Tag: ฆ่ากันตาย
ทำไมถึงเลือกพิมพ์บทความเกี่ยวกับความรัก
เมื่อปีก่อนมีคนถามคำถามนี้มา ก็ตอบไปว่า “เพราะมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ร้ายมากขนาดที่คนฆ่ากันตายได้” ก็ตอบไปสั้น ๆ ประมาณนี้
ก็คงจะมาพิมพ์ขยายกันเพิ่มว่าทำไม ผมจึงเลือกพิมพ์บทความความรักมากมายในช่วงนี้
ช่วงหลายปีก่อนเป็นช่วงที่มีบทความหลากหลาย การไม่กินเนื้อสัตว์ ชีวิตความเป็นอยู่ การปฏิบัติธรรม ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ แต่มาช่วงสุดท้ายของปี 62 จนมาถึงวันนี้ กลับดูเหมือนเน้นแต่เรื่องความรัก
นั่นก็เพราะผมเลือกว่าถ้าเราสังเคราะห์สิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุด เพราะมีคนทำน้อย เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์เขาก็ทำกันเยอะแยะ ก็ไม่ต้องไปปรุงกันมากนัก เราก็เลือกที่เราทำได้เด่น ๆ อันนี้มันเป็นความถนัดเฉพาะทางด้วย มันพิมพ์แล้วมันไปได้ มีคนอ่าน ถือว่าทำออกมาแล้วขายออก ก็ทำอันนี้ แม้จะมีแบบอื่นที่ทำได้อีก แต่ก็เอาอันนี้แหละ เรื่องความรักแบบนี้แหละ ไม่ค่อยมีคนทำเลย มาลดโลภ โกรธ หลง ในความรัก หาอ่านไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่ก็มีแต่จะพาเพิ่ม โลภ โกรธ หลงในความรักเสียมากกว่า
มีคนเขาถามว่าสิ่งที่เราพิมพ์นั้นมาจากความคิดหรือประสบการณ์ ก็จะตอบว่าทั้งสองอย่าง
ถ้าจะนิยาม ความคิด ว่าคือการคิดด้นเดาเอาเอง อันนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะความลึกซึ้งในธรรมะนั้นคิดหรือเดาเอาเองไม่ได้ นั่งเทียนเขียนก็เขียนไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาวะมันจะเขียนไม่ออก เก่งภาษาแค่ไหน ก็จะสื่อสารไม่มาไม่ไป มันจะวน ๆ งง ๆ ไม่แม่นเป้า ไม่ตรงประเด็น ไม่ตรงกิเลส
ไม่เชื่อลองดูก็ได้ มีหัวข้อให้ เป็นเรื่อง ๆ ใช่ว่าคนปฏิบัติธรรมเขาจะเขียนออก หรือถ่ายทอดได้กันทุกคนเสียที่ไหน มันต้องมีผลจากการปฏิบัติเป็นหลัก แล้วปรุงตามเหตุปัจจัยของโลก สังเคราะห์ความคิดขึ้นมาว่าถ้าเหตุแบบนี้เราจะทำอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร อันนี้เป็นความคิดที่มีหลักว่าต้องพาไปสู่ความพ้นทุกข์ พ้นโลภ โกรธ หลงในความรัก
ก็มีอยู่บ้าง ที่เขาอาจจะจำมา เรียนมา ศึกษามา แต่ถึงเวลาใช้จริงมันจะแข็ง ขาดความพริ้ว หรือขาดมุทุธาตุ ที่เป็นความแววไวของจิต มันจะเป็นบล็อก ๆ เป็นความรู้ชุด ๆ เหมือนนักรบที่ฝึกกระบวนท่าเป็นชุด ๆ แต่ประยุกต์ไม่ได้
ส่วนประสบการณ์นี้ก็ต้องตอบว่ามีพอหากิน การเรียนรู้ของคนนั้นวัดด้วยเวลาเท่าที่เห็นได้ยาก คนแต่ละคนมีความไวในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่สะสมมาข้ามภพข้ามชาติ จะลองให้คนแก่ที่ผ่านรักมามากมายหลายครั้งมา เล่าเรื่องแจกแจงกิเลสอย่างผมก็ได้ ผมไม่เชื่อหรอกว่า คนที่ผ่านเวลามามากมาย ผ่านรักมาหลายครั้ง จะมีความชัดเจนแจ่มแจ้งในเรื่องกิเลสได้โดยที่ไม่ได้ปฏฺิบัติธรรมอย่างถูกตรง
ญาณปัญญาคือผลจากการปฏิบัติ การเรียนรู้ในมิติที่มีปัญญาจะต่างไปจากมิติของคนที่จมอยู่กับกิเลส ทุกเรื่องราว เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาจะถูกแปรสภาพเป็นปัญญา เป็นการรู้โลกที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ต่างจากคนที่ยังจมอยู่กับกิเลส เมื่อมีเรื่องราวหรือสิ่งกระทบ ก็จะไหลไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ชอบก็ชัง ไม่รักก็เกลียด พอไปทางโต่งสองด้าน ปัญญามันก็ทึบ ถึงจะผ่านเวลาไปนานเท่าไหร่ แต่ถ้ากิเลสยังครอบงำอยู่ การเรียนรู้ที่ถูกตรงก็จะไม่เกิดขึ้นเลย
ส่วนถ้าถามว่าได้สิ่งเหล่านี้มาได้อย่างไร ที่ได้ความรู้เหล่านี้มาเพราะมีครูบาอาจารย์ที่ดี ที่ท่านปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างให้เราได้พึ่งพาอาศัยเรียนรู้จากท่าน พอตั้งใจปฏิบัติตาม มันจะได้ความรู้ชุดหนึ่งมาจากท่าน และความรู้อีกชุดหนึ่งจากผลการปฏฺิบัติของเรา บวกกับความรู้ที่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จากการที่เราสังเคราะห์กับผู้คน เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกนี้
ผมพิมพ์เรื่องความรักมานานหลายปี การทบทวนธรรม การแสดงธรรมนั้นเป็นวงจรที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายรอบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าการทบทวนธรรม และการแสดงธรรมนั้น เป็นองค์ประกอบในเหตุแห่งการหลุดพ้นจากกิเลส ๒ ใน ๕ ประการ ดังนั้น ยิ่งทบทวน ยิ่งพิมพ์ ยิ่งเผยแพร่ มันจะมีปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันก็ยังไม่หยุด ก็ยังคิดว่าตนเองยังไม่เก่งหรอก มันก็มีเหลี่ยมมุมใหม่ ๆ มาให้เรียนรู้เพิ่ม ก็ฝึกย่อ ฝึกขยายกันไป บางทีมันต้องย่อให้มันกระชับ ก็ต้องฝึก บางทีมันสั้นไปมันก็จะเข้าใจยาก ก็ต้องขยายกัน ก็ฝึกไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวผมเอง ส่วนคนมาอ่านแล้วเขาได้ประโยชน์ ก็เป็นความลงตัวของความดีที่ได้ทำร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเขาเห็นว่าดี เดี๋ยวเขาก็เอาไปลองทำเอง ถ้าเขาทำแล้วดี ก็คงจะเหมือนกับผมที่ทำตามอาจารย์แล้วผลมันออกมาดี พ้นทุกข์ เราก็เลยเอาไปบอกคนอื่นต่อว่ามันดี นั่นเอง
รักที่พาเจริญ ต้องไม่ทำร้าย
คนที่เขาแสวงหาความรักกันนี่เขาก็คิดว่ามันน่าจะมีความสุข น่าจะช่วยกันพากันเจริญไปทั้งทางโลกทางธรรมนะ
แต่ตัววัดว่ารักที่กำลังจะหาหรือมีอยู่นั้นพาเจริญ ทำให้เป็นสุขได้จริงไหม ตัววัดอย่างหนึ่งคือ “การไม่ทำร้ายกัน”
การไม่ทำร้าย ก็มีทั้งมุมร่างกายและจิตใจ
ในมุมการทำร้ายร่างกายเป็นมุมที่หยาบมากของคนที่บอกว่ารักกัน ส่วนมากการทำร้ายร่างกายของคู่รักนั้น ไม่ได้เกิดจากเมตตา เหมือนพ่อแม่ตีลูก ที่ตีลูกไปตัวเองก็เจ็บปวดไป แต่เกิดจากอัตตาที่จะสั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใครเสียมากกว่า ดังนั้นคนที่ยังทำร้ายร่างกายกันอยู่ ก็เป็นความหยาบที่มาก เป็นคนไม่มีศีล เพราะคนมีศีลจะไม่ทำร้ายร่างกายใคร
การทำร้ายจิตใจเป็นมิติที่ลึกซึ้งขึ้น และมีลำดับของการทำร้ายที่หยาบ ไปจนถึงละเอียด รู้ได้ยาก แบบหยาบ ๆ ก็ทำร้ายร่างกายกระทบจิตใจนั่นแหละ ทั่วไปก็คือการพูดให้เสียใจ มีมารยาหน่อยก็แสดงท่าทีไม่พอใจแต่ไม่พูด โหด ๆ เลยก็คือไม่พูดเลย เป็นการกดดันให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ ที่ยกตัวอย่างมานี้คือ ลักษณะของคนที่มีเจตนาจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายในรูปแบบต่าง ๆ
ส่วนที่ทำร้ายจิตใจโดยไม่ชัดเจนในเจตนา คือการสร้างความหลงให้กับคนอื่น คือจริง ๆ น่ะ มีเจตนา แต่มันคลุมเครือในจิตเพราะความหลงของตัวเอง คือ หลงว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นประโยชน์ แต่จริง ๆ เป็นโทษ ถ้าถามไปเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้ตั้งใจทำร้าย แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำร้าย เช่น การไปชม(เชิงชู้สาว) ไปจีบ เพื่อทำให้เขาหลงไหลในคำเหล่านั้น อันนี้เป็นนัยที่ลึกขึ้น เพราะทำร้ายจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ให้อ่อนแอลง ให้ยอมมอบกายมอบใจให้ เป็นการทำร้ายที่คนส่วนใหญ่ดูไม่ออก
การทำร้ายจิตใจที่ดูยากที่สุดคือการทำร้ายจิตใจตัวเองด้วยความชอบความชังในความรัก หลงในรักก็ทำให้ตัวเองอ่อนแอ เป็นทุกข์ กระหายอยากเสพ พอไม่ได้ก็เป็นทุกข์ใจ กระวนกระวาย กลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว ฯลฯ ส่วนความชังก็สะสมความเกลียดในจิต เกลียดคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับคู่ของตน เกลียดคู่ของตนที่ทำไม่ถูกใจ เกลียดที่เขาเปลี่ยนไป ไม่รักเราเหมือนกัน สารพัดความไม่ได้ดั่งใจจะสะสมความชังเพื่อไปทำร้ายตัวเองและคนอื่น
รักที่จะพาเจริญได้นั้น จะต้องไม่เป็นเหตุให้ความสะสมความชอบ และความชัง เพราะความชอบก็คือกามตัณหา ความชังคืออัตตา เป็นนรกทั้งคู่ ถ้ายังชอบยังชังในความรัก ในคู่รัก มันก็ไม่มีทางเจริญไปได้เลย มีแต่จะพาตกต่ำ เศร้าหมอง ทำร้ายกัน ฆ่ากัน
ความรักเป็นเหตุหนึ่งในคนฆ่ากันตายกันเกือบทุกวี่วัน ความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แต่คนก็ยังดิ้นรนแสวงหา ไขว่คว้า กอดรัดไว้ เหมือนยาพิษที่มีรสหวานที่คนอยากจะลิ้มลองชิม ด้วยความหลงว่าตนจะต้านพิษได้ ตนจะได้เสพแต่รสหวาน พิษนั้นไม่มีภัย รสหวานนั้นคุ้มค่ากับพิษ เป็นต้น
สุดท้ายเขาก็จะทำร้ายตัวเองด้วยความเห็นผิดเหล่านั้นนั่นเอง ดังนั้นการจะบอกว่ารักนั้นพาเจริญ ก็เป็นสภาพที่เหมือนฝันที่ไม่มีวันจะเป็นจริง