Tag: ผูกมัด
รักที่พาเจริญ ต้องไม่ทำร้าย
รักที่พาเจริญ ต้องไม่ทำร้าย
ความเห็นที่ว่าการมีรักนั้นก็พากันให้เจริญได้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปทั้งทางโลกทางธรรม จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ ไม่มีการทำร้ายกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว วาทกรรมเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่คำลวงของมารที่จะล่อใจคนให้หลงเสพหลงสุข ลวงให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเท่านั้นเอง
การทำร้ายนั้นมีหลากหลายมิติ ถ้าแบ่งชั้นต้นก็เป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจ ในมิติของการทำร้ายจิตใจก็จะมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งแตกต่างกันไป
รักที่พาเจริญต้องไม่ทำร้ายร่างกาย
การทำร้ายร่างกายนั้นเป็นการทำร้ายที่หยาบที่สุด เห็นได้ชัด ไม่ใช่ความปกติของคนดีมีศีล แต่เป็นธาตุของคนทุศีลที่หมายทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้สาแก่ใจตน การทำร้ายกันในคู่รักมักจะมีความจัดจ้านรุนแรง ไม่เหมือนกับพ่อแม่ที่ตีลูกไป ตัวเองก็เสียใจไป การลงโทษลงทัณฑ์ โดยการทำร้ายในนามแห่งความรักนั้น มักจะมีความรุนแรงกว่าเหตุการณ์ปกติในชีวิตทั่วไป ใครไม่เคยเจอการทำร้ายกัน ก็อาจจะได้มาเจอกับคนรักที่ทำร้ายนี่แหละ บางคนพ่อแม่ไม่เคยตี แต่ก็มาโดนคู่รักทำร้าย อันนี้ก็เป็นตัววัดความไม่เจริญอย่างหยาบ การทำร้ายร่างกาย จะยิ่งทำให้เสื่อมจากความดีงามไปเรื่อย ๆ จนเป็นทำร้ายกันรุนแรงขึ้น ถึงขั้นฆ่ากันตายมีให้เห็นเป็นตัวอย่างกันมามากมาย
รักที่พาเจริญต้องไม่ทำร้ายจิตใจ
ในการทำร้ายจิตนั้น เบื้องต้นก็เป็นการทำร้ายร่างกายที่มีผลต่อจิตใจ อันนี้ก็เป็นอย่างหยาบ ละเอียดขึ้นมาหน่อยก็เป็นการใช้คำพูด ภาษา ในการทำร้ายจิตใจกัน ละเอียดขึ้นมาอีกก็เป็นการชักสีหน้า ออกอาการไม่พอใจ กดดันอีกฝ่าย ทำร้ายจิตใจกัน หรือเย็นชาสุด ๆ ก็กลายเป็นไม่พูด ไม่สนใจ กดดันโดยการคว่ำบาตร ก็เป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย การกระทำเหล่านี้จะมีเจตนาเป็นตัวกำหนดว่าตั้งใจทำให้อีกฝ่ายเป็นทุกข์ ต้องการสั่งสอน ลงทัณฑ์ ใช้อำนาจแห่งความรักในการทำร้ายกัน ถ้าไม่ได้มีเจตนาแฝงว่าทำไปเพื่อเสพสมใจตน ทำไปเพื่อให้เขายอมตน หรือทำไปเพื่อต้องการเอาชนะ ต้องการเพียงจะสื่อสาร อยากให้เขาปรับตัว ให้พ้นทุกข์โดยไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะทำร้ายจิตใจผู้อื่นเพื่อเอาใจตนเองเป็นหลัก คือเอาแบบฉัน ฉันถูกที่สุด เธอผิด อะไรแบบนี้
รักที่พาเจริญต้องไม่ทำให้หวั่นไหว
การที่จะเจริญไปในทิศทางแห่งความผาสุกได้นั้น ใจจะต้องไม่หวั่นไหว การที่จะมีความรักแล้วต้องทนอยู่กับความหวั่นไหว จะเรียกว่าเป็นความเจริญนั้นเป็นไปไม่ได้เลย คนจะหวั่นไหวกันตอนไหน ก็เช่น ตอนเขามาจีบ ก็ตอนเขาบอกรัก หรือบอกเลิกกันนั่นแหละ คำเหล่านั้นล้วนเป็นคำที่มีเจตนาทำให้คนหวั่นไหว จิตใจสั่นคลอน อ่อนแอ ยอมรับรัก ยอมเป็นทาสรัก ยอมสารพัดยอม ยอมพลีกาย พลีใจให้กับการกระทำหรือคำพูดที่พาให้หวั่นไหว ให้ใจหลงเคลิ้ม อันนี้ก็เป็นการทำร้ายของมารที่แฝงมา คนดีมีศีลจะไม่ทำให้ใครหวั่นไหว จะไม่ล่อลวง จะไม่จีบ สุภาพบุรุษที่แท้จริงนั้นจะไม่จีบใคร ไม่เกี้ยวพาราสี เพราะเป็นเหตุที่จะทำให้คนหวั่นไหว เป็นทุกข์ กระวนกระวายใจ ก็เป็นการทำร้ายกันในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น เป็นมิติที่คนทั่วไปยากจะเข้าใจแล้ว เพราะเขามองว่าการจีบกันรักกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในทางธรรมนะนั้น การทำให้หวั่นไหว ให้เกิดความใคร่อยาก ให้เกิดความกลัวที่จะไม่ได้เสพ ก็มีแต่มารเท่านั้นแหละ ที่จะทำสิ่งนั้น
รักที่พาเจริญต้องไม่ทำให้หลง
การทำให้หลง เป็นการทำร้ายจิตใจกันอย่างลึกซึ้งแบบข้ามภพข้ามชาติ ทำให้อ่อนแอ เป็นทาส ขาดอิสรภาพ เหมือนคนตาบอด มืดมัว เศร้าหมอง อยู่แต่ในกรอบที่มารกำหนดไว้ คือรักแต่ฉัน หลงแต่ฉัน เชื่อแต่ฉัน ทุ่มเทชีวิตให้ฉัน การทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอและไม่พึ่งตนเอง คือการทำลายศักยภาพของการเป็นมนุษย์ เป็นเบื้องต้นของการกระทำของมาร คือแสร้งว่า ฉันจะให้ความรัก ให้ความปลอดภัย ให้ความสุข ให้ความเจริญ เธอจงมาพึ่งฉัน อยู่กับฉัน ฯลฯ จะมีการหว่านล้อมให้หลงรัก หลงเชื่อใจ จนยอมทิ้งชีวิตจิตใจฝากไว้กับคน ๆ นั้น ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้พึ่งตน ให้มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือปฏิบัติให้ตนมีความเป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะในตนนั่นแหละเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เอาคู่รักเป็นที่พึ่ง แต่รักที่ทำร้าย เขาจะไม่ให้ไปพึ่งคนอื่น เขาจะให้พึ่งพาแต่เขา เขาจะให้หลงแต่เขา ให้รักแต่เขา ให้มัวเมาแต่เขา
รักที่พาเจริญต้องไม่ทำลายอิสระในการทำดี
ความเจริญกับการทำดีนั้นเป็นของคู่กัน ถ้าความรักหรือคู่รักนั้นมาขัดขวางการทำดี นั่นก็แสดงว่า ความรักนั้นกำลังขัดขวางทางเจริญ การทำดีนั้นก็มีเรื่องของการทำทาน การถือศีลให้เกิดความลดละกิเลสได้ แต่ความรักผีที่แฝงตัวมาจะกั้นไม่ให้คนทำทาน ไม่ให้คนเสียสละ บางคนเสียเงินพอทนได้ แต่จะให้ไปปฏิบัติธรรม ทำดีกัน 5 วัน 10 วัน นี่เขาจะไม่ปล่อย เขาจะไม่ยินดี เขาจะกั้น สารพัดเหตุผล บ้านต้องดูแล งานต้องทำ เงินต้องหา ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบเหตุปัจจัยมันอาจจะไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น หรือในเรื่องถือศีล คู่รักกับศีล ๘ ในข้อประพฤติพรหมจรรย์จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกกัน เพราะเป็นธาตุตรงข้าม ผีกับมาร แค่ถือศีล ๕ ก็ว่ายากแล้ว ศีล ๘ นี่ยิ่งยากไปใหญ่ เขาจะไม่ยอม คนที่เขามีกิเลส มีความอยากมาก ๆ เขาจะไม่ยอมให้คู่ถือศีล ๘ เขาจะกั้นจากความดีที่เลิศกว่า จะจำกัดอิสระ ขังไว้ในความดีน้อย ๆ ความดีที่ต้องมีฉันเป็นกำแพง มีฉันเป็นเพดาน ดีไม่ดีเอาลูกมาผูกไว้อีก ดังที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกบุตรว่า บ่วง เพราะท่านรู้ว่านี่คือสิ่งที่จะผูกมัดท่านไว้ มารก็จะทำแบบนี้เช่นกัน เขาจะมัดคู่ไว้ด้วยการมีลูก คือสร้างบ่วง สร้างห่วงขึ้นมาให้มันมีเหตุที่จะต้องอยู่รับผิดชอบ ให้อยู่เล่นละครพ่อแม่ลูกไปกับเขา กั้นไม่ให้เราเหลือเวลาเอาไปทำความดีแก่ผองชนมาก ๆ ให้เราทำดีแต่ในคอกแคบ ๆ ที่เรียกว่าครอบครัว
รักที่พาให้เจริญต้องไม่ผูกมัด
ความยึดมั่นถือมั่น คือการทำร้ายจิตใจตนเองและผู้อื่น ความเจริญนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อผู้มีความรักนั้น รักอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นหมายความว่า ถ้าคู่ของเขา พร้อมจะจากไป ก็ยินดี ยอมให้ไปโดยไม่เหนี่ยวรั้ง เคารพสิทธิ์ เคารพความคิด คือ ถึงบทที่จะต้องจากกัน หรือมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่ยึด ยื้อ รั้ง กันไว้ ไม่ตรงก็ไม่ขังเขาไว้ ก็ปล่อยไปตามทางที่เขาเลือก ไม่ใช่เป็นไปตามใจที่เราเลือก ให้อิสระกับเขา ไม่ผูกมัดเขา ปล่อยวางจากเขา อันนี้คือความเจริญ ส่วนความเสื่อมก็คือไปล่อลวง อ้อนวอน หลอกล่อเขาไว้ให้อยู่กับตน พยายามจะผูกมัดเขาไว้ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ อันนี้ความรักผี พาให้เป็นทุกข์ ตัวเองก็เป็นทุกข์ คนอื่นก็เป็นทุกข์ แสดงให้เห็นความคับแคบในใจ จะเอาแต่ใจตน ใจไม่กว้าง คิดจะรักต้องใจกว้าง ให้อิสระ เคารพความเห็นของคนอื่น ให้สิทธิ์เขาเลือกที่จะเดินเข้ามาหรือจากไป โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
รักที่พาเจริญต้องไม่หลอกหลอน
รักที่พาให้หลง คือความรักที่ทำให้จิตเกิดความหลอกหลอน วนเวียนเสพสุขกับความทรงจำ ที่แม้ปัจจุบันจะไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ความสุข ความเศร้า บทละครมันยังวิ่งวนเวียนหลอกหลอนอยู่ในหัว คิดถึงทีไรก็เป็นสุข สุขที่ได้เสพความทรงจำ หอมหวานอยู่ในภพที่ฝังตัวเองไว้ ติดตรึงใจ หลอกหลอนไม่รู้ลืม ความรักที่พาให้เจริญจะไม่สร้างผลแบบนี้ จะมีเฉพาะความรักแบบผี หรือรักด้วยกิเลสเท่านั้น ที่สร้างผลที่จะหลอกคนให้หลงหลอนอยู่ในภพแห่งความฝัน
รักที่พาเจริญต้องไม่ทำให้เกิดทุกข์
ในมิติที่ละเอียดลึกซึ้งที่สุดคือ รักแล้วต้องไม่มีทุกข์ในใจเลย จึงจะเจริญได้ ถ้ายังมีทุกข์อยู่แสดงว่ายังไม่เจริญ ความเจริญคือความไม่ทุกข์ ไม่ใช่การจมอยู่กับทุกข์ อันนั้นเรียกว่าเสื่อม ไม่เจริญ ถดถอยไปเรื่อย ๆ อันนี้ต้องใช้สติไปจับอาการทุกข์ของตัวเองกันดี ๆ ว่ามีทุกข์เกิดมากเท่าไหร่ ทุกข์ขนาดไหน ในชีวิตประจำวัน ความกังวล ระแวง หวั่นไหว นั้นก่อให้เกิดทุกข์ แค่คู่ครองไม่รับโทรศัพท์ คู่ครองกลับบ้านไม่ตรงเวลา คู่ครองไปคุยกับคนอื่น มันจะผาสุกไหม มันจะทำใจให้เบิกบานได้ไหม ถ้ากระทบกับความไม่ได้ดั่งใจแล้วใจยังมั่นคงอยู่ในความผาสุกได้ก็เจริญ แต่ถ้าหวั่นไหว ทุกข์ทนข่มใจไปตามสถานการณ์ ที่เหมือนกับเรือที่ลอยอยู่ท่ามกลางทะเลที่แปรปรวนด้วยลมพายุ แม้จะทรงตัวอยู่ได้ ก็ใช่ว่าจะทนอยู่ได้ตลอดไป ก็อาจจะต้องพ่ายแพ้อับปางลงสักวัน ไม่เหมือนกับคนที่ปฏิบัติจนไม่ทุกข์ อันนั้นเขาไม่ติดโลก ไม่ติดทะเล เหมือนลอยอยู่ในอากาศ ความแปรปรวนใด ๆ ล้วนไม่มีผล ไม่น่ายึดไว้ ก็แค่ไปหาสภาพที่ดีกว่าอยู่ ไปหาที่สงบจากความแปรปรวน สงบจากความโลภ โกรธ หลง เพราะการอยู่กับคนที่มีกิเลสมาก ๆ รังแต่จะสร้างปัญหาให้ แม้จะไม่ทุกข์ใจ แต่ก็เป็นความลำบากกายที่ต้องทนรับไว้ เป็นภาระ เป็นบ่วง ดังนั้น คนที่เจริญ เขาจะไม่ยึดสภาพคู่ครองไว้ เพราะมันเป็นสภาพที่ไม่น่าเสพ เป็นภาระ เป็นความลำบาก พอไม่ยึดติด มันก็ไม่มีความสำคัญแบบมีกิเลสเป็นตัวแปรในตัวบุคคล ที่เหลือก็แค่ประเมินว่าที่ไหน ตรงไหน ตนเองจะทำประโยชน์ได้ดีกว่าเท่านั้นเอง
…ก็ลองพิจารณากันดู ประตูแรกของการจะข้ามพ้นความหลงในความรักก็คือ ยอมรับว่ามันทุกข์ ยอมรับว่ามีแล้วมันก็ไม่ได้พาเจริญกันอย่างที่เขาว่ากันหรอก ก็มีแต่กามแต่อัตตานั่นแหละที่จะเติบโตขึ้น พากิน พาเสพ พาเมา พาโลภ โกรธ หลง พายึดกันอยู่ทุกวี่วัน จะหาความเจริญมาจากไหน?
8.1.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
โสดก็ดี มีคู่ก็ทนเอา
หลายๆบทความที่ชี้ทุกข์ในการมีคู่ ชี้นำให้โสดนี่เหมาะกับคนที่ยังโสดเป็นหลักเลยนะ ให้รักษาความโสดไว้ก่อน อย่าเพิ่งรีบสละโสด
อ่านบทความไปพิจารณากันไป ถึงจะคบหาดูใจกันอยู่ ก็ดูกันไปก่อน ดูกันไปนานๆ อย่าเพิ่งรีบผูกมัดกันด้วยร่างกายและสมมุติโลกต่างๆเลย ถึงเวลาอยากออกจริงๆมันจะออกยาก เพราะติดไปแล้ว ผูกพันไปแล้ว
เวลาผ่านไปนานๆ เดี๋ยวกิเลสก็เริ่มออกลีลาเอง พอทั้งคู่ไม่ได้อย่างใจตนก็ตอนนั้นแหละ ก็ดูกันไป พิจารณากันไป
……..
ทีนี้คนมีคู่มาอ่าน ก็ไม่ใช่ว่าต้องสละคู่เลยนะ มันไม่ง่ายนะ ถึงจะทำได้แต่มันก็มีวิบากบาปติดมาด้วยเหมือนกัน เรียกว่าไม่คุ้ม ยกเว้นเช่นว่าขอเขาไปบวชตลอดชีวิตแล้วเขาอนุญาตอย่างเต็มใจ แต่ต้องบวชตลอดชีวิตจริงๆนะ แล้วชีวิตเขาจะต้องอยู่ได้ปกติโดยไม่มีเราด้วย …เห็นไหมว่ามันยาก มันมีเงื่อนไขยิบย่อยเยอะมาก
คนมีคู่นี่เขามีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้กัน เป็นคู่เวรคู่กรรม ก็ทนๆใช้กรรมกันไป วันหนึ่งเราทำดีมากพอ เขาก็ปล่อยเราหลุดจากความเป็นคู่เอง ถ้าร้ายๆก็เขาไปมีคนใหม่ ไม่ก็ตายไป ถ้าดีๆหน่อยก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน (เห็นไหมว่าสุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนกันอยู่ดี)
ส่วนใครที่ทนทุกข์อยู่ไม่ต้องไปโทษใครหรอก ทำมาเองทั้งนั้น กรรมตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่ชาติก่อนหรอก ก็ชาตินี้แหละ หลงไปแต่งงานกับเขาเอง ตอนเขามาผูกพันก็ไปหลงสุขหลงเสพกับเขาเอง มันก็ต้องใช้กรรมกันไป
ความรัก…ไม่จำเป็นต้อง…
ความรัก…
ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน
ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน
ไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัว
ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดๆ
…เพียงเพื่อจะได้ครอบครอง
= = = = = = = = = = =
คนที่รักกันจริงนั้น ย่อมไม่คิดจะผูกพัน
ด้วยเงื่อนไขที่ผูกมัดเช่น แฟน หรือครอบครัว
แม้จะเป็นคนที่รักแสนรักปานใด
ก็จะไม่ยอมทำบาปและสร้างอกุศล
เพียงเพื่อได้เสพสุขที่ลวงโลกเหล่านั้น
…แต่จะคงไว้ซึ่งความเป็นมิตรที่ดี
เป็นผู้แบ่งปัน เกื้อกูล ดูแล ตักเตือน ฯลฯ
เพื่อนำพาคนที่รักนั้นไปสู่ความเจริญฝ่ายเดียว
…ผู้ที่เข้าไปผูกพันนั้น คงจะหนีไม่พ้นเหตุแห่งกิเลส
ด้วยความหลงในโลกียรส หลงในการสมสู่
หลงในการครอบครอง อยากได้เป็นเจ้าของ
หากเว้นขาดจากเรื่องเหล่านี้แล้ว
การคบหากันเป็นแฟน หรือแต่งงาน
ก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกเลยในชีวิต
ซึ่งจะคงเหลือไว้แต่ความเป็นมิตรที่ดีเท่านั้น
= = = = = = = = = = =
บทขยาย: ในบทนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ความรักที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องครอบครองด้วยสถานะใดๆที่เกินเพื่อนเลย หากเราไม่ต้องการครอบครองเขา ไม่สมสู่เขา ไม่หลงเสพสุขในกามคุณ โลกธรรม อัตตาทั้งหลายที่เขามี เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมีความสัมพันธ์ให้เกินเพื่อน
คนที่พยายามให้ความสัมพันธ์นั้นเกินเพื่อนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มันก็เป็นเพียงข้ออ้างของกิเลสที่ปั้นแต่งมาเพื่อให้ตนได้เสพสมใจเท่านั้น
คนที่หลงไปแต่งงานแล้ว ความเจริญสูงสุดที่จะมีได้ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่ สุดท้ายก็จะกลายเป็นการคบหาแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งการมีความสัมพันธ์ที่ดีนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างวิบากบาป สะสมกิเลสรายทาง ให้ต้องมารับกรรมชั่วกันทีหลัง เพียงแค่คงสถานะมิตรที่มีไว้ตั้งแต่แรกให้ยั่งยืน สุดท้ายก็จะมาบรรจบที่เดียวกันกับคู่รักที่เจริญแล้วทุกคู่
แต่คนที่คงความเป็นโสดและเป็นมิตรที่ดีจะเจริญได้มากกว่ามากนัก เพราะไม่ต้องมารับวิบากบาปจากความชั่วที่ทำมาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบำเรอกิเลสของกันและกัน การสมสู่กันและกัน การระบายโทสะแก่กันและกัน จนกระทั่งการพากันไปหลงในกิเลสต่างๆด้วยกัน พวกเขาก็ไม่ต้องรับวิบากบาปเหล่านั้นทีหลัง
นั่นหมายถึงเราสามารถพาคนที่เรารักเจริญได้มากกว่าการที่ไปคบหากันเป็นแฟนหรือแต่งงานกัน เพราะไม่ต้องมีวิบากบาปใดมากั้นขวางไม่ให้ไปสู่ความเจริญ นี้เองคือความรักที่มากกว่า เกื้อกูลมากกว่า มีปัญญามากกว่า เห็นแก่ตัวน้อยกว่า เสื่อมน้อยกว่า และทุกข์น้อยกว่าคนที่หลงไปคบหากันเป็นแฟนหรือแต่งงานกันมากนัก
– – – – – – – – – – – – – – –
2.5.2558