Tag: อยากมีลูก

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง

January 31, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,185 views 0

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ... หรือฉันรักตัวเอง

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง

…ความรักที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร?

ในบทความก่อนหน้านี้ได้ขยายเหตุว่าทำไมฉันจึงไปหลงรักเขาในมุมของกรรมกันมาแล้ว ในบทความนี้ก็จะมาขยายกันในมุมของกิเลสบ้าง ซึ่งจะทำให้เห็นภาพกิเลสได้ชัดเจนแค่ไหนก็ลองอ่านแล้วค่อยๆพิจารณาตามกันดู

ความรัก นั้นคือความอยาก แต่ในความอยากนั้นก็มีมิติที่ซับซ้อนทั้งดีและร้าย ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นไปในทางร้าย คือมีกิเลสปนอยู่ในความอยากนั่นเอง กิเลสเป็นตัวที่ผลักดันให้เราหลง ทำให้เราให้โอกาสเขาเข้ามาในชีวิต ทำให้เราตัดสินใจรัก หากเรายังไม่สามารถ “เห็น” กิเลสในตัวเองอย่างชัดเจน จนมั่นใจว่าความรักของฉันครั้งนี้นี่มันเกิดจากกิเลสตัวนั้นตัวนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจความรักที่แท้จริงได้ เพราะโดนกิเลสบังไว้จนกลายเป็น “ความรัก(จากกิเลส)ทำให้คนตาบอด

ในบทความนี้เราก็จะนำเสนอเรื่องกิเลสด้วยกันสี่หัวข้อคือ

  • 1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส : เริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มหาคู่กันเลย เป็นการเกิดขึ้นของกิเลส
  • 2). ทาสกิเลส : สภาพการตั้งอยู่ของความรักจากกิเลส
  • 3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร : สภาพการดับลงไปของความรักที่เต็มไปด้วยกิเลส
  • 4). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา : เป็น “ผล” ที่เกิดขึ้นจากความรักที่มีแต่บาปและอกุศล

หัวข้อทั้งหมดที่ได้เรียบเรียงมานั้นก็เพื่อจะนำเสนอให้เห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้น การดำเนินอยู่ จนกระทั่งการจบลงไป ซึ่งหากเราได้สำรวจและทบทวนดีๆก็จะเห็นได้ว่าในการคบหากันนั้นมีสภาพของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร มันตั้งอยู่นานเท่าไหร่ แล้วมันดับไปได้อย่างไร เราจะมาเรียนรู้กิเลสตามหัวข้อเหล่านี้กัน

1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส

การจะมีคู่ได้นั้น บางคนก็เป็นเรื่องยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร บางคนก็ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สังเคราะห์ขึ้นมาเช่น หน้าตาดี มีความมั่งคั่ง มีชื่อเสียง พูดจาดี อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาตั้งแต่เกิดหรือสิ่งที่ฝึกฝนหรือสร้างใหม่ขึ้นในชาตินี้ก็ได้

กลยุทธ์ในการมีคู่หรือหาคนมาบำเรอกิเลสนั้น จะอธิบายกันด้วยภาพกว้างๆ 3 ลักษณะ คือ รุก , รอสวนกลับ , รับ ซึ่งจะมีลีลาอาการที่แสดงออกต่างกัน ไม่จำเป็นว่าต้องมีแผนเดียวเสมอไป สลับสับเปลี่ยนแผนได้ตามกำลังกิเลสที่มี

1.1). รุก (จีบ)

คนที่เป็นฝ่ายรุกนั้นจะเป็นใครก็ได้ จะเป็นคนหน้าตาดีก็ได้ หน้าตาไม่ดีก็ได้ การรุกคือการเข้าไปจีบ การแสดงความอยากครอบครองโดยการสนองกิเลสต่างๆให้กับเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่หวัง โดยมากมักจะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เช่น คนสวย คนรวย คนมีชื่อเสียง แต่ถึงจะไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวกระตุ้น แค่ใช้แรงกระตุ้นจากธรรมชาติในแบบชายหญิงตามสัญชาติญาณของคนมีกิเลสทั่วๆไป ก็สามารถที่จะรุกได้เหมือนกัน หรือถ้าเขาหรือเธอสามารถกระตุ้นกิเลสเราได้มากพอที่เราจะอยากได้เขาจนตัวสั่นความอยากก็จะทำให้เรารุกเช่นกัน

คนที่ไม่มีวาสนาเก่ามาเช่น หน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย ก็อาจจะต้องเล่นเกมรุก เพราะคงจะหาคนมารุกตัวเองได้ยาก ตั้งรับไปก็ไม่มีใครมารุก แห้งเหี่ยวอยู่อย่างนั้น แต่กิเลสจะไม่ปล่อยให้เราแห้งตายอยู่แบบนั้น แม้จะหน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย พูดไม่เก่ง แต่พลังกิเลสจะกระตุ้นให้เราพัฒนา ออกกำลังกาย แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดี ทำศัลยกรรม ขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างภาพ หัดพูดกับคนเยอะๆ นี่คือพลังของกิเลสที่สามารถสร้างพลังที่จะใช้ “รุก” ได้นั่นเอง

แม้คนที่มีหน้าตาดี บ้านรวย มีชื่อเสียง พูดจาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบเล่นเกมรับเสมอไป เขาหรือเธออาจจะชอบเล่นเกมรุกด้วยปัจจัยที่มีมากกว่าคนอื่น จึงสามารถรุกไปจับจิตใจของใครหลายๆคนได้โดยง่าย จึงเกิดเป็นสภาพของ “คนเจ้าชู้” เพราะเขาเหล่านั้นต้องการเสพสิ่งที่มากกว่า สิ่งที่ดีกว่าอย่างไม่จบไม่สิ้น

การรุกนั้นมักจะถูกใช้เมื่อเราต้องการได้สิ่งนั้นมากๆ ความอยากเสพสุขจากกิเลสนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เสพไปก็อยากได้เพิ่ม อยากได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการที่เรารุกเข้าไปในชีวิตใครก็สังเกตให้ดีว่าเรากำลังอยากได้ อยากมี อยากเสพอะไรในตัวเขากันแน่

1.2). รอสวนกลับ (รอจับ)

คนที่รอสวนกลับมักจะไม่รุกในทีแรก ทำเหมือนไม่สนใจใคร แต่จะเปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาได้บ้าง ไม่ปิดตัวเองเสียทีเดียว พอมีคนหลงเข้ามา หากถูกใจก็จะรุกในทันทีจนเหยื่อตั้งรับไม่ทัน เรียกว่า “โดนจับ” มีให้เห็นโดยมาก เป็นสภาพซ้อนของการรุกที่มีชั้นเชิงของกิเลสมากขึ้น

สาเหตุของการรอสวนกลับ นั่นเพราะเขามักจะมีโลกธรรมสูง เช่นขี้อาย กลัวคนนินทา กลัวทำตัวไม่ถูก จึงมีฟอร์ม มีการวางท่า มีความลึกลับซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา ไม่จริงใจ ทีเล่นทีจริง อยากรุกแต่ก็รุกไม่เป็น กลัวว่าถ้ารุกไปแล้วจะพลาดพลั้งหรือเสียฟอร์มก็เลยวางเกมรับแล้วรอสวนกลับ

เรียกง่ายๆว่ารอคนอื่นเปิดเกมก่อนแล้วจะเล่นตาม ซึ่งกิเลสก็จะมาเสริมทัพในด้านการเพิ่มโอกาสให้มีคนเข้ามาหา เหมือนกับวิธีรุก คือทำตัวให้ดูดี น่าคบหา ยั่วกิเลสกันไป เหมือนกับดอกไม้กินแมลงที่พอเหยื่อหลงเข้ามาแล้วก็จะงับทันที

1.3). รับ (มีให้เลือก)

คนที่ใช้กลยุทธ์รับโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีพร้อมด้วยกามคุณและโลกธรรม เช่นมีรูปร่างที่สวย หน้าตาดี เสียงเพราะ ฐานะดี การงานดี มีชื่อเสียง เป็นต้น

ในสมัยนี้แค่หน้าตาดีก็รับกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว จะมีคนมาแจกขนมจีบจนแทบไม่ได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ต้องมาคอยบริหารเสน่ห์ จัดการกับผู้ที่วนเวียนเข้ามาในชีวิต

ผู้รับมักจะเป็นผู้เลือก แต่ก็มักจะไม่เลือกในทันที เพราะมีให้เลือกมาก ทำเหมือนจะเลือกแต่ก็ไม่เลือก แทงกั๊กอยู่เสมอ เหมือนแมวที่เล่นเหยื่อแต่ไม่ยอมกินเหยื่อ จนกระทั่งมั่นใจว่าคนนั้นแหละคือคนที่จะมาบำเรอกิเลสของฉันได้ ก็จะจับเหยื่อในท้ายที่สุด

การรับนั้นเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเองเช่นกัน เพราะยิ่งมีเสน่ห์เท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่สร้างกระแสแห่งบาปมากเท่านั้น เพราะจะทำให้คนหลง คนมัวเมา ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงหน้าตาดี ถ้ายิ่งแต่งตัวโป๊คนก็จะยิ่งมอง และถ้ายิ่งมนุษย์สัมพันธ์ดีคุยกับเขาไปทั่วเขาก็จะหลงกันหมด ที่หลงนั่นคือหลงอยากเสพ จึงกลายเป็นภัยต่อตัวเองและผู้อื่น

การจะคงสภาพ “รับ“ ได้นั้นจำเป็นต้องบริหารเสน่ห์ตัวเองไปเรื่อยๆ ต้องแต่งหน้า แต่งตัว ทำผม สร้างภาพ สับราง บริหารเสน่ห์ โดยที่ต้องแข่งกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและแข่งขันกับคู่แข่งมากมายที่อาจจะมารุกใส่คนที่เราหมายตาอยู่ก็ได้

คนที่เอาแต่รับนั้นยากที่จะเปลี่ยนเป็นรุก เพราะมักจะสั่งสมกิเลสไว้มาก สร้างโลกธรรม สร้างอัตตามาครอบตัวเองไว้ ว่าฉันนี้ดีพร้อม คนอื่นต้องวิ่งเข้าหาฉัน ทำตัวเหมือนดอกไม้ที่รอแมลงเข้ามา ไม่สามารถขยับไปหาแมลงได้ กลายเป็นติดภพ จมอยู่ในภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

2). ทาสกิเลส

ไม่ว่าจะรุก รอสวนกลับ หรือตั้งรับ สุดท้ายเป้าหมายก็คือการได้มาซึ่งคู่ครองที่หมายตาไว้อยู่ดี ซึ่งอาจจะดีดังใจหวัง มากกว่าที่คาดหวัง หรือจะแย่กว่าที่หวังนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ “ฉันเลือกเขามาเพราะฉันคิดว่าเขาจะสามารถบำเรอกิเลสของฉันได้

นั่นคือเราจะเลือกคนที่เราคิดว่าในอนาคตเราจะได้เสพสิ่งที่หวังไว้ สิ่งที่หวังของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน หนาบางลึกตื้นไปตามกิเลส

…บางคนแค่อยากสมสู่ก็หาใครก็ได้ที่ใจง่ายๆมาคบกันเพราะรู้ว่าในที่สุดก็จะได้สมสู่ สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาสนองความใคร่

…บางคนแค่อยากมีเพื่อนร่วมเสพในกิจกรรมต่างๆ กินเที่ยวด้วยกันก็หาคนที่คิดเหมือนกัน สุดท้ายเราก็ได้คู่มาช่วยสนองกิเลสกันและกัน

…บางคนแค่อยากรวยก็หาใครก็ได้ที่มีเงิน ไม่จำเป็นว่าต้องหล่อหรือจิตใจดีขอแค่รวยก็พอ เพราะรู้ว่ายังไงเราก็จะได้เงินใช้สุดท้ายเราก็แค่อยากรวยโดยไม่ต้องลำบาก

…บางคนแค่อยากมีลูกก็เลยหาใครก็ได้มาเป็นพ่อแม่ของลูก เอาที่ดูดีหน่อย เชื้อจะได้ดีๆ สุดท้ายเราก็แค่อยากเสพอารมณ์ในการมีลูก

…บางคนแค่อยากมีชื่อเสียง ก็เลยหาคนที่มีชื่อเสียงในสังคมแล้วก็ใช้เขาเป็นตัวกระตุ้นชื่อเสียงตัวเอง สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาเสริมโลกธรรมของเรา เพิ่มสรรเสริญให้กับเรา

…บางคนแค่ขี้เกียจทำงานอยากมีคนดูแลก็เลยหาคนที่พอจะมีศักยภาพในการดูแลทั้งชีวิตนี้ได้และเกาะเขาไปเป็นที่พึ่ง สุดท้ายเราก็แค่อยากได้คนมาเลี้ยงดูชีวิต

…บางคนแค่หลงว่าเกิดมาแล้วต้องมีคู่จึงจะมีคุณค่า ก็เลยหาใครสักคนที่พอสมน้ำสมเนื้อมาควงคู่ไม่ให้ใครเขานินทาว่าอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีใครเอา สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาปกป้องโลกธรรมของเรากลัวคนนินทา

…บางคนแค่หลงว่าชีวิตที่สมบูรณ์ต้องแต่งงานมีครอบครัว ก็เลยหาใครสักคนที่เหมาะจะมาเป็นสามีหรือภรรยา สุดท้ายเราก็แค่สนองความหลงของเรานั่นเอง

…บางคนแค่อยากหาเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ก็เลยหาใครสักคนที่ดูมั่นคงและซื่อสัตย์และพร้อมจะดูแลเราเข้ามาในชีวิต สุดท้ายเราก็แค่กลัวลำบากไม่มีใครดูแล

…บางคนแค่หลงว่าเราสามารถมีคู่ใช้ชีวิตร่วมกันทำกุศล สร้างความดี ความเจริญร่วมกันได้ ก็เลยหาคนที่ดูมีบุญบารมีที่เหมาะควร สุดท้ายเราก็แค่หลงไปในกิเลส หาเรื่องครองคู่โดยใช้ข้ออ้างที่สวยหรูมาบังหน้าเพื่อเสพกามและอัตตา

…บางคนแค่เหงาก็เลยหาใครสักคนคนเข้ามาในชีวิตเพื่อเป็นเพื่อนคุย สุดท้ายพอหายเหงา หลุดจากสภาพที่ต้องทนเหงา หรือมีคนอื่นที่ดีกว่ามาแก้เหงา ใครคนนั้นก็หมดค่าเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เขาสนองกิเลสอีกต่อไป

สรุปแล้วคนที่เราเลือกมาเป็นคู่นี่แหละคือคนที่ซวยสุดซวย เพราะต้องมารองรับกิเลสของเรา ต้องคอยสนองกิเลสของเรา เป็นทาสกิเลสของเรา ต้องบำเรอเรา เป็นสิ่งที่มาสนองกิเลสของเรา “ฉันเลือกเธอมาเพราะฉันคิดว่าเธอจะดูแล(กิเลส) ของฉันได้

หลายคนอาจจะคิดว่า เอ๊ะ! ฉันก็รักเขา ฉันก็ดูแลเขา ฉันก็จริงใจกับเขานะ …ความรู้สึกนี้มันก็ใช่ แต่มันทำไปเพื่ออะไรล่ะ เรายอมสละ ยอดอดทน ยอมทุ่มเท แรงกาย แรงใจ พลีกายถวายชีวิต ทั้งหมดก็เพื่อเสพบางสิ่งจากคู่ครองใช่ไหม นั่นแหละคือสิ่งที่เราจ่ายไปเพื่อที่จะได้สิ่งที่เราคิดว่ามากกว่ามาเสพ “ที่ฉันทุ่มเทให้เธอเพราะฉันคิดว่าเธอจะสามารถบำเรอสุขให้ฉันได้มากกว่าที่ฉันทำไป

เมื่อใช้กิเลสเข้ามาเป็นแรงผลักดันในการครองคู่กันสุดท้ายก็จะเกิดเป็นกรรมชั่วในที่สุด กลายเป็นคู่เวรคู่กรรม สะสมกรรมชั่วกันเพิ่มในชาตินี้ เช่น ไปกินของอร่อยบำเรอกิเลสด้วยกัน ไปท่องเที่ยวตามกิเลสด้วยกัน ไปร่ำรวยสนองกิเลสด้วยกัน ไปมีชื่อเสียงเติมกิเลสของกันและกัน

ในการครองคู่นั้นยากนักที่จะหลีกเลี่ยงการสนองกิเลสให้แก่กันและกัน แทบจะทุกเหตุการณ์ของชีวิตที่เป็นการเพิ่มกิเลส ได้เสพสมใจก็กิเลสเพิ่ม อยากเสพอีก ไม่ได้เสพก็ทุกข์ใจคับแค้นใจ โกรธจนสะสมกิเลสอีก ดังนั้นการครองคู่จึงสะสมเชื้อทุกข์ สะสมกิเลสพอกไปเรื่อยๆ ออกดอกออกผลแห่งบาปไปเรื่อยๆ

3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร

ในตอนที่เราหลงติดหลงยึดจนอยากเสพ มันจะมีภาพฝันสวยๆของการครองคู่ เช่น เราจะรักกันไปจนแก่ เราจะมีลูกด้วยกัน มีบ้านน่ารักๆ ดูลูกหลานวิ่งเล่นพร้อมกับใช้ชีวิตรักอย่างเป็นสุข หรือถึงแม้เขาหรือเธอจะแก่ไปฉันก็จะรัก แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ป่วย พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ฉันก็จะดูแลเธอเอง

กิเลสก็จะพาให้ฝันหวานไปแบบนี้เอง เพราะจินตนาการมันถูกผลักดันด้วยกิเลส พอใจมันอยากเสพก็จะพิจารณาแต่ประโยชน์ คือจะมองเห็นแต่ข้อดีของการมีคู่ เห็นแต่สุข ไม่เห็นทุกข์เลย มันจะไม่มองความจริงตามความเป็นจริง ตามันมองเห็นแต่ก็มืดบอดมองความจริงไม่เห็น หลงอยู่ในสภาพสุขที่กิเลสหลอกไว้

แล้วก็ใช้เวลาครองคู่สนองกิเลสกันบ้าง ไม่สนองกันบ้าง เพราะความจริงแล้วคู่ที่เราเลือกมาเขาก็ใช้เราเป็นสิ่งสนองกิเลสของเขาเหมือนกัน เขาก็มีความอยากของเขา แรกๆมันก็จะยอมกันไปได้บ้าง พลัดกันเสพ ฉันยอมให้เธอ เธอยอมให้ฉัน เรารักกัน ให้อภัยกัน พลัดกันเสพสุขกันไป

แต่กิเลสมันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อชีวิตของการครองคู่คือการสนองกิเลสของกันและกัน ก็จะมีแต่การเพิ่มกิเลสกันไปกันมา สุดท้ายวันหนึ่งกิเลสก็จะก้อนใหญ่ขึ้น อยากเสพมากขึ้นในขณะที่ประสิทธิภาพของการสนองกิเลสนั้นลดลง จึงนำมาซึ่งการผิดใจกัน ขัดใจกัน ไม่ยอมกัน

…ในตอนนี้เราจะเริ่มรู้ได้ชัดแล้วว่า ”เรารักใคร ” ในตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่าน อยากได้อยากเสพ คิดว่าตัวเองถูกต้อง เอาแต่ใจนั่นแหละ เราจะเห็นว่าที่แท้จริงเรารักใคร

ที่เราโกรธ ไม่พอใจ ขัดใจ ขุ่นมัวในใจ เป็นเพราะเราไม่ได้เสพสมใจในสิ่งที่คาดหวังไว้ นั่นเพราะเราไม่ได้รักเขาตั้งแต่แรก เรารักตัวเองแล้วเราเอาเขามาเป็นเครื่องสนองกิเลสตัวเอง พอเขาสนองไม่ได้เราก็จะมีอาการหงุดหงิดเหล่านี้เพราะมันไม่สมใจตัวเอง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในลักษณะเหล่านี้เองเป็นตัวสรุปว่าแท้จริงแล้ว “ฉันรักตัวเอง

5). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา

เพราะความ “รักตัวเอง” นี่เองเราจึงยินดีสร้างกรรมขึ้นมา คือยินดีที่จะไปหาใครสักคนมาสนองกิเลสของเรา มาเป็นคนบำรุงบำเรอกิเลสเรา โดยใช้ข้ออ้างว่ามันคือ “ความรัก” แน่นอนว่ามันคือความรัก แต่เป็นความรักตัวเองจนต้องหาผู้อื่นมาบำเรอตน นั่นหมายถึง “ความเห็นแก่ตัว” อย่างยิ่งยวด

ความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราคิดถึงแต่ตัวเอง มองแต่ตัวเอง คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง กลายเป็นให้ความสำคัญกับตัวเองมากที่สุด เมื่อให้ความสำคัญกับตนเองมากที่สุด ก็หมายถึงมี “อัตตา” ที่มาก

นั่นจึงนำมาสู่การเบียดเบียนผู้อื่นโดยที่ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้ว่าการไปกระตุ้นกิเลสหรือการไปยั่วกิเลสของคนอื่นเป็นบาปแค่ไหน เพราะตนนั้นหลงเสพสุขในอัตตาของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นมาเติมเต็มความเป็นตัวของตัวเอง เช่นฉันเป็นคนแบบนี้, ต้องแต่งตัวแบบนี้, กินอาหารแบบนี้, เธอต้องปฏิบัติกับฉันแบบนี้, วันพิเศษต้องทำแบบนี้, เวลาฉันโกรธต้องง้อฉันก่อน ฯลฯ เหล่านี้คือสภาพของความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพสวยๆในอุดมคติของสิ่งที่เรียกว่าความรัก

ความฝันที่สวยงามในชีวิตคู่ คงไม่จริงเท่าความเห็นแก่ตัวที่เห็นกันอยู่ชัดๆ จนกระทั่งสามารถเอาชีวิตอื่นมาบำเรอกิเลสตนได้ นั่นจึงเป็นการสะสมบาปและอกุศลกรรมร่วมกัน สร้างทุกข์ โทษ ภัยสะสมไว้ส่งผลกับตัวเองทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าและชาติอื่นๆต่อไป

เป็นกรรมจากกิเลสที่ต้องรับในอนาคต เหมือนดังที่หลายคนได้เจอกับสภาพที่ต้องทุกข์เพราะความรัก ทุกข์เพราะคนรัก นั่นก็เพราะมันมีหนี้บาปกันมา เคยสนองกิเลสกันมา พอมาเจอกันในชาตินี้เชื้อชั่วในจิตใจก็จะดูดดึงกันเหมือนกับสภาพรักตั้งแต่แรกเจอ นั่นแหละ “ตัวเวรตัวกรรม” มันจะลากให้ไปทำชั่วกันต่อ ให้ไปสั่งสมกิเลสร่วมกันต่อ ให้วนเวียนอยู่ในโลกไปด้วยกันต่อ แล้วก็ต้องเจอทุกข์จากความรักวนเวียนไปไม่รู้จบ

เพราะยิ่งครองคู่ก็จะยิ่งสร้างกรรมชั่ว ไม่มีการครองคู่ใดเป็นไปในฝั่งกุศลฝ่ายเดียวอยู่แล้ว มันจะมีอกุศลหรือสิ่งชั่วปนไปด้วยเสมอ และโดยส่วนมากมันก็จะชั่วมากกว่าดี ดังนั้นยิ่งมีคู่มาก มีรักบ่อย เปลี่ยนคนรักบ่อยก็ยิ่งต้องรับผลชั่วที่ทำไว้มาก

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีคู่คนเดียวแล้วจะดีเสมอไป การมีคู่โผล่มาคนเดียวในชีวิต โดยความเข้าใจทั่วไปก็จะเหมือนคู่แท้ ที่ผูกกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ซื่อสัตย์จริงใจ ไม่เคยคบใครนอกจากคนนี้ แต่นั่นหมายถึงกรรมชั่วทุกอย่างมันก็จะมารวมที่คนนี้คนเดียวนั่นแหละ กรรมเขาก็จะจัดสรรเหตุการณ์ที่เจ็บปวด เผ็ด แสบร้อนให้ต้องทุกข์ในท้ายที่สุดทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ดี

ดังนั้น การไม่มีคู่เสียเลยยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องลากใครเข้ามาเพิ่มในบ่วงกรรมของเรา ไม่ต้องให้เขาต้องมาคอยบำเรอกิเลสเรา เราก็ไม่ต้องลำบากไปสนองกิเลสเขา เพราะเราไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว จึงยอมปล่อยให้เขาไปเผชิญกับชีวิตตามกรรมของเขา ความไม่เห็นแก่ตัวนี้เองคือความเมตตา คือความรักที่แท้จริง คือความรักที่มีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่เต็มไปด้วยปัญญารู้แจ้งในกิเลสและกรรม เมื่อเข้าใจและปล่อยวางได้เช่นนี้ จึงจะเรียกได้ว่า “ฉันรักเธอ” ได้อย่างแท้จริง

– – – – – – – – – – – – – – –

28.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

หากจะรัก

December 11, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,776 views 0

หากจะรัก

หากจะรัก

…จะดีไหมหากจะรักใครสักคนที่แสนดีกับเหตุผลดีๆมากมายกว่า 20 ข้อ

ก่อนที่เราจะตัดสินใจอะไรไป ก่อนที่ความสัมพันธ์จะใกล้ชิดมากกว่าเดิม ก่อนที่จะยอมพลีกายถวายชีวิตให้กับใครสักคนที่เราคิดว่าเขาดีแสนดีกับเราเหลือเกิน จะดีไหมหากเราจะลองทบทวนดูกันอีกครั้งในเรื่องราวของความรัก

(!คำเตือน! เนื้อหาในบางตอนของบทความนี้มีเนื้อหาค่อนข้างแรง แต่จำเป็นต้องชี้ให้ชัดถึงปัญหาและปัจจัยที่ซับซ้อนในเรื่องของคนคู่ ผู้อ่านควรทำใจไว้ล่วงหน้าสักหน่อย หรืออาจจะปล่อยให้บทความนี้ผ่านไปก็ได้)

ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เป็นสัจจะที่ทุกคนรู้กันดีอยู่ คงจะเป็นเรื่องยากที่จะให้ใครสักคนมองเห็นทุกข์ในความรักในขณะที่เขาหรือเธอกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรัก ดังประโยคที่ว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” หมายถึงทำให้เรามองไม่เห็นความจริง เพราะเราได้ลำเอียงเพราะรักไปแล้ว แม้ว่าจะมีคนบอกว่าทุกข์สุดทุกข์เพียงไรก็ยังยินดีที่จะเข้าไปสัมผัสกับความรักนั้น

เขาก็เป็นคนดีนะ เขาก็ดูแลเราดีนะ คบกันแล้วเจริญไปด้วยกันไม่ได้หรือ คบกันแล้วมีความสุขกว่าโสดไม่ดีกว่าหรือ เรามักมีเหตุผลมากมายในการเริ่มความสัมพันธ์ใดๆก็ตามที่เราหลงรักไปแล้ว แต่จะดีไหมถ้าหากว่าเราได้รับข้อมูลมากขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนสถานะจากโสดไปเป็นมีคู่

ในบทความนี้จะนำข้อคิดเห็นเกี่ยวกับคนที่ยินดีจะครองคู่มาอธิบายและชี้ให้เห็นถึงกิเลสที่อาจจะแอบซ่อนอยู่ในความดี ในความสมบูรณ์แบบ เพื่อเป็นข้อมูลให้พิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจ ซึ่งจะรวบรวมมาทั้งหมด 20 ข้อ

1)…เข้าใจเรายอมรับที่เราเป็น

การเข้าใจและยอมรับเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้คนเปิดใจ หลายๆคนมักจะมีข้อเสียในตัวเองและยอมรับข้อเสียนั้น รอเพียงคนที่จะมาเข้าใจและยอมรับข้อดีข้อเสียต่างๆได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขายอมรับได้จริงๆ

เวลาเราอยากได้อะไร แม้จะมีราคาแพง หายากแค่ไหนเราก็ซื้อ ตามไปหาซื้อ พากเพียรเพื่อให้ได้มาจริงไหม แต่ลองเราได้สิ่งนั้นมาชื่นชมนานๆแล้วอาจจะคิดกลับไปได้ว่าทำไมเราต้องลำบากจะเสียเงินมากมายเพื่อมาซื้อของชิ้นนี้ด้วย จริงๆมันก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา แถมปัญหายังเยอะ ชิ้นอื่นก็มีให้เลือกตั้งเยอะแถมยังดีกว่าถูกกว่า

เรื่องคู่ก็เช่นกันถ้าเราอยากได้คู่ สิ่งที่ต้องให้ไปก็คือการเข้าใจและยอมรับที่เขาเป็น เพื่อที่จะให้ได้เขามาเสพสมใจเรา ใครจะรู้ได้ละว่าความเข้าใจนั้นจะยั่งยืน แล้วจะยอมรับตัวตนของเขาได้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ หากเราเสพเขาจนเบื่อหรือเขาเริ่มจะมีปัญหามากขึ้น งอแง เอาแต่ใจ โมโหร้าย เราจะยังเข้าใจและยอมรับไหวอยู่หรือในเมื่อเราได้เสพทุกอย่างสมใจทุกอย่าง สุขมันเกิดไปแล้วได้ไปแล้ว ยังจะอยากทนทุกข์อยู่อีกหรือ

ถ้าพูดกันตรงๆเลยก็คือการที่เขาชอบในส่วนที่ดีและยอมรับในข้อเสียของเราได้นั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้

2)…สนับสนุนเส้นทางฝัน มีอนาคตร่วมกัน

หลายคนอาจจะคิดว่าการครองคู่สู่ฝัน สู่อนาคตอันมั่งคั่งร่วมกันนั้นเป็นเรื่องที่น่าจะนำความสุขมาให้เมื่อมีคนร่วมฝัน ร่วมทางเดิน เราอาจจะแบ่งปันความฝัน ความคาดหวังร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะอยู่จนถึงฝั่งฝันด้วยกันเสมอไป

ขึ้นชื่อว่าฝัน นั้นก็เป็นเรื่องที่ยังไม่เป็นจริง และกว่าจะเป็นจริงได้นั้นต้องพิสูจน์กำลังใจของคนอย่างมากมาย ดังประโยคที่ว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ในระยะแรกนั้นการขายฝันอาจจะไปเร่งให้อีกฝ่ายมีกิเลสร่วมกัน ใช้ความอยากเป็นตัวผลักดัน แต่พอเริ่มไปได้ระยะหนึ่งอาจจะพบว่ามันเริ่มยากเริ่มลำบาก และแต่ละคนก็มีกิเลสไม่เท่ากัน บางคนอาจจะท้อไปก่อน หรือเห็นต่างกันไปในเส้นทางเดินตามฝัน

แม้ว่าเป้าหมายจะเป็นความมั่งคั่ง ชีวิตที่ผาสุก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนยินดีจะเดินไปในเส้นทางเดียวกันเสมอไป บางคนชอบทางสั้นแม้จะเสี่ยง บางคนชอบทางยาวแต่ปลอดภัย ตรงนี้นี่เองที่จะทำให้ฝันล่มรักสลายกันไปได้

3)…แสนดีเอาอกเอาใจ

การเจอใครสักคนที่แสนดีเอาอกเอาใจนั้น ยากนักที่จะทำใจไม่ให้หลงไปได้ เพราะคนส่วนมากก็ต้องการให้คนอื่นเห็นคุณค่า ให้การดูแลเอาใจใส่ เอาอกเอาใจ หรือที่เรียกกันแบบตรงๆว่าปรนเปรอกิเลส

เมื่อเราต้องการใครสักคนเข้ามาร่วมชีวิต วิธีที่เราทำส่วนใหญ่คือปรนเปรอกิเลสของฝ่ายตรงข้าม ชมบ่อยๆ พาไปกินอาหารดีๆ เป็นที่ปรึกษา ให้คุณค่า แม้แต่การสนองต่อความต้องการทางเพศก็กลายเป็นเรื่องปกติที่หลายคนใช้มัดใจคู่ของตน เขาชอบอบายมุขก็ส่งเสริมด้วยอบายมุข เขาชอบกามก็ส่งเสริมด้วย อาหารอร่อย แต่งตัวสวยงาม ใส่น้ำหอม จับมือถือแขนจนไปถึงยอมสมสู่ ถ้าเขาชอบโลกธรรมก็ชมเขา ยอมเขา ให้ความมั่งคั่งแก่เขา บำเรอเขาด้วยโลกีย์สุข ถ้าเขาเป็นคนมีอุดมการณ์ก็เติมเต็มอีโก้ของเขา สนับสนุนในสิ่งที่เขาคิด

เพียงแค่เราสามารถสนองกิเลสเขาได้ในทุกมิติ เราก็จะได้ชื่อว่าคนที่แสนดีเอาอกเอาใจแล้ว เพราะตอบโจทย์ทุกอย่างตามที่กิเลสต้องการ คนที่เข้ามาในชีวิตเราก็เช่นกัน เขาก็เพียงแค่สนองกิเลสเราจนเรายอมให้เขาบำรุงบำเรอเพราะสุขจากการได้เสพ

แล้วการส่งเสริมกันด้วยกิเลสมันดีไหม การบำรุงบำเรอกันด้วยกิเลสมันดีไหม ก็ลองคิดดู

4)…ผ่านสุขผ่านทุกข์มาด้วยกัน

หลายคนอาจจะยอมแพ้กับใจที่อดทนบากบั่นมาด้วยกัน ยอมอยู่ในวันที่เราลำบาก ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็ยังอยู่ข้างๆ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่านั่นคือนิสัยจริงเขาของ ไม่ใช่เขาทำเพื่ออยากเสพเราหรอกหรือ

ความอดทนเพื่อที่จะได้มาซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจอะไรยากนัก เมื่อคนเราหลงไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็พร้อมจะยอมอดทน บากบั่น รอคอยเพื่อให้ได้มาเสพ แม้ว่าวันนี้จะดูเหมือนเขาพร้อมจะอยู่กับเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าเขาจะอยู่กับเรา เราใช้อดีตมาเพื่อทำนายอนาคตได้ แต่มันจะไม่ถูกเพราะสุดท้ายวิบากกรรมจะพาให้ต้องพรากจากทุกสิ่งทั้งความเชื่อที่เคยมี ทั้งความมั่นใจที่เคยได้รับ คู่แต่งงานที่ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันแม้จะคบหากันมาก่อนแต่งงานหลายปี แต่สุดท้ายหลังแต่งงานก็มีเหตุให้เลิกราให้เห็นกันอยู่ทั่วไปจนเป็นเรื่องธรรมดา

5)…อบอุ่นและเป็นที่ปรึกษาที่ดี

วิธีมัดใจคนอย่างง่ายๆคือทำตัวให้ดูอบอุ่นรอคอย เหมือนเสือที่นอนหมอบรอเหยื่อเผลอ นักล่าที่เก่งกาจจะไม่รีบและเสียพลังงานในการล่าไปเปล่าๆ เขาเพียงแค่วางตำแหน่งไว้ในจุดที่เหมาะสม รอเหยื่อเกิดความทุกข์ เข้ามาปรึกษา ทำตัวเป็นคนอบอุ่น เป็นที่ปรึกษาที่ดี ใช้ช่วงที่คนกำลังจิตใจอ่อนแอและต้องการความรักจากใครสักคนเข้างับเหยื่อ

คนที่จริงใจอย่างแท้จริงจะไม่ฉวยโอกาสยามที่คนอื่นจิตใจอ่อนแอต้องการที่พึ่ง เราจะเห็นได้จากผล ถ้าปรึกษาแล้วหายไปก็คือจบ แต่ถ้าปรึกษาแล้วกลายเป็นคู่กันต้องระวังให้ดี

6)…ซื่อสัตย์ซื่อตรง

ความซื่อสัตย์ เสมอต้นเสมอปลายนั้นเป็นคุณสมบัติที่หลายคนให้น้ำหนัก เพราะถ้าไปคบกับคนเจ้าชู้คงจะปวดหัวอยู่ไม่น้อย แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความซื่อสัตย์นั้นมาจากหัวใจที่ปราศจากกิเลส

คนที่อยู่ตรงหน้าอาจจะเหมือนลูกเสือที่ยังไม่โตก็ได้ เวลาเรามองสัตว์เด็กมันก็น่ารัก ขี้อ้อนดี แต่พอมันโตชักจะไม่น่ารักเท่าไร อาจจะพร้อมขย้ำเราได้ทุกเมื่อหากว่ามันโกรธหรือหิว ความซื่อสัตย์ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็เป็นเพียงปัจจุบันแต่ไม่สามารถยืนยันอนาคตได้ ดังเช่นคู่แต่งงานหลายคู่ ต่อหน้าสาธารณชนก็ประกาศว่าจะรักและซื่อสัตย์แล้วผลเป็นอย่างไรล่ะ

7)…ดูมั่นคง ภูมิฐานรับผิดชอบพึ่งพาได้

ตรงนี้เราต้องแบ่งให้ชัดว่าเราชอบเขาหรือชอบเงินหรือฐานะของเขา หลายคนยอมทิ้งความรักเปลี่ยนไปคบหากับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และสร้างความรักใหม่ โดยใช้ข้ออ้างว่าความมั่นคงในชีวิต ดังประโยคที่ว่า “รักมันกินไม่ได้” ตรงนี้อาจจะหลงประเด็นไปเพราะเรื่องรักกับเรื่องโลภเป็นคนละเรื่องกัน อยากสบาย อยากรวย ไม่อยากทำงานก็เรื่องหนึ่ง ความรักความผูกพันก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็อย่างว่าพลังกิเลสด้านไหนมีสูงกว่าคนก็เลือกด้านนั้นแหละ

ไม่แปลกที่เหล่าคนรวยจะสามารถเปลี่ยนคู่ครองได้มากหน้าหลายตา เหมือนหยิบดอกไม้มาดอมดม ลองชิมสักหน่อย สุดท้ายก็ขว้างทิ้งไป แล้วหาดอกใหม่มาดม คนมีทรัพย์มากมีชื่อเสียงมากก็เหมือนอยู่ในทุ่งดอกไม้ มีมากมายให้เลือกสรรสร้างเวรสร้างกรรมมากมายตราบเท่าที่เงินยังพอมีให้ผลักดันกิเลส

8)…งามน่าหลงใหลและยากจะปล่อยมือ

เรื่องปกติสามัญของคนทั่วไปเลยก็คือชอบคนสวยคนหล่อ แม้จะนิสัยไม่ดี มีปัญหาอย่างไร แต่ถ้าได้เสพความสวยงามเหล่านั้นก็ยอมได้ หลงไปในกามทั้งหลายจนหน้ามืดตามัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัวมาก็มากแล้วสำหรับความสวยงามนี่ เพราะใจมันจะไม่สนเหตุผล ไม่สนดีชั่ว มันจะเสพกามอย่างเดียว อยากได้คนสวย คนงาม คนหล่อ เหตุผลอื่นๆไว้สร้างทีหลัง

9)…อยู่กับเราแม้ในวันที่เราไม่สวยงาม

บางคนสามารถเอาชนะใจคู่ของตนได้โดยการยอมบ้างในบางที แต่เพราะยังติดใจในรสชาติหลายๆอย่าง แม้เขาหรือเธอจะไม่ได้งดงามเหมือนในวันแรกหรือวันทั่วๆไปที่ได้เจอ แต่ก็ยอมเสพสมใจกันอยู่เพราะแม้ว่าจะไม่สวยไม่งาม แต่ก็สามารถสนองกิเลสได้ สนองตัณหาได้อีกมากมาย เป็นนักลงทุนที่มองว่าได้กำไรน้อยยังดีกว่าไม่ได้เลย ขอเสพน้อยดีกว่าไม่ได้เสพเลย

10)…เย้ายวนรัญจวนใจ

ประเด็นเรื่องการสมสู่หรือเรื่อง sex นี้เองเป็นประเด็นหลักในการมีคู่ แม้เราจะมีคำพูดสวยหรูเพียงใดสุดท้ายก็จบที่เรื่องสมสู่อยู่ดี โดยเนื้อแท้แล้วความรักกับการสมสู่เป็นคนละเรื่องกัน แต่คนชอบเอามาปนกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ความรักนั้นคือความอยากที่จะให้ เช่น ความรักของพ่อแม่ แต่ความหลงไปทำให้เข้าใจว่ารักกันแล้วต้องสมสู่กัน

หากคิดว่าตนเองไม่ได้ติดเรื่องการสมสู่ก็ลองถือศีลละเว้นการสมสู่ดู จะเห็นกิเลสดิ้นพล่านอยากเสพจนหาเหตุผลต่างๆนาๆมาเพื่อได้เสพ บางคนสามารถอดทนรอจนวันแต่งงานได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่หลงในการสมสู่ มันแค่กดไว้ ข่มไว้เท่านั้น พอได้ปล่อยเสือออกจากกรงเมื่อไหร่มันก็ออกมาขย้ำคนเมื่อนั้นเอง

11)…ไม่เจ้าชู้ ไม่นอกใจ ไม่เกเร

คนเราพอติดและหลงมัวเมาในเรื่องสมสู่มากๆก็จะเริ่มเจ้าชู้ เพื่อหารสชาติใหม่ๆมาเสพให้สมใจ คนที่ไม่เจ้าชู้ไม่นอกใจ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่เจ้าชู้ เขาอาจจะเพียงแค่รอเสพอาหารจานหลักให้อิ่มก่อนแล้วถ้าเบื่อๆค่อยไปหาขนมกินที่อื่นก็ได้

ความไม่เจ้าชู้นั้นก็มีอยู่ในสัตว์เช่นกัน ดังเช่นนกเงือก เป็นสัตว์เดรัจฉานที่คนให้ความหมายว่ารักเดียวใจเดียว เห็นไหมว่าแค่รักเดียวใจเดียวสัตว์มันก็ทำได้ เราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐแค่รักเดียวใจเดียวมันก็พอๆกับสัตว์นั่นแหละ แต่เพราะเราสามารถรักได้มากกว่าจึงมีศีลที่งดเว้นการสมสู่ ซึ่งจะเหนือกว่าศีลที่ไม่นอกใจ เมื่อไม่อยากสมสู่แล้วมันจะไปนอกใจได้ที่ไหน เพราะประเด็นเรื่องการเจ้าชู้ นอกใจนี่มันก็มาจากเรื่องติดกาม ติดการสมสู่นี่แหละ

12)…คือคนที่ใช่ มั่นใจตั้งแต่แรกเห็น

บางทีกรรมอาจจะชักนำบางคนเข้ามาหาเรา แต่บางทีก็เป็นกิเลสเราเอง เช่นเราชอบคนหน้าตาแบบนี้ พอไปเจอคนแบบนี้เราก็หลงรักแล้วหมายมั่นว่าเขาใช่ ทั้งๆที่เป็นกิเลส เป็นการหลงไปในมโนมยอัตตาหรือตามที่จิตตนปั้นขึ้นมาเอง คือปั้นสเปคไว้ประมาณนี้ พอเจอคนประมาณนี้ก็ “ใช่เลย” เป็นความหลงแบบแท้ๆไม่มีอะไรเจอปน อยากรู้ว่าเป็นคนที่ใช่จริงไหมก็ลองห่างลองหนีดู ถ้ามันใช่จริงจะหนีไม่ค่อยพ้น

13)…ดูดวงมาเขาทักว่าใช่เลย

ใครพบรักด้วยมุมนี้หรือปักใจว่าเขาหรือเธอคือคนที่ใช่ด้วยมุมนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทายทักจากใครหรือประเภทการทำนายแบบใด ขอให้เข้าใจไว้ว่าการทำนายดวง ดูดวง ดูโหงวเฮ้ง เป็นเดรัจฉานวิชา ชาวพุทธไม่ควรกระทำเพราะจะทำให้ไม่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม

ผลมันก็ออกมาได้ทุกหน้าตั้งแต่ดียันไม่ดี ทั้งนี้เป็นผลจากการกระทำ ไม่ใช่เพราะใครทำนายทายทัก เราอยากได้คู่ที่ดีเราต้องหาเอง คัดเอง เลือกเอง ทดสอบเอง อย่าเพิ่งไปหลงปักใจเชื่อเพียงเพราะคนมีชื่อเสียงเขาทำนายมา

14)…เข้ากันได้เติมเต็มในกันและกัน

มุมนี้จะเห็นคนที่ขาดพร่องแต่ก็พยายามหาคนมาเติมเต็มในชีวิต เช่นคนพูดมากอยากได้คนพูดน้อย คนขี้เกียจอยากได้คนขยัน ซึ่งในมุมการเติมนี้จริงๆมันก็มาจากการเติมเต็มกิเลส เติมให้สมกิเลส เราพูดมากเราก็อยากได้คนฟังเราไม่อยากให้ใครพูดแข่ง เราขี้เกียจเราก็อยากได้คนขยันจะได้มาช่วยงานเรา เข้ากันได้เติมเต็มกันได้จึงเป็นคำพูดสวยๆที่กิเลสเอาไว้หลอกให้คนหลงเสพหลงยึดเรื่อยไป

15)…เป็นคนดีจนต้องยอมรับในความดี

แม้ว่าเราจะเจอคนดีแสนดีที่เหมือนพ่อพระแม่พระ ใครต่อใครต่างก็ยืนยันในความดีของเขา จนเชื่อมั่นและมั่นใจได้ว่าดีจริงๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความดีที่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในการครองคู่นั้นก็ยังสร้างทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียให้กับชีวิตอยู่ไม่มากก็น้อย

เราต่างมีกรรมเป็นของตน ดังนั้นการที่เราเข้ามาร่วมชีวิตกันก็อาจจะต้องมีส่วนรับวิบากจากการครองคู่ด้วย เช่น เขาเป็นคนดีมาก แต่หลังจากแต่งงานไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุเป็นอัมพาต ด้วยความที่เขาเป็นคนดีมากเราจึงทิ้งเขาไม่ได้ ต้องแบกภาระตรงนี้ไปด้วย แม้การช่วยเหลือเกื้อกูลจะเป็นบุญกุศลใหม่ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าต้องทำไปพร้อมกับทุกข์อยู่ดี เพราะความสมบูรณ์แบบก็ไม่ได้เสพ การดูแลเอาใจใส่ก็ไม่ได้เสพ แถมยังต้องเหนื่อยมากขึ้นอีก

แม้คนดีที่คิดจะยังครองคู่อยู่ นั้นก็ยังเป็นคนดีที่ยังไม่ดีแท้อยู่นั่นเอง เพราะยังไม่เข้าใจในทุกข์โทษภัยของกิเลสและบ่วงกรรมที่จะเกิดขึ้น

16)…รักเรามากกว่ารักตัวเอง

สิ่งที่ทำให้เราประทับใจในคู่รักอย่างหนึ่งก็คือการเสียสละ การแสดงออกที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขารักเรามากกว่าตัวเอง เป็นการกระทำที่พาให้หลงเคลิ้มไปได้ง่าย แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปลองตรวจสอบให้ดีก่อนว่าเขาทำแบบนี้กับคนที่เขารักทุกคนหรือไม่ เขาปฏิบัติกับพ่อแม่ญาติพี่น้องดีเท่ากับปฏิบัติต่อเรารึไม่ เขาลำเอียงให้เวลาเรามากกว่าครอบครัวหรือไม่

ถ้าเขาไม่ได้ดูแลครอบครัวที่รักและเลี้ยงดูเขามาทั้งชีวิต แต่กลับมาทุ่มเทให้กับเรา พึงรู้ไว้เลยว่านี่เป็นเพียงละครฉากหนึ่งของกิเลสที่พาให้หลงไป เขาก็หลงเรา เราก็หลงเขา เพราะเขาหลงเขาจึงแสดงออกว่ารักเราได้มากกว่าตัวเอง แต่ถ้าไม่หลงแล้วคนที่มีพระคุณอย่างพ่อแม่นั้นเขาก็ควรจะให้ความสำคัญเหมือนเราหรือมากกว่าเรา

คนที่ดูแลครอบครัวไม่ดีแต่มาดูแลเราดีนั้นแสดงให้เห็นถึงบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป เราเองเป็นแค่คนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตของเขา แล้วทำไมเขาจึงทุ่มเทขนาดนี้ หรือเขากำลังหวังจะเสพอะไรจากเรา

17)…เป็นคนรักครอบครัวที่บ้านยอมรับ

ทักษะการเข้าสังคมเป็นเรื่องสำคัญในการมัดใจคู่ครอง เพราะถ้าไม่สามารถมัดใจไปถึงครอบครัวได้ก็ยากที่จะได้เสพสมสู่กันอย่างถูกกฎหมาย ถูกจารีตประเพณี ดังนั้นการที่คนใดคนหนึ่งจะมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะจริงใจ ใครเล่าจะรู้กิเลสเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่มีแต่รอยยิ้ม

แรกๆที่แต่งงานไปอาจจะมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวที่ดี แต่พอได้เสพสมใจ ได้สมสู่ ได้สถานะสามีภรรยาแล้วก็ไม่ต้องสนใจใครอีก หน้ากากคนดีอาจจะหลุดออกตอนนั้นก็เป็นได้ใครจะรู้

18)…สร้างครอบครัวที่มีแต่ความสุข

เป็นเหมือนกับความฝันที่โดนโลกหลอกมาเสมอด้วยคำว่าความสมบูรณ์ในชีวิตต้องมีครอบครัว ตอนจบในหนังพระเอกก็รักกับนางเอกทั้งนั้น เป็นความหลงผิดที่แสนจะน่าสงสาร เพราะโดยสัจจะที่ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” มันจะต้องเกิดทุกข์แน่ๆอยู่แล้ว

ทีนี้ด้วยความลำเอียงของเรา ลำเอียงเพราะรัก เราจึงยินดีที่จะรัก ยอมรับทุกข์และสุขเหล่านั้น แต่ใครจะรู้กันบ้างว่าที่จริงมันสุขน้อยทุกข์มาก รสสุขที่เคยเสพตอนต้นนานวันไปมันก็จะเบื่อจะคลาย แม้การสมสู่ที่เคยหลงใหลได้ปลื้มก็จะเป็นเพียงแค่กายบริหารที่ทำก็ได้แต่ไม่ทำจะดีกว่าเพราะมันน่าเบื่อ นำมาสู่ปัญหาคบชู้ มีเมียน้อย มีกิ๊กอะไรกันมากมาย เพราะรสสุขมันไม่เหมือนวันแรก

ถ้าอยากลองทดสอบก็ลองกินอาหารที่ตัวเองชอบมากๆ จะอมไว้ในปากหรือกินทุกวันก็จะเริ่มเห็นแล้วว่ามันไม่ได้สุขเหมือนคำแรก แม้จะชอบมากเท่าไหร่กินบ่อยๆมันก็เบื่อเหมือนกัน

จริงๆแล้วโดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มีครอบครัวกันอยู่แล้ว มีพ่อ มีแม่ มีญาติพี่น้อง มีเราเป็นลูก มันก็ครบอยู่แล้ว จะไปหาเพิ่มทำไม่ให้มันลำบาก แต่คนมีกิเลสจะมองว่าตัวเองขาดตัวเองพร่องก็เลยต้องหามาเติมอยู่เรื่อยไป

19)…อยากมีลูก นี่คือพ่อของลูก แม่ของลูก

ความฝันหนึ่งของการมีคู่คืออยากมีลูก มีหลายคนที่อยากมีลูกแม้ว่าจะไม่มีคู่ครองก็ตาม ทั้งหมดนั้นเกิดจากเราไปเห็นภาพที่สวยงาม ภาพที่น่ารักของเด็กทารก ถ้าลองได้เลี้ยงหรืออุ้มชูใครสักคนจนเขาเติบโตกระทั่งสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองจะพบว่าเหนื่อยแสนเหนื่อย

เหมือนกับตอนที่เราเห็นสัตว์เด็ก ลูกหมา ลูกแมว เราก็เห็นว่ามันน่ารัก แต่พอเริ่มโตมามันชักจะไม่น่ารัก กินจุ สร้างปัญหา พาปวดหัว มีหลายคนที่พาสัตว์เลี้ยงไปปล่อย แต่การมีลูกนั้นปล่อยไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เมื่อสร้างภาระนี้แล้วก็ต้องหอบภาระนี้ไป 20 – 30 – 40 ปี หรือจนกว่าเขาจะตายจากไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาแล้วมีศักยภาพในการดูแลตัวเองหรือพ่อแม่ บางคนเกิดมาพิกลพิการ พ่อแม่ก็ต้องดูแลไปจนตาย

ส่วนคนที่หวังว่าลูกจะกลับมาดูแลตัวเองตอนแก่นั้นอาจจะเป็นการคิดฝันที่ไกลไปสักหน่อย เขาอาจจะไม่อยู่จนถึงวันนั้นก็ได้ และถึงเขาจะอยู่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาสนใจเราก็ได้

20)…เราจะรักกันตลอดไปจนวันสุดท้าย

สรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง ตัวเราก็ไม่เที่ยง ตัวเขาก็ไม่เที่ยง กิเลสก็ไม่เที่ยง กรรมก็ไม่เที่ยง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ความรักนั้นจะเที่ยง จะมั่นคง จะดำรงอยู่กันจนวันสุดท้าย ข้อความนี้เป็นประโยคขายฝันที่ทำให้หลงมากที่สุด เป็นคำยืนยันสัญญาที่ทุกคู่แต่งงานนิยมใช้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะสามารถดำรงสภาพของความรักให้ถึงวันสุดท้ายได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอา ฝันเอา แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วกิเลสมากมายได้ตั้งด่านรอเราอยู่ ซึ่งเราเองก็อาจจะพลาดพลั้งเผลอไปตอนไหนก็ได้เช่นกัน

….อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอให้เราพิจารณากันให้ดีๆ ก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป เพราะหากเราตัดสินใจไปแล้วใช่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงเอาง่ายๆ เราต้องรับกรรมที่เราตัดสินใจไว้ด้วยเช่นกัน

– – – – – – – – – – – – – – –

8.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์