราะการอยากมีคู่นั้นเป็นกิเลส เรื่องราวในชีวิตของคนคู่ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ การมีลูก การพากันเสพสุขต่างๆ ปัญหาในครอบครัวล้วนแต่เป็นเรื่องที่พาให้เพิ่มกิเลส พอเพิ่มกิเลสมันก็เพิ่มทุกข์ แรกๆมันจะสุขเพราะได้เสพแต่หลังๆมันจะทุกข์สุดทุกข์ ทุกข์แต่ก็ออกไม่ได้บอกใครไม่ได้เพราะหลงติดสุขลวงเล็กๆที่กิเลสหลอกให้สุขน้อยทุกข์มากอยู่ร่ำไป

ดังนั้นเนื้อคู่คือของขวัญจากฟ้าหรือสิ่งดีคงจะตอบได้ว่าไม่ใช่ เป็นแค่เพียงกรรมเก่าของเรา เราดีทำมามากกว่าชั่วเราก็รับดีมากกว่า เราทำชั่วมากกว่าดีเราก็รับชั่วมากกว่า แต่สุดท้ายถ้าเรารับเนื้อคู่คนนั้นเขามาในชีวิตเราก็จะสะสมเรื่องชั่วไปเรื่อย เพราะเรื่องดีที่สุดคือปล่อยเนื้อคู่คนนั้นไปตามกรรมของเขาเสีย

7).เนื้อคู่คือสุดท้ายของชีวิตคู่

หลายคนเข้าใจว่าเนื้อคู่คือที่สุดของชีวิต คือสุดท้ายของชีวิต คือบทจบอย่างสวยงามของชีวิต ก่อนจะเข้าเรื่องก็ถามกันก่อนว่าจนป่านนี้แล้วเจอเนื้อคู่มากี่คนแล้ว มีแฟนคบหาดูใจกันมากี่คนแล้ว แล้วมันสุขไหม มันจบไหม ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นแต่อาจจะมีกรรมไม่แรงพอจะดลให้แต่งงานก็ได้

คนที่ได้แต่งงานก็หลงไปว่าแต่งงานครั้งสุดท้ายในชีวิต ชีวิตจะจบสวยงามเหมือนในนิทานในหนังที่ตัดจบอวสานไปตอนที่พระเอกนางเอกตกลงครองรักกัน แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหลายคู่คบกันไม่นานก็ต้องหย่าร้างกัน หลายคู่มีลูกด้วยกันหลายคนแล้วก็ยังมีปัญหาชู้สาว คบหากันมาเป็นสิบยี่สิบปีสุดท้ายเลิกรากันก็มีให้เห็นอยู่มาก

ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นนะ ตอนแต่งงานไม่เห็นมีสักคนที่คิดว่ารักฉันจะล่มในวันใดวันหนึ่ง คิดแค่ว่าคนนี้แหละคู่ฉันคนสุดท้ายของฉัน เขาทั้งคู่คิดอย่างนั้นจริงๆนะ แต่สุดท้ายมันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ คือกิเลสมันไม่เที่ยง มันเพิ่มได้ พอเราเสพสมใจในคู่ตัวเองแล้วเบื่อ แต่กิเลสยังมีฤทธิ์แรงอยู่ก็จะผลักดันให้ไปหากินนอกบ้านไปสมสู่คนอื่นไปมีชู้ไปมีคู่ใหม่ อาการเหล่านี้เป็นได้ทั้งชายและหญิงเพราะกิเลสไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ

ปัญหาเรื่องการสมสู่ที่ไม่เป็นไปดังใจหวังนับเป็นปัญหาระดับโลกของการมีคู่ เพราะต้องคอยสนองกิเลสให้คู่ของตนบำรุงบำเรอกาม หากไม่บำเรอกามคู่ของตนก็อาจจะมีปัญหาภายในบ้าน และสุดท้ายก็ต้องพบปัญหาเพราะเราไม่สามารถสนองกิเลสใครได้ตลอดเวลาและตลอดไป ไม่ว่าอายุมากแค่ไหนแต่ถ้ากิเลสไม่ดับกามเมถุนก็ไม่ดับ ความอยากสมสู่ไม่มีวันดับไปด้วยการเสพสมใจแต่จะดับไปได้ด้วยการพิจารณาธรรมให้ถูกตัวกิเลส

ดังนั้นการจะบอกว่าเนื้อคู่เป็นที่สุดของชีวิตนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันก็คงจะไม่ใช่คำที่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด

8).เนื้อคู่ที่ใช่ในวันที่ไม่ใช่

คนที่เข้ามาในวันเวลาที่ไม่สมควร ไม่เป็นกุศลเป็นข้าศึกต่อศีล ไม่ใช่เนื้อคู่ที่มาดีแน่ ผู้ที่เข้ามาและพาให้ผิดศีลผิดธรรมนั้นเป็นคู่บาปอย่างแน่นอน เพราะคู่บุญนั้นแม้ว่าจะมีอาการดูดดึงต่อกันก็จะมีความรู้สึกผิดและเกรงกลัวต่อบาปหรือที่เรียกว่ามี “หิริโอตัปปะ

สมควรแล้วหรือที่เราจะต้อนรับคู่บาปเข้ามาในชีวิต จะดีจริงหรือที่เราจะเปิดโอกาสให้เขาทำบาปกับเรา ถ้าเราตัดใจเสียก็ไม่ต้องก่อเวรก่อบาปซ้ำซ้อนไปอีก คนที่เข้ามานั้นเขาเพียงแค่เข้ามาเพื่อทดสอบความมั่นคงของเรา ทดสอบศีลธรรมของเราว่าเรานั้นยังควรคู่กับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐอยู่หรือไม่

9).เนื้อคู่กับการจองเวรข้ามภพข้ามชาติ

การมีเนื้อคู่นั้นหมายถึงการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพชาติ ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจก็ตามแต่ผลมันจะเป็นไปตามกรรมที่ทำเช่น ชาตินี้เรามีแฟนผูกพันกัน ทำดีต่อกันเราก็ยึดดี พอทำไม่ดีต่อกันเราก็ผูกโกรธพยาบาท ทั้งดีทั้งร้ายนี้เราก็ต้องมารับผลกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะจองเวรจองกรรมในด้านดีหรือร้ายก็ตาม เราก็ต้องตามไปรับผลนั้นด้วย นั่นหมายถึงว่าชาตินี้คือตัวกำหนดภพหรือสภาพที่จะต้องเจอของชาติหน้าหรือเหตุการณ์หน้า นั่นอาจจะหมายถึงคู่คนถัดไปในชาตินี้หรือจะทะลุไปยังชีวิตหน้าก็ได้

เมื่อเห็นอนาคตดังนั้นจึงย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน สภาพของปัจจุบันที่เราเจอนั้นเกิดจากกรรมในอดีต เกิดจากการจองเวรจองกรรมในอดีต ทุกคนทุกคู่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทั้งสมหวังทั้งผิดหวังคือเนื้อคู่ที่จองเวรจองกรรมกันมา แล้วแต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเวรกรรมน้อยก็แค่ทนทุกข์ในขณะคบหาเป็นแฟน แต่ถ้าเวรกรรมมันมากก็ต้องแต่งงานไปชดใช้กรรมร่วมกัน จะหนีก็หนีไม่ได้นะ ยิ่งถ้าไม่ได้ล้างกิเลสนี่ยิ่งไปกันใหญ่นอกจากกรรมเก่าจะไม่ได้ชดใช้จนหมดแล้วยังสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกผูกภพผูกชาติกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมต่อกันไปในชาติหน้าอีก

โดยทั่วไปคนอาจจะมองว่าดีจัง มีคนผูกไปทุกชาติ ลองไปถามคนที่ทุกข์เพราะรัก และรักแล้วยังทนทุกข์หรือคนที่ชีวิตพังเพราะรักว่าให้เจอแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม ให้สุขน้อยทุกข์มากแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม พอคนรู้แล้วว่าสุขน้อยทุกข์มากก็จะไม่มีใครเอาเพราะเขารู้ความจริง

ทีนี้คนที่หลงไปกับโลกหลงไปกับสื่อที่โลกลวงในเรื่องของเนื้อคู่ คนรัก แฟน ครอบครัวว่าถ้ามีแล้วจะมีความสุขมีแล้วชีวิตจะสมบูรณ์ก็คือคนที่ยังไม่เห็นทุกข์ ดังนั้นเลยต้องไปลองทุกข์ให้เห็นก่อนจึงจะเข้าใจ ส่วนคนที่มีปัญญาเห็นคนอื่นทุกข์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะสิ่งนี้มันสะสมมาหลายภพหลายชาติ เขาเจ็บเขาทุกข์เพราะการมีเนื้อคู่มาหลายชาติมันก็เลยจดจำในวิญญาณแม้ชาตินี้จะไม่เคยมีคู่แต่มันจะไม่เอาโดยธรรมชาติ ให้ไปเสพก็จะไม่สุข ถึงสุขก็ไม่นาน พอได้รับทุกข์ก็จะกระเด็นออกมา เพราะมันเข็ด มันขยาด มันทุกข์

เนื้อคู่นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่ดีไปเสียหมด เพราะต้องมาคอยใช้เวรใช้กรรมกัน และส่วนมากเป็นการใช้หนี้ เพราะเมื่อมีคู่เราก็ทำแต่บาป ทำบาปมันก็มีแต่ทุกข์ มีแต่หนี้บาปที่ต้องมาชดใช้กันข้ามภพข้ามชาติเพียงเพราะหลงไปเสพสุขลวง

10).เนื้อคู่เมื่อไหร่จะหนีพ้น

เมื่อเห็นความทุกข์ทรมานจากสุขน้อยทุกข์มากของการมีเนื้อคู่มาตามจองเวรจองกรรมแล้วก็อาจจะเริ่มขยาด เริ่มรู้สึกไม่อยากทุกข์ อยากจะเจอแต่ความสุขจะได้ไหม ก็จะตอบกันว่า ”ได้” นั่นคือหนีเนื้อคู่ให้พ้น

การหนีไม่ใช่การวิ่งหนี ย้ายบ้านหนี หลบหน้า ไม่ยอมพบเจอ ไม่รับโทรศัพท์อันนี้มันหนีแบบโลกๆ มันหนีไม่พ้นเพราะถึงจะหนีพ้นชาตินี้ชาติหน้าก็เจออยู่ดีเพราะกรรมมันไม่ได้ถูกชดใช้มันก็จ่อรอส่งผลอยู่นั่นเองและมันจะสะสมมากขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นก้อนใหญ่ขนาดที่หลบไม่พ้นหนีไม่ได้ในวันใดวันหนึ่ง

การจะหนีจากเนื้อคู่ต้องหนีด้วยการล้างกิเลสในตัวเราและทำกุศลทำดีกับเขาหรือคนรอบข้างเขาให้มาก เพราะคนที่เป็นเนื้อคู่กันมาคือคนที่มีหนี้บาปหนี้บุญกันมา ดังนั้นจึงต้องใช้หนี้จนหมดจึงจะพ้นจากการไล่จองเวรจองกรรมและล้างกิเลสของเราเพื่อไม่ให้ตัวเราไปจองเวรจองกรรมเขาจนต้องวนเวียนมาใช้กรรมกันอยู่เรื่อยๆ

11).ประโยชน์ของเนื้อคู่

มาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าเนื้อคู่จะไม่ได้มีแค่มุมดีเพียงอย่างเดียว ยังมีมุมร้ายมุมทุกข์ซ่อนอยู่มากมายเหมือนขนมหวานที่สอดไส้ด้วยยาพิษ จะว่าไปแล้วมันก็ทุกข์ทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะสุขที่ได้ก็เป็นเพียงสุขลวงที่รอให้เกิดทุกข์แท้ๆ

แต่การมีเนื้อคู่เข้ามาในชีวิตก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด ผู้มีปัญญาสามารถหาประโยชน์ได้แม้ยามตัวเองต้องตกหล่นไปในกองกิเลส พยายามหาทางแหวกว่ายดิ้นหนีจากบ่วงกรรมที่ผูกมัด เนื้อคู่นี้เองที่เข้ามาเป็นโจทย์ให้เราศึกษาธรรม ให้เราบรรลุธรรม ให้เราพ้นทุกข์

การจะออกจากทุกข์ได้นั้น เราจำเป็นต้องทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เข้าใจทุกข์จึงจะเห็นธรรม การมีอยู่ของเนื้อคู่จึงมีคุณค่าตรงที่เป็นตัวกระตุ้นเป็นตัวกระทุ้งให้เราเห็นกิเลส เพราะต้องเป็นคนนี้เท่านั้นที่เราจะเกิดอาการหลง อาการมัวเมาไปกับเขาได้ กับคนอื่นเราไม่หลงขนาดคนนี้เราก็ต้องใช้คนนี้แหละเป็นโจทย์ในการล้างกิเลสเพื่อบรรลุธรรมของเรา

จะว่าเนื้อคู่นั้นมีอยู่เพื่อให้เราออกจากคู่ก็ว่าได้ เขาจะเข้ามาทำให้เราทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกชาติจนกว่าเราจะเกิดปัญญา จนกว่าจะเห็นว่าการมีคู่ชีวิตที่รับเข้ามาเป็นคู่รัก เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นครอบครัวนั้นเป็นภาระ พาทุกข์ พาชั่ว พาจน พาวนเวียนในวัฏสงสารอย่างไร

12).เนื้อคู่กับความรักที่เหนือโลก

คงจะมีคำถามว่าถ้ามีคู่กันแล้วร่วมสร้างกุศลช่วยเหลือเกื้อกูลกันทำประโยชน์กันไปเรื่อยๆได้ไหม เพราะการจะไม่มีคู่เลยมันก็รู้สึกทุกข์มากเหมือนกัน เหตุเพราะความอยากมีคู่กับความเหงานั้นรุนแรงเหลือเกิน

ก็คงจะตอบว่าได้ ถ้าความรักกับเนื้อคู่คนนั้นพาให้เกิดกุศลจริง ในกรณีคนที่คบกันแล้วสามารถพากันลดกิเลสได้ ลดกิเลสกันเป็น ไม่พากันเพิ่มกิเลส อยู่ในศีล ๕ กันเป็นเรื่องปกติในชีวิตก็ถือว่าอยู่ในขีดที่พ้นทุกข์และพ้นภัยไปได้หลายส่วน แต่ก็ยังต้องทุกข์อยู่ดี ถ้าจะคบกันให้เกิดกุศลมากขึ้นก็ให้ถือศีลเพิ่มคือ “อพรหมจริยา เวรมณี” คือให้เว้นขาดจากการประพฤติที่ไม่เป็นพรหมวิหาร ในความเข้าใจทั่วไปก็คือการไม่สมสู่กัน รักที่ไม่สมสู่กันคือการไม่เสริมกิเลสแก่กัน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและยากจะเข้าใจถึงเนื้อหาสาระแท้ของศีลข้อนี้ หลายคนเข้าใจว่าการสมสู่คือหน้าที่ คือความสุข คือความสมบูรณ์แบบในชีวิตคู่ทั้งที่จริงสิ่งนั้นเป็นกิเลสแท้ๆ กิเลสบริสุทธิ์แบบไม่มีอะไรเจือปน ผู้ที่คิดจะคบหามีคู่ครองแล้วพากันเจริญไปทั้งทางโลกและทางธรรมจึงควรปฏิบัติศีลข้อนี้บ้าง และขัดเกลากิเลสจนถือศีลข้อนี้ให้ได้เป็นปกติ คือไม่สมสู่กันเป็นเรื่องปกติ เป็นความรักที่เหนือโลก เพราะตามโลกหรือโลกียะคนเป็นคู่เขาต้องสมสู่กันจึงจะมีความสุข แต่เราเป็นคนเหนือโลกคือไม่ไหลไปตามโลก แม้จะไม่สมสู่กันเราก็ยังคงรักกัน ดูแลกัน เกื้อกูลกัน และอยู่กันอย่างมีความสุข

13).เนื้อคู่กับกัลยาณมิตร

จะดีไหมหากเราจะเปลี่ยนเนื้อคู่ที่ต้องมาใช้เวรใช้กรรมกันทุกภพทุกชาติเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหาย เป็นกัลยาณมิตร เพราะในที่สุดแล้วการจะคบหาเป็นคู่ครองนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นกัลยาณมิตรต่อกันแล้วก็คงจะช่วยกันลดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตไปได้อีกมายมาย

กัลยาณมิตรหมายถึงมิตรที่ดีงาม มิตรที่พาเจริญไปทั้งในทางโลกและทางธรรม เป็นเสมือนเพื่อนคู่ชีวิตใกล้ชิดเรื่องใจ แต่ไม่ใกล้ชิดกาย เนื้อคู่หรือคู่รักที่เจริญทางธรรมมากสุดท้ายก็จะก้าวเข้าสู่ลักษณะของกัลยาณมิตรไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ร่วมกันหยุดชั่ว พากันไม่ทำชั่ว พากันถือศีล เจริญในธรรม พากันทำแต่ความดี สิ่งดี สิ่งที่เป็นกุศล พากันทำจิตใจให้ผ่องใส่ พากันลดกิเลส พากันล้างกิเลส มีความยินดีต่อกันเมื่อเกิดสิ่งดี และพร้อมจะช่วยเหลือกันหากพลาดพลั้งทำผิด และยอมรับคำตักเตือนของกันและกันเพื่อความเจริญแห่งสุขแท้

ถ้าเรามองว่าชีวิตนี้เหงา อยากมีคู่ อยากมีเพื่อนร่วมชีวิต อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คอยช่วยคิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข เนื้อคู่ในเชิงคู่รักคงจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่ากับกัลยาณมิตร เพราะความเป็นเพื่อนนั้นตั้งอยู่ได้นานกว่า เป็นประโยชน์กว่า ทุกข์น้อยกว่า สุขใจเมื่อได้ใกล้ ยินดีแม้ยามห่างไกล กัลยาณมิตรนั้นแม้ตัวไกลแต่ใจก็ยังใกล้กันยังระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน พร้อมเพรียงกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สภาวะเหล่านี้คือที่สุดแห่งมิตร เป็นสุดยอดแห่งกัลยาณมิตร และเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นแห่งการพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

28.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

คนบ้ากินมังฯ ๒

December 1, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,314 views 1

คนบ้ากินมังฯ ๒

คนบ้ากินมังฯ ๒

…บ้าจริง บ้าหลอกหรือหายบ้า มาอ่านกัน ฉบับไขข้อข้องใจทุกประเด็นเกี่ยวกับบทความ “คนบ้ากินมังฯ”

*(คำเตือน !! ก่อนที่จะอ่านบทความนี้ควรจะอ่านบทความ”คนบ้ากินมังฯ”ก่อน ….และหากอ่านจบแล้วยังรู้สึกไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรงหลังจากอ่านก็อย่าพึ่งอ่านบทความนี้ รอให้รู้สึกว่าตัวเองสงสัย ข้องใจ หรือเหลืออารมณ์ไม่พอใจเพียงเล็กน้อยค่อยอ่านจึงจะเหมาะ)

**ในบทความนี้ขออนุญาตใช้ธรรมะเข้ามาร่วมอธิบาย อาจจะเป็นสิ่งไม่คุ้นเคยสำหรับบางท่านให้ลองอ่านผ่านๆไปก่อนและเนื้อหาจะเป็นไปในเชิงไขกิเลส กรรมและขยายเนื้อหาในบทความคนบ้ากินมัง หากสนใจที่จะไขข้อข้องใจก็มาอ่านกันต่อ

เริ่มกันเลย!

1). อัตตา

หลังจากที่ได้เผยแพร่บทความคนบ้ากินมังฯออกไปนั้นก็มีเสียงตอบรับเข้ามามากมาย และส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่สามารถเข้าใจได้แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

สำหรับคนที่ติดตามเพจนี้มาก่อนจะขอยกไว้ในฐานที่เข้าใจ ส่วนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอาจจะแบ่งได้หลายส่วนเช่น เห็นแย้งในทันที , สงสัย , ต่อว่า , ด่า , ส่งเสริมเชิญชวนหรือช่วยอธิบายเรื่องมังสวิรัติ ,พยายามปรับความเข้าใจ, เข้าใจที่สื่อสาร …เหตุอันใดที่ทำให้คนเข้าใจสื่อเดียวกันต่างกัน ถ้าสื่อนั้นผิดพลาดจริงๆคนทั้งหมดก็ควรจะเข้าใจผิด แต่ทำไมยังมีคนที่เข้าใจตามที่ได้สื่อสาร ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญของบทความนี้

การที่เราเข้าใจต่างกันนั้นมีเหตุมาจากทิฏฐิที่ต่างกัน บางคนตัดสินตั้งแต่เห็นหัวเรื่อง บางคนตัดสินหลังจากอ่านจบ บางคนตัดสินแต่ไม่ต่อว่าและกลับชวนให้ลองกินมังสวิรัติ จะบอกว่าเรามีทิฏฐิที่ต่างกัน คนเราต่างกันนั้นมันก็เป็นคำพูดที่ตีรวมๆ เข้าใจแต่ไม่เข้าใจ ไม่ลึกถึงเหตุ มองไม่ขาด เพราะเหตุจริงๆที่ทำให้เรามีทิฏฐิที่ต่างกัน คือกิเลส หรือในที่นี้ก็คือ “อัตตา

อัตตาคือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ในกรณีของมังสวิรัติก็คือ “อรูปอัตตา” เป็นอัตตาที่ไม่มีรูปร่างให้เห็นให้หยิบจับแล้ว เป็นความเชื่อ ความเห็น ความเข้าใจ นั่นคือเรายึดความเชื่อความเห็นความเข้าใจในมังสวิรัติมาเป็นตัวเราของเรา พอเรายึดแล้วเราก็กอดมันไว้ รัดมันไว้ รักมัน หวงมันโดยไม่รู้ว่าอัตตานี่คือกิเลสที่ทำให้เราเป็นทุกข์

คนมีอัตตาหลายคนแม้จะไม่ได้ไปยุ่งกับคนอื่น แต่ถ้าใครเข้ามาแตะในพื้นที่หวงห้ามเช่นมาด่าว่าคนกินมังสวิรัติว่าบ้าว่าโง่ เหมือนกับเข้ามาเขย่าบ้านของตนเอง ก็จะรีบออกมาปกป้องบ้านของตนทันที ปกป้องสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่น ปกป้องกิเลส

เราจะเริ่มมีอัตตาก็เพราะเรามีศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ศรัทธาในการกินมังสวิรัตินั้นดี แต่การที่เราจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในความดีนี้ไม่ดี คนกินมังสวิรัติหรือศรัทธาในมังสวิรัติส่วนมากจะมองว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนมีปัญญา เป็นคนละบาปบำเพ็ญบุญ จึงมีอาการยึดดีหรือยึดความดีเป็นตัวตนหรือมีอัตตา ซึ่งพอมีใครมาเห็นแย้งว่าที่เราทำมันบ้า มันโง่ คนที่ยึดว่าเรามีปัญญา เป็นคนดี ก็จะทุกข์ร้อนเพราะไม่ได้เสพคำชื่นชมอย่างที่ตัวเองเคยได้แถมยังโดนด่าอีก อันนี้ไม่ได้ผิดตรงมังสวิรัติแต่มันผิดตรงที่เราหลงยึดว่าเราเป็นคนดี เป็นคนมีปัญญาแล้วเราเข้าใจว่าคนอื่นจะต้องเข้าใจว่าเราเป็นเช่นนั้น

เมื่อมีคนมาพูดกระทบอัตตา ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่ามังสวิรัติต้องเป็นคนดี ต้องเป็นคนมีปัญญา ต้องเรียกว่าฉลาดสิเพราะเว้นจากการเบียดเบียน พวกเขาจึงได้ออกมาแสดงทัศนคติตามกิเลสของแต่ละคนกิเลสมากก็แรงมาก กิเลสน้อยก็แรงน้อย กระทบกระทั่งกันไปเพราะความอยากเอาชนะ อยากให้คนที่ต่อว่าคนกินมังสวิรัติบ้าและโง่นั้นแพ้ นั้นย่อยยับ นั้นสลายหายไป เพราะเราไม่อยากให้ใครมาคิดต่างหรือเข้ามาลุกล้ำอัตตาซึ่งเป็นกิเลสที่เราหวงสุดหวง ทั้งหมดนั้นก็เพื่อเสพสมอัตตาของเขาคือมังสวิรัติดี มีปัญญา ฉลาด เป็นบุญ เป็นความเจริญ ใครคิดตามได้แต่ถ้าคิดต่างไม่ต้องมาคุยกัน ถ้าคุยกันก็จะตอบโต้ไปตามปริมาณความยึดดีที่มี

มังสวิรัตินั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การยึดมั่นถือมั่นในความดีของมังสวิรัติเป็นคนละเรื่องกัน ขึ้นชื่อว่ากิเลสมันก็ไม่ดีอยู่แล้ว แต่คนส่วนมากมักจะกอดเก็บมันไว้ เมื่อวันใดวันหนึ่งที่มีใครเข้ามาท้าทายอัตตา เขาเหล่านั้นก็พร้อมที่จะท้าทายกลับด้วยความคิด ด้วยวาจา ด้วยท่าทาง แล้วแต่ว่าใครจะปรุงกิเลสไปได้แค่ไหน ปรุงแต่งคำด่าคำพูดได้เท่าไหร่ก็บาปเท่านั้น เพราะความโกรธ ความไม่พอใจก็ขึ้นชื่อว่ากิเลส ดังนั้นจะหาประโยชน์จากความไม่พอใจนี้ไม่มีเลย

ในบทของกำลัง 8 พระพุทธเจ้าตรัสว่า บัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง ส่วนคนพาลมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่ามีคนอ่านบทความนี้มากมายหลายคน แต่ก็มีคนที่คิดเห็นแตกต่างกันไป คนที่เจริญในธรรมมีอัตตาน้อย ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็จะไม่เพ่งโทษใครแม้เขาจะมาด่ามาว่า ในทางกลับกันคนพาลนั้นมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง กำลังคืออะไร ก็คือพลังในการทำบาป ทำอกุศล ยิ่งเพ่งโทษแรงเท่าไหร่ กำลังก็ยิ่งแรง บาปก็ยิ่งแรง อกุศลก็ยิ่งแรง กรรมก็ยิ่งมากขึ้นไปด้วย

คนมีอัตตานั้นจะรู้สึกว่าตนไม่ผิดที่เพ่งโทษใครหรือด่าใคร “ในนามแห่งความถูกต้องข้าขอประหารเจ้า” เขาจะลงดาบในทันที และในวินาทีนั้นมโนกรรม วจีกรรม กายธรรมก็ได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว จิตนั้นสังเคราะห์อารมณ์ไม่พอใจ วจีนั้นเกิดการปรุงแต่งขึ้นในใจ จนกระทั่งมือพิมพ์คีย์บอร์ดส่งข้อความที่เต็มไปด้วยอัตตาเผยแพร่สู่สาธารณะ กระตุ้นให้คนอื่นที่ได้อ่านเกิดความโกรธเกลียดตามกันไป เป็นวิบากบาปที่จะเกิดซ้ำซ้อนส่งต่อเนื่องกันไปมา

ชีวิตเราอาจจะรีบเกินไปก็ได้ เรารีบทุกอย่าง รีบอ่าน รีบตัดสิน แล้วก็รีบทำบาป มันจะมาซวยตรงรีบทำบาปนี่แหละ จะขยันทำอะไรก็ตามแต่ ถ้าขยันทำบาปนี่ก็อย่าทำเสียเลยจะดีกว่า หยุดไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะทำไปมันก็ไม่คุ้ม ไปตำหนิติเตียนใครด้วยความไม่พอใจมันก็เท่านั้น ยิ่งสมัยนี้เครื่องมือสื่อสารมันก็เร็วเฟสบุคก็เข้าถึงได้ทุกคน การช่วยกันสะสมบาปก็ง่ายขึ้น เช่นมีคนหนึ่งพิมพ์ข้อความตำหนิต่อว่า เราก็ดันไปร่วมวงกดถูกใจในคำปรุงแต่งจากกิเลสของเขาก็ถือเป็นการทำบาปที่สะดวกและรวดเร็วเหมาะกับยุคนี้มากๆ ทีนี้พอกดถูกใจเข้ามากๆ เจ้าของข้อความนั้นเลยเหมือนขึ้นหลังเสือกันเลยทีเดียว พอกอัตตากันใหญ่ขึ้นไปอีก ทีนี้เวลาจะลงมันลงยาก เหมือนกิเลสมันขึ้นมาแล้วมันก็ไม่ได้ลงไปง่ายๆ

หลายคนไม่ได้อ่านถึงบทความนี้ ไม่ได้อ่านแม้บทชี้แจง ก็ไม่มีโอกาสรู้ตัวแล้วก็หอบบาปหอบกรรมที่ตัวเองทำไว้เป็นสมบัติต่อไป ส่วนคนมีอัตตามากๆถึงจะอ่านมาถึงตรงนี้ก็ยังหงุดหงิดติดอัตตาอยู่ บางอ่านไปก็ไม่เข้าใจเพราะใจมันไม่เปิด มันจำได้แค่อารมณ์แรกที่ได้ประทับไว้ในใจแล้วยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตาซ้อนอีกชั้นหนาเข้าไปอีก แต่บางคนสามารถรอดพ้นไปได้ด้วยเมตตา คืออ่านแล้วเห็นใจจึงแนะนำด้วยจิตเมตตาตรงนี้เป็นกุศล เป็นบุญ ก็ถือว่าสามารถสร้างสิ่งดีให้กับตัวเองบนกองกิเลสได้ แต่ถ้าคนอ่านด้วยอุเบกขาจึงจะสามารถเข้าถึงสาระแท้ของสารนั้นๆได้

แท้จริงแล้วมันไม่เกี่ยวเลยว่าคู่สนทนาหรือคนที่เราไม่ชอบใจนั้นเขาจะถูกหรือจะผิด โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่วันใดก็วันหนึ่งกรรมก็จะส่งคนที่ทำให้เราไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ขัดใจเข้ามาในชีวิตเราอยู่ดี แล้วเรายังต้องโกรธเขา ไม่พอใจเขา ชิงชังรังเกียจเขา ทะเลาะเบาะแว้งกับเขาไปตลอดเช่นนั้นหรือทั้งๆที่ศัตรูตัวร้ายนั้นคือตัวเราเอง คืออัตตาของเราเอง คือความยึดมั่นถือมั่นของเราเอง

สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจคือสิ่งที่เรายึดไว้ พอเรายึดไว้ถือไว้ คนอื่นจะมาแย่ง มารบกวน มาทำลาย เราก็จะไม่พอใจ ก็จะออกอาการไปตามพลังของกิเลสของแต่ละคนตามกรรมที่ทำมา ตามกิเลสที่สะสมมา

เรามักคิดว่าคนกินมังสวิรัตินั้นมีเมตตา จิตใจดี เห็นใจสัตว์โลก แต่ความเมตตาเหล่านั้นก็ยังไม่ครอบคลุมถึงสัตว์โลกทั้งหมด เขายังเบียดเบียนมนุษย์คนอื่นด้วยถ้อยคำแห่งความดี เยอะเย้ยถากถาง ด้วยสารพัดประโยคที่จะปรุงแต่งได้ตามความสะใจ นี้หรือคือผู้ไม่เบียดเบียน นี้หรือคือผู้มีเมตตา เราจะมั่นใจได้อย่างไรหากเรายังมีความโกรธความเกลียดในสิ่งอื่นที่เห็นต่างไปจากเรา

การที่ชาวมังสวิรัติไปเถียง ไปด่า ไปเยอะเย้ยถากถาง ก็คือการเบียดเบียนอยู่นั่นเอง แม้ไม่ได้ฆ่าแต่ก็เบียดเบียนด้วยวาจาไปที่ใจและกระบวนของกิเลสทั้งหมดนี้สร้างบาปสะสมให้กับตัวเองด้วย นั่นหมายถึงเบียดเบียนคนอื่นและเบียดเบียนตัวเองไปด้วยในทีเดียวกัน

ผู้กินมังสวิรัติที่สามารถล้างกิเลสได้จริง จะสามารถตั้งตนอยู่ได้บนความสงบ พูดแต่สัจจะ พูดแต่ความจริง ยกตัวอย่างเช่นคนที่เข้ามาช่วยพิจารณาประโยชน์ของการกินมังสวิรัติก็ถือว่าสามารถเอาตัวรอดจากบาปนี้ได้ ส่วนคนที่ไม่พิมพ์ไม่ตอบโต้ไม่ใช่ว่าจะไม่สร้างบาปเวรภัย เพียงแค่คิดร้ายก็เป็นมโนกรรมที่มากพอที่จะทำให้ชีวิตและจิตใจได้รับทุกข์จากกรรมนี้ได้เช่นกัน

ดังนั้นคนที่กินมังสวิรัติแล้วไม่ล้างกิเลส ไม่ล้างอัตตาก็จะสร้างบาปเวรภัยไปในตัว ทำกุศลปนบาปโดยไม่รู้ตัว ไม่ผ่องใส่ ไม่ปลอดโปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบาย เช่นตอนมีคนมาว่าร้ายชาวมังสวิรัติ คนที่ไม่ล้างกิเลสก็จะร้อนรน โกรธ ไม่พอใจ จนเป็นเหตุให้เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นได้ ดังนั้นจะเรียกตัวเองว่าผู้ไม่เบียดเบียนย่อมเป็นคำโกหก ผิดศีลข้อ ๔ ซ้ำเข้าไปอีก สร้างบาปเวรภัยให้กับตัวเองเข้าไปอีก กินมังสวิรัติว่าได้กุศลแล้ว ยังโดนวิบากบาปลากไปให้ทำชั่วให้ทำทุกข์อีก มันจะคุ้มไหม?

จะดีไหมหากเราจะกินมังสวิรัติไปด้วยล้างกิเลสไปด้วย ล้างความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรายึดไว้ไปด้วย จะดีไหมหากเราจะรู้สึกเฉยๆถ้ามีคนมาต่อว่าในสิ่งที่เราเป็น ในสิ่งที่เราชอบ จะดีไหมถ้าเราไม่ต้องทำทุกข์ทับถมตัวเองเพราะเราเลี้ยงกิเลสไว้

กิเลสไม่ใช่ตัวเรา ความยึดมั่นถือมั่นในมังสวิรัติไม่ใช่เรา เราไม่จำเป็นต้องยึดไว้ เราเพียงแค่ยึดอาศัย อาศัยให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตนี้ เรากินมังสวิรัติแต่เราไม่ยึดติด ไม่ยึดติดไม่ได้หมายถึงกินเนื้อบ้างกินผักบ้าง แต่หมายถึงว่าไม่ยึดติดกับความเป็นมังสวิรัติ เพราะถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นมังสวิรัติแล้วมีคนมาว่าเราก็ทุกข์ แต่ถ้าเรายึดอาศัยเราก็กินของเราไป แต่ถ้าใครมาว่าเราก็ไม่ทุกข์ เพราะเราไม่ได้ถือ เราไม่ได้มีตัวตน เราเลยไม่ต้องทุกข์

สุดท้ายของบทไขอัตตานี้ก็ให้ผู้อ่านได้ทบทวนตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเรา มันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเกิดเพราะอะไร มันดับไปเพราะอะไร แล้วมันจะเกิดอีกไหม จะดีกว่าไหมถ้ามันจะไม่เกิดอีกเลย ก็ขอให้ท่านลองพิจารณาดู

2).กรรม

กรรมอันใดหนอที่ทำให้ต้องมีคนเข้าใจผิด ต้องผิดใจ ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ในบทนี้ผมจะลองไขกรรมของตัวเองอย่างคร่าวๆเพื่อให้เห็นภาพของวิบากบาปหรือผลของบาปที่เคยทำไว้ในอดีตกาล

ผมเองตั้งใจพิมพ์บทความด้วยความคิดว่าจะลองสื่อสารในอีกมุม เป็นมุมของคนกินเนื้อสัตว์ที่ข้องใจในมังสวิรัติ ซึ่งก็เป็นคนที่มีการกระทบกระทั่งกันให้เห็นกันตามกระทู้มังสวิรัติทั่วไปนั่นเอง ทีนี้เราก็คิดว่าขัดเกลาบทความดีแล้ว เรียบเรียงใส่คำใบ้ ใส่นัยสำคัญ ใส่เฉลยไว้เรียบร้อย กะว่าเพื่อนอ่านจบคงจะเข้าใจได้เอง แต่มันก็ผิดคาดไป ตรงนี้เป็นการประมาณผิดไม่ได้มีอะไรมาก แต่กรรมนั้นเองดลให้ได้ข้อมูลเท่านี้ ให้เขียนแบบนี้ ให้ประมาณผิดเช่นนี้ ซึ่งเราดูได้จากผลที่เกิดขึ้นคือมีคนเข้าใจผิดเป็นจำนวนมากและมีคนเข้ามาต่อว่ามากมาย อันนี้ในชาติใดชาติหนึ่งผมคงเคยไปยุแยงใครให้เกลียดให้เข้าใจคนอื่นผิดทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็เลยต้องมารับวิบากนี้ ซึ่งรับแล้วก็หมดไป มีคนมาด่าชีวิตผมก็ดีขึ้นเพราะได้ใช้กรรม กรรมชั่วหมดไปก็เปิดโอกาสให้กรรมดีที่ทำไว้ได้ส่งผลมากขึ้น สรุปแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นผมมองว่าดีทั้งหมด

เมื่อกรรมชั่วได้ถูกชำระหนี้ไปแล้วกรรมดีก็ได้เกิดขึ้น มีคนที่เข้าใจในเนื้อหาสาระของบทความมาช่วยขยายความให้ ช่วยให้หลายคนได้คลายสงสัย ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงนี้จะเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนที่เห็นพลังของกรรมดีที่ทำไว้อย่างชัดเจน ถ้าผมไม่เคยทำดีไว้ ก็คงจะไม่มีใครมาช่วยแบบนี้ สิ่งนี้เองเป็นผลจากการที่เราทำกรรมดีสะสมไว้บ้าง

แต่กรรมชั่วที่หมดไปนั้นเอง จะหมดไปไม่ได้หากไม่มีคนเข้ามาช่วย มีคนที่เสียสละยอมทำบาปจำนวนมากที่เป็นสะพานให้ผมได้ใช้กรรมชั่วที่เคยทำมาในอดีต เขาเหล่านั้นคือผู้รับวิบากบาปต่อในส่วนที่เขาทำและส่วนอื่นที่เขาได้ขยายต่อไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะผลกรรมชั่วของเขาก็ลากเขามาให้เขาทำกรรมนี้เช่นกัน เพราะถ้าไม่มีอัตตาขนาดนี้เขาคงไม่ด่า ถ้าเขาล้างอัตตาได้เขาก็ไม่ต้องมารับบาป ในส่วนนี้ก็เห็นใจเพื่อนๆจริงๆ จะมีสักกี่คนที่ได้อ่านมาถึงบทความนี้ ในร้อยคนที่อ่านจะมีสักกี่คนที่เขาด่าแล้วจากไป พวกเขาเหล่านั้นจากไปพร้อมของฝากชิ้นใหญ่คือกรรมที่เขาต้องรับไว้ เหมือนกับชีวิตผมที่มีกองบาปกรรมทับอยู่ แล้วมีคนมาหอบกองบาปกรรมเหล่านั้นกลับบ้านไปเพราะหลงว่าเป็นของดี หากใครยังรู้สึกติดใจ ขุ่นเคืองใจอยู่ก็อยากจะให้พิจารณาดีๆว่ามันคุ้มไหมที่จะเอาบาปนี้กลับไปเป็นสมบัติของตัวเอง

ทั้งหมดนี้ไขให้เห็นกระบวนการของกรรมในภาพกว้างๆ ให้พอรู้ว่ากรรมชั่วกรรมดีมันมีผล

3). เกี่ยวกับบทความคนบ้ากินมัง

ในบทความนี้ผมได้วางเนื้อหาสาระสำคัญไว้หลายจุดด้วยกัน หากใครยังไม่เห็นหรือมองผ่านไปก็ลองอ่านกันดูได้

3.1). คนเกิดมาก็กินเนื้อแต่บ้าเปลี่ยนมากินผัก

อันนี้คือการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ เพราะคนส่วนมากที่มีจิตเจริญขึ้นก็จะเบียดเบียนผู้อื่นน้อยลง ทุกคนเริ่มมาจากการกินเนื้อสัตว์เหมือนกันหมดแต่ทำไมบางคนหันมากินมังสวิรัติ มันเป็นไปได้อย่างไร จิตใจมันเจริญขึ้นได้อย่างไร ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์

3.2 ) ด้วยสติปัญญาที่พวกเขามี เขาจึงไปเชื่อลัทธิหนึ่ง

คำว่าลัทธิในที่นี้หมายถึงกลุ่ม ถ้ามองจากคนนอกที่เขาไม่กินเนื้อ เขาไม่รู้หรอกว่าเราไปอยู่กลุ่มไหนเขาก็มองเป็นกลุ่มก้อนเป็นลัทธินั่นแหละ ซึ่งลัทธิในที่นี้อาจจะเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม หรือศาสนา นิกาย กลุ่มคน กลุ่มสังคม กลุ่มในเฟสบุคก็ได้ที่มีลักษณะกลุ่มก้อนที่เสนอสื่อ ให้ความรู้ ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกินมังฯ และด้วยสติปัญญาที่มี คือมีปัญญารู้คุณรู้โทษจึงเชื่อและพยายามกินมังสวิรัติ

หลายคนเข้าใจว่ากินมังสวิรัติด้วยตัวเอง อยู่ๆก็ไม่อยากกินเนื้อสัตว์เอง มองว่าในชาตินี้ไม่ได้มีสื่อใดกระตุ้นเลย ถ้ามองแค่ในชาตินี้มันก็เข้าใจถูกตามนี้ ดูว่าเป็นคนเก่ง แต่แท้ที่จริงแล้วความเบื่อหน่ายเนื้อสัตว์นี้เป็นสิ่งที่สะสมมาหลายภพหลายชาติ ซึ่งการจะออกจากสิ่งที่เป็นโทษ เข้าถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงนั้นจะคิดเอาเองไม่ได้ นึกเอา เดาเอา มั่วเอาเองไม่ได้เลย ต้องมีสัตบุรุษหรือผู้รู้สัจจะเป็นผู้บอก ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวเก่าแก่ในชาติปางก่อนก็ได้ เพราะทุกอย่างมาแต่เหตุ แล้วเหตุใดที่เราไม่อยากกินเนื้อสัตว์ ทั้งๆที่ในชาตินี้เราก็ไม่ได้เพียรพยายามใดๆเลย แต่กลับเห็นคนอื่นเขาเพียรพยายามกันอย่างยากลำบากตกแล้วตกอีก พลาดแล้วพลาดอีก นั่นเพราะเราทำมามาก ฟังมามาก เลยมีผลส่งมามาก ในส่วนนี้ที่ขยายไว้เพิ่มเพราะคนที่ทำอะไรได้ด้วยตัวเองมักจะมีอัตตาแรง คนเก่งมักมีอัตตาจัดเสมอ ก็ขอให้พิจารณาไว้

3.3 ฟังแล้วมีแต่ข้อดี จึงใช้ความเพียรพยายามในการลดละเลิก

ตรงนี้คือการพิจารณาประโยชน์ของการกินมังสวิรัติ เมื่อจิตเข้าถึงประโยชน์แล้วจึงใช้ความเพียร คนที่กินมังสวิรัติได้สมบูรณ์จริงๆจะรู้ว่าต้องใช้ความเพียรอย่างมากในการตัดกิเลส ในการห้ามใจไม่คิดถึงเนื้อสัตว์ ในการอยู่กลางวงเนื้อสัตว์โดยไม่กิน ในการยอมถูกบ่นถูกด่าจากผู้ที่ไม่เห็นดีกับการกินเนื้อสัตว์โดยไม่โกรธ สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความเพียรมาก ไม่ได้มากันง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นสิ่งที่สั่งสมข้ามภพข้ามชาติมา

3.4 ให้กินเนื้อฟรีก็ไม่กิน แถมเงินก็ไม่กิน

เป็นสภาพของคนที่พ้นจากความอยากแล้วเท่านั้นจึงจะเข้าใจความสบายใจที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ คนที่กินมังสวิรัติแต่ไม่ได้ล้างกิเลสจะเหลืออาการอยาก เขาไม่กินแล้วนะแต่เห็นแล้วก็ยังอยากกิน แม้จะสามารถข่มใจไว้ได้แต่กิเลสก็จะโตขึ้นเรื่อยๆดังที่เห็นคนกินมังสวิรัติมานานแต่กลับไปกินเนื้อสัตว์ เพราะกิเลสมันโตจนกดไว้ไม่ไหว

3.5 มีเนื้อให้กินดีๆไม่กิน จะกินผัก

คนกินมังสวิรัตินั้นเป็นคนที่ยอมอดทน แม้จะต้องกดข่มก็ยังเจริญกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ตามกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนจะบรรลุธรรมได้เพราะความเพียร ถ้าหากเราอยากพ้นความอยากกินเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นกิเลสที่ผลักดันให้เราไปกินเนื้อสัตว์แล้วเราต้องใช้ความเพียรที่ถูกต้องสู่การพ้นทุกข์ โดยมีความเชื่อที่ถูกต้องสู่การพ้นทุกข์เป็นหางเสือควบคุมทิศทางเช่นกัน

3.6 ชอบทวนกระแสโลก

คนที่สู้กับกิเลส ไม่ยอมทำตามกิเลสนั้นก็ถือว่าได้พยายามทวนกระแสโลก หรือกระแสของกิเลสแล้ว ส่วนจะถึงฝั่งฝันไหมก็คงต้องเพียรต่อไป คำว่าทวนกระแสโลกนั้นในทางธรรมก็เป็นที่เข้าใจอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของโลกุตระ เป็นเรื่องของอีกโลกที่ไม่เหมือนโลกียะ ไม่เหมือนปลาตายที่ลอยตามน้ำ

3.7 ชอบมาเผยแพร่ลัทธิ

พอเราสามารถกินมังสวิรัติจนเห็นผลดีกับชีวิตและจิตใจตัวเองแล้ว เราก็จะเริ่มทำการเผยแพร่สิ่งดีให้กับคนรัก คนใกล้ชิด และบางครั้งก็ต้องพบกับความไม่ยินดี ไม่เอาด้วย หรือเอาด้วยแต่เอานิดเดียวนะ ซึ่งพอมีการสื่อสารหรือการแลกเปลี่ยนความเห็นความเข้าใจที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้เกิดความคิดเห็นไม่ตรงกัน นำมาซึ่งความผิดใจกันและการทะเลาะเบาะแว้งได้

3.8 บ้าในโลกส่วนตัว

คนกินมังสวิรัติที่อยู่ในโลกส่วนตัวนั้นมีให้เห็นกว้างๆอยู่สองพวก หนึ่งคือพวกที่ติดโลกธรรมเลยไม่ถือสาคนอื่น กลัวเขาไม่คบ กลัวเขาว่า กลัวเขาเกลียด กลัวเขานินทา เกรงใจเขา อีกส่วนหนึ่งคือพวกที่สามารถลดกิเลสลดอัตตาได้ ก็จะไม่ถือสาคนอื่นเช่นกัน จะกินมังไปได้อย่างปกติ แม้จะมีคนมาด่าหรือต่อว่าก็จะไม่ไปทำร้ายจิตใจใคร

3.9 บ้าระรานชาวบ้าน

เป็นคนกินมังสวิรัติที่มีอัตตามาก มักจะพยายามยัดเยียดสิ่งดีคือมังสวิรัติให้ผู้อื่น ยัดเข้าไปจนเขาอ้วก จนเขาเอือมระอา จนเขาเกลียดมังสวิรัติไปเลยก็มี และอัตตายังส่งผลให้ปกป้องตัวเองเช่นกัน ดังเช่นเมื่อมีคนมาเห็นต่างเห็นแย้ง พวกเขาก็พร้อมจะหยิบอาวุธขึ้นมาปกป้องความเชื่อของตัวเอง ฟาดฟันผู้อื่นด้วยความคิด คำพูด การกระทำต่างๆ

ถามว่าทำไมถึงเรียกว่าระรานชาวบ้าน ทั้งๆที่ถูกโจมตี เพราะแท้จริงชาวมังสวิรัตินั้นคือผู้มีเมตตา ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก นั้นหมายถึงสัตว์และมนุษย์ด้วย แม้ว่าเขาจะมาด่า กล่าวหาว่าร้าย มาโจมตีใดๆก็ตาม ก็ไม่ใช่เหตุที่เราจะต้องไปเบียดเบียนเขากลับเลย

คนมีอัตตาจะมองไม่เห็นตรงนี้เพราะกิเลสจะบังตาทันทีที่มีคนพูดแล้วขัดกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อหรือมาด่าต่อว่า เมื่อมองไม่เห็นกิเลสตัวเองก็โทษว่าคนอื่นผิด ว่าแล้วก็โกรธเขาแล้วเข้าใจว่ามันถูกต้อง คือเขาผิดเราจึงโกรธ อันนี้มันความเห็นของคนมีกิเลส มันก็ชั่วอยู่ดีนั่นเอง เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นอยู่ดีนั่นเอง

3.10 ดูสิพวกกินมังฯทั้งโง่ทั้งบ้า

มีเนื้อให้กินก็ไม่กิน กินฟรีก็ไม่กิน กินแต่ผัก ไม่ไปตามกระแสโลก ไม่ไปตามกิเลส คนทั่วไปเขามองเราแบบนี้มันก็ถูกของเขา เพราะเขาเห็นว่าทำแบบเรามันลำบาก มันทรมาน มันบ้า ไม่มีใครเขามาล้างกิเลส ลดกิเลสกันหรอก เขามีแต่จะพากันเพิ่มกิเลส

ในประโยคสุดท้ายนี่ทิ้งไว้โดยสื่อสารอย่างชัดเจนว่าคนที่เลือกกินเนื้อนั้นกินตามกิเลส ส่วนคนคิดจะกินมังสวิรัตินั้นคือคนทวนกระแสกิเลส หากผู้ใดได้พิจารณาบทความ คนบ้ากินมัง ดีๆจนกระทั่งในตอนจบก็จะไม่มีความสงสัยใดในบทนี้ ยกเว้นตัวท่านเองกินมังสวิรัติโดยไม่รู้เรื่องกิเลส ซึ่งก็ขอให้ท่านค่อยๆศึกษาและติดตามจากบทความอื่นๆที่ผมได้นำเสนอมาแล้วและจะนำเสนอต่อไปอีกเรื่อยๆ

…สุดท้ายนี้ขอยืนยันว่าถ้าคนล้างกิเลสเรื่องมังสวิรัติได้จริงจะสามารถอ่านบทความ “คนบ้ากินมังฯ” ได้ฉลุย ผ่านตลอด ไม่มีแม้ความขุ่นเคืองใจใดๆในทุกวินาทีที่อ่าน เพราะเขาเหล่านั้นได้ล้างอัตตาหรือความยึดดีในมังสวิรัติซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุที่ทำให้ไม่พอใจ ทำให้ขุ่นเคือง หรือทำให้โกรธออกไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนผู้ที่เห็นอัตตาของตัวเอง และเริ่มเห็นว่านี่แหละคือศัตรูตัวร้ายที่แอบซ่อนและฝังอยู่ในจิตใจของเรามานาน เป็นตัวที่ทำให้เราทุกข์ทุกครั้งเมื่อต้องเจอกับประเด็นต่างๆที่ไม่พอใจในเรื่องมังสวิรัติ ก็แนะนำให้เรียนรู้เรื่องกิเลส เรียนรู้เกี่ยวกับการล้างกิเลส ท่านจะศึกษากับครูบาอาจารย์หรือใช้วิธีอื่นก็ได้ตามที่ชอบหรือเห็นควรก็ได้

ซึ่งในส่วนของผมเองนั้นจะสร้างกลุ่มที่คุยเรื่องมังสวิรัติกับกิเลสที่ Buddhism Vegetarian

– – – – – – – – – – – – – – –

1.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

คนบ้ากินมังฯ

November 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,399 views 0

คนบ้ากินมังฯ

คนบ้ากินมังฯ

…มีเนื้อสัตว์ให้กินดีๆไม่ยอมกินดันไปกินแต่ผัก

(**คำเตือน !! กรุณาทำใจก่อนอ่าน ,อ่านไปอย่าคิดอะไรมาก จบแล้วค่อยคิด ค่อยตัดสินใจก็ได้นะ)

เกิดมาเป็นคนตั้งแต่จำความได้ก็มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว พ่อแม่สรรหาอาหารที่เพียบพร้อมไปด้วยอาหาร 5 หมู่ เนื้อสัตว์ นม ไข่ ผัก แป้ง อะไรต่อมิอะไรก็มีครบกันหมด แต่โตมาดันมาเลิกกินเนื้อ …นี่มันบ้ารึเปล่า!!

คนที่กินมังสวิรัติโดยส่วนมากนั้นต่างก็เคยเป็นคนที่กินเนื้อสัตว์มาก่อน เสพติดเนื้อสัตว์มาก่อน หลงใหลในรสของเนื้อสัตว์มาก่อน และเติบโตมาด้วยเนื้อสัตว์มาก่อน แต่พอถึงเวลาอันสมควรแก่เหตุ เขาจึงได้พบลัทธิที่เผยแพร่การลดเนื้อกินผัก ไม่ว่าจะมังสวิรัติหรือกินเจ

ด้วยสติปัญญาเท่าที่เขามี พวกเขาจึงไปเชื่อลัทธิเหล่านั้น ที่บอกกับพวกเขาว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นสร้างบาปเวรภัยให้ชีวิตอย่างไร เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นอย่างไร ทำให้เกิดโรคและความเจ็บป่วยอย่างไร สร้างอกุศลกรรมให้กับตัวเองอย่างไร และยังบอกอีกนะว่า ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกตินะ แม้ไม่กินเนื้อสัตว์แต่ก็ยังสุขภาพดีนะ แม้ไม่ได้กินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ก็ยังมีโปรตีนอื่นนะ มีคนมีชื่อเสียงหลายคนในโลกลดเนื้อกินผักหรือเป็นมังสวิรัติด้วยนะ

เมื่อฟังคำเชื้อเชิญที่น่าหลงใหลเหล่านี้ ฟังแล้วดูมีข้อดีมากมายไม่เห็นมีข้อเสียเลย ประกอบกับระดับสติปัญญาที่พวกเขามีทำให้พวกเขานั้นพยายามที่จะลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ให้ได้ เพราะเห็นผลดังที่ลัทธิเหล่านั้นกล่าวอ้างมา

หลังจากพยายามใช้ความเพียร สติ ปัญญาเท่าที่มีปฏิบัติจนเกิดความรู้สึกดังที่ลัทธิเหล่านั้นกล่าวอ้าง ผู้คนต่างมองพวกเขาเป็นเหมือนกับคนที่โดนสะกดจิต เหมือนกับไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคยเป็น พวกเขาบอกว่าไม่ได้อยากกินเนื้ออีกต่อไป และความรู้สึกของพวกเขาก็เป็นเช่นนั้นจริง เป็นของจริง พวกเขารู้สึกเช่นนั้นจากข้างในจริงๆ ยินดีที่จะไม่กินเนื้อสัตว์จริงๆ ให้ฟรีก็ไม่กิน ให้ฟรีแถมเงินก็ยังไม่กิน นี่มันบ้าชัดๆ!!

กว่าจะเกิดเป็นคนนี่มันยากเกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม คนทั่วไปจึงกินเนื้อสัตว์เป็นปกติไม่คิดจะมาลำบากลดเนื้อกินผักอย่างชาวมังฯ แต่คนที่มาลดเนื้อกินผักนี่มันเหมือนคนบ้า มีเนื้อให้กินดีๆไม่กิน ทั้งหาง่าย และมีขายทั่วไปก็ไม่ยอมกิน ดันจะไปกินแต่ผัก ชาวบ้านเขากินเนื้อกัน ส่งเสริมเนื้อสัตว์กันครึกโครม ร้านอาหารก็มีเมนูเนื้อสัตว์มากมายให้ลิ้มลอง กินไม่อั้นจ่ายนิดเดียวทำไมต้องไปกินผัก พวกนี้มันพวกคนบ้าไม่คิดเหมือนคนปกติทั่วไป ไม่คิดไปตามกระแสโลกเขา คนในโลกเขานิยมกินเนื้อก็ไม่กินตาม เป็นคนชอบขวางโลก ชอบทวนกระแสโลก เป็นแค่คนส่วนน้อยไม่ใช่คนส่วนใหญ่

แถมยังชอบมาเผยแพร่ลัทธิกับแนวคิดที่ไม่เหมือนกับคนอื่นคิดกัน รวมกลุ่มกันขึ้นมาอีก นี่มันจะบ้าไปกันไปใหญ่แล้ว คนส่วนใหญ่เขาไม่เอาด้วยหรอกเขาอยากกินเนื้อ เขาเชื่อว่าเนื้อให้ประโยชน์ ให้กำลัง และไม่ผิดที่จะกินเนื้อ พวกกินมังฯก็ยังจะหาข้อมูลมาบอกเขาอีกว่ามันผิด

ถ้าจะให้แบ่งก็คงจะบ้าเป็นสองประเภทคือ 1).บ้าในโลกส่วนตัว ลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจอยู่คนเดียว ไม่ข้องเกี่ยวใคร ใครมาถามก็ตอบไป ใครสนใจก็แนะนำไป ใครมาคุยก็คุย ใครมากินเนื้อข้างๆก็ได้ จะกินร่วมกับเขาก็ได้แต่ไม่ตักเนื้อสัตว์เข้าปาก นี่มันพวกมังสวิรัติโลกส่วนตัว

2). บ้าระรานชาวบ้าน อันนี้เรียกว่าฟุ้งซ่าน คลั่งลัทธิมากไปจนออกไปโจมตีคนที่กินเนื้อบ้าง คนที่กินมังสวิรัติแต่กินไม่เต็มที่บ้าง หรือชอบไปทะเลาะกับคนที่กินเนื้อบ้าง อันนี้คือคนบ้าที่ยังไม่ได้บำบัด ถ้าบำบัดแล้วจะกลายเป็นพวกบ้าในโลกส่วนตัว

เห็นไหมว่าคนปกติทั่วไปไม่มีใครเขาไปลำบากลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจ กินอะไรให้มันลำบากชีวิตจิตใจหรอก เขาก็กินตามกิเลสกันไปสิมีความสุขจะตาย จะไปฝืนกิเลสไปทวนกระแสโลก จะไปว่ายทวนน้ำให้มันลำบากไปทำไม ก็กินเนื้อสัตว์ไปแล้วก็บอกว่ากินเพื่อเลี้ยงร่างกายไปสิ แค่นี้ก็ดูดีจะตายไม่ต้องโง่ลำบากกินแต่ผัก ดูสิพวกกินมังฯทั้งบ้าทั้งโง่ มีเนื้อให้กินไม่กิน กินแต่ผัก เจริญล่ะคนเรา

– – – – – – – – – – – – – – –

***ชี้แจงกันหน่อย~ สำหรับบทความ “คนบ้ากินมังฯ”

ขออภัยจริงๆสำหรับเพื่อนๆชาวมังฯ แหม่..พอดีอยู่ๆผมก็คึกจะอยากจะลองเปลี่ยนแนวการเขียนสักนิด..เลยทำให้เข้า ใจยาก หรือทำให้เข้าใจผิดกันไปได้

เกริ่นกันก่อน…พอดีว่าเมื่อวานไปกินข้าวกับเพื่อนมา เป็นสุกี้บุฟเฟ่ต์นะ แต่เราก็สั่งแต่ผักกับเห็ดมาพูนจาน เพื่อนก็ทำหน้าแบบว่า “บ้ารึเปล่า” เราก็เก็บมาคิดขำๆ เอ้อ เรานี่บ้าแท้ แต่ก่อนกินเนื้อดีๆไม่ชอบ มาเปลี่ยนกินมังฯ ใครเขาจะมาทำกัน มีแต่คนบ้าอย่างเรานี่แหละที่ทำ ก็เลยเป็น key ของบทความนี้ครับ

ผมเองผิดพลาดตรงที่ไม่ได้ใส่ประธานลงไป คือถ้าใส่ไปว่า “ผมคือคนบ้ากินมังฯ” หลายคนก็คงจะไม่ติดใจอะไร พอไม่ได้ใส่ก็เหมือนไปด่ากราด ทีนี้คนที่มีอัตตาแรงๆ ยึดมั่นถือมั่นมากๆก็จะโกรธแรงเหมือนโดนด่า อันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจนะ แค่คิดไม่ถึง เพราะโดยส่วนตัวผมไม่ถือ ใครจะว่าบ้าก็ได้ ใครจะว่าโง่ก็ได้ เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่ดี จะบ้าจะโง่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็แค่สายตาของคนอื่นมอง

บทความนี้ผมพิมพ์ด้วยมุมของคนนอกที่มองเข้ามาที่คนกินมังฯ ซึ่งใช้ประสบการณ์ที่เก็บสะสมมา อาจจะไปคล้ายหรือโดนใจใครบ้าง

แต่ถึงอย่างไรก็ขออภัยอีกครั้งสำหรับความขุ่นข้องหมองใจที่ได้เกิดขึ้นกับ ทุกท่าน ส่วนคำติชมที่ท่านให้มานั้นผมยินดีรับไว้ ไม่จำเป็นต้องลบหรือแก้ไขอะไรเพราะมันเกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสารของผม เอง

– – – – – – – – – – – – – – –

30.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์