Tag: คู่ครอง

คู่ครองถ่วงธรรม

March 1, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,998 views 0

คู่ครองถ่วงธรรม

คู่ครองถ่วงธรรม

หากจะนึกถึงสิ่งใดที่เป็นบ่วงซึ่งเป็นเครื่องผูกมัดและถ่วงความเจริญ หนึ่งในนั้นก็คือการมีคู่ครอง แม้ในโลกจะสรรเสริญการมีคู่ แต่ในทางธรรมการมีคู่นั้นกลับกลายเป็นขวากหนามขวางกั้นคนให้ห่างจากความผาสุกที่แท้จริง

ถ้าเราเอาเหตุผลทางโลก ก็คงจะมีหลายคนที่ให้เหตุผลที่ฟังแล้วดูดี สมควรแก่การมีคู่ ถึงแม้เขาจะพยายามขยับขามาทางธรรม ความเห็นผิดที่หลงในสุขลวงเหล่านั้นก็จะยังติดตามมาเสมอ เช่น หาคู่มาคอยเกื้อกูลกัน มาปฏิบัติธรรมร่วมกัน เป็นผัสสะแก่กันและกัน เป็นกัลยาณมิตรกัน อะไรก็ว่ากันไปตามเหตุผลของคนอยากมีคู่

ถ้าเขาไม่คิดจะเจริญทางธรรม อยากมีชีวิตไปแบบโลกๆ กิน เที่ยว เสพสุขไปตามเวรตามกรรม การมีคู่ครองก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถ่วงความเจริญของชีวิตในความเห็นของเขา เพราะเขาไม่ได้แสวงหาความเจริญในธรรม ไม่ต้องการความเจริญแบบโลกุตระ(เหนือโลก) ต้องการเพียงแค่ความเจริญแบบโลกีย์ (วนเวียนอยู่ในโลกของกิเลสตัณหา) การมีคู่ก็คงจะเป็นเหตุที่สมควรแก่ความเห็นของเขา แต่ในบทความนี้เราจะมากล่าวกันในบริบทของผู้ที่ต้องการแสวงหาความผาสุกในชีวิต ต้องการความเจริญในทางธรรม ต้องการหลุดพ้นจากการตามกระแสโลกไปวันๆ

ถ้าคิดแบบทางโลกทั่วไป การมีคู่ครองแล้วปฏิบัติธรรมไปด้วยกันก็เหมือนกับการมีจักรยานสักคัน มีแล้วปั่นไปได้เร็วกว่าเดิน ตามที่หลายคนอ้างว่า พอมีคู่แล้วพากันทำดี ชวนกันทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เข้าวัดฟังธรรม เป็นคนดีมากขึ้น ถ้าไม่มีคู่ก็คงจะไม่มีใครพาเข้าหาธรรม ได้เรียนรู้ศึกษา ปรับนิสัยให้เป็นคนดีขึ้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีใช่ไหม? การมีจักรยานแบบนี้เหมือนจะดูดีกว่าไม่มีใช่ไหม?

แต่ถ้าเราลองมาคิดอีกที การจะมีจักรยานนี่มันทุกข์ตั้งแต่อยากมีแล้ว ต้องเลือกหาจักรยานคันที่ถูกใจ ก็เหมือนกับคนเลือกหาคู่ ซึ่งกว่าจะมีกันก็ใช่ว่าง่ายๆ ถ้าไม่ทุกข์เพราะเลือกยากก็ทุกข์เพราะไม่มีให้เลือก มีมากมายหลายเหตุให้ทุกข์เพราะความอยากมีคู่นั้นเอง

พอมีคู่ครองแล้วก็เหมือนได้จักรยานมาคันหนึ่ง ถ้าเป็นคนดีจริงๆ ก็อาจจะพากันไปทำดีได้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสะดวกนัก มีจักรยานแล้วก็ต้องคอยหาที่จอด ต้องคอยเช็ดคอยล้าง คอยดูแลเปลี่ยนอะไหล่ เอาไปจอดที่ไหนก็ต้องล็อคไว้ ไม่อย่างนั้นคนจะมาขโมยไป เป็นห่วงเป็นกังวล จะไปไหนไกลมากก็ไม่ได้ มันก็มีขอบเขตที่มันจะพาเดินทางไปได้อยู่ ก็เหมือนกับการมีคู่ มีแล้วก็ต้องคอยดูแลเอาใจใส่กัน เสียเงินเสียเวลาเสียแรงในการบำเรอกัน ปล่อยไปนานๆ โดยไม่ดูแลก็ไม่ได้ เดี๋ยวมีคนใหม่เข้ามาเขาจะนอกใจไปได้อีก และที่สำคัญมีแล้วก็เป็นภาระ จะปฏิบัติธรรมอะไรก็ไม่สะดวก ต้องเกรงใจอีกคน ต้องคอยอนุโลม จนบางทีต้องลงยอมลงนรกไปด้วยกันก็มี

ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งอยากไปศึกษาธรรม แต่อีกคนหนึ่งอยากไปกิน ไปเที่ยว มันก็ทำดีไม่ได้เต็มที่ เพราะต้องเกรงใจคู่ ถึงเราจะไม่เกรงใจแล้วเลือกออกไปทำสิ่งดี แต่เขาก็ไปลากกลับมาได้ ไม่ยอมให้ทำดี หรือไม่เราก็ทิ้งการทำดีไปเสพสุขด้วยกันกับคู่เสียเอง สรุปแล้วสิ่งดีๆ ก็ไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้ดีเท่าที่ควร คือทำความดีไม่ถึงพร้อม แต่มักพากันไปมัวเมากับกิเลสสะสมนรกกันไปเรื่อยๆ

หรือคนหนึ่งอยากเลิกกินเนื้อสัตว์ พอไปคบหาคนที่ไม่ได้ศรัทธาในการไม่กินเนื้อสัตว์ ถึงแม้เขาจะไม่ก้าวก่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นดีด้วย บางทีเขาไม่ได้แสดงอาการลำบากใจอะไร แต่เราก็ดันไปลำบากใจแทนเขา กลัวเขาจะอึดอัดที่เรามีวิถีชีวิตที่แตกต่าง คิดดูว่าการจะทำสิ่งดียังต้องมาเกรงใจกันอีก แล้วการจะพาคนที่ไม่ได้ศรัทธาในการทำสิ่งดีนั้นๆ ให้ทำตามมันไม่ง่ายนะ เช่นเราไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะให้เขาเลิกกินเนื้อสัตว์แบบเรา เพียงเพราะเป็นคู่ครอง เขาไม่ยอมง่ายๆนะ ให้เขาหยุดเสพกามในเนื้อสัตว์นี้มันก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขามากเกินไป มันปากเขาไม่ใช่ปากเรา ทีนี้มันจะทนกันได้ไม่นานหรอก คนไม่กินเนื้อสัตว์ถ้าไม่ติดดียึดดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนทะเลาะกัน ก็หย่อนยานจนกลับไปกินเนื้อสัตว์กับเขานั่นแหละ ส่วนที่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้จริงนี่ก็รอดไป

มาถึงเรื่องสมสู่ ถ้าคนหนึ่งอยากทำดี อยากพ้นไปจากวิสัยคนคู่ที่ต้องคอยสมสู่กันเพื่อบำเรอสุข อยากจะทำให้ชัดเจนว่าเป็นคู่กันเพราะความรักจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วัตถุบำเรอกาม ก็เลยอยากจะชวนกันถือศีล ๘ เพื่อให้ชีวิตเจริญขึ้น แต่เรื่องนี้มันคิดคนเดียว ทำคนเดียวไม่ได้นะ บางทีเราอยากออก แต่คู่เขาไม่ยอมออกตาม เขาก็จะสมสู่เราอยู่นั่นแหละ หรือไม่เราก็ทนไม่ไหวเวียนกลับไปเสพเขาเสียเอง มันก็คอยฉุดกันกลับไปนรกคนคู่อยู่นั่นแหละ ไม่ปล่อยให้เจริญกันได้ง่ายๆหรอก ถ้าใครไม่เชื่อลองตั้งตบะดูเลยก็ได้ ว่าจะไม่มีเรื่องสมสู่กันแม้ว่าจะครองคู่กันนานเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไม่มีบารมีเก่าไม่มีทางรอดหรอก สุดท้ายเดี๋ยวก็หาเหตุผลให้ไปเสพกันจนได้

ทีนี้ยกตัวอย่างกันให้สุดๆ แบบพ่อพระแม่พระกันไปเลย คือไม่สมสู่กันเลย ไม่บำเรอกันด้วยกิเลสใดๆเลย คบหากันอย่างเพื่อนเลยก็ว่าได้ พากันเข้าวัด เสียสละชีวิตตนเองให้ศาสนา เป็นคนวัดทั้งคู่เลย แต่มันไม่พ้นภาระนะ มันต้องดูแลกันเป็นพิเศษ พอขึ้นชื่อว่า “คู่ครอง” แล้วนี่มันเป็นสัญญาที่คนเขารู้กันว่าต้องดูแลกัน มันจะมีหน้าที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าเพื่อน เป็นสิ่งที่ทำให้ยึดกันมากกว่าเพื่อน ห่วงหากันมากกว่าเพื่อน สุดท้ายก็ติดอยู่ในสัญญานั้นแหละ หลงว่าเป็นสิ่งดี สิ่งเยี่ยม เป็นศักดิ์ศรี เป็นหน้าที่ ไม่พ้นจากสภาพของคู่ครองสักที

หากเราดูเผินๆ ก็อาจจะเห็นว่าการมีจักรยานนั้นดีกว่าเดิน แต่จริงๆมันมีความลำบากซ่อนอยู่ เอาเข้าจริงคนไม่มีจักรยานนี่อาจจะสบายกว่าก็ได้ จะเดินไปไหนก็ไม่ต้องกังวล จะขึ้นรถคันไหนก็ได้ จะเดินทางด้วยวิธีไหนก็ได้ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นวิธีใดวิธีหนึ่ง ดีไม่ดีถ้าทำดีเข้ามากๆ จะมีคนคอยรับส่งด้วยซ้ำ สรุปคือจักรยานนี่มันไม่ต้องมีก็ได้ มันก็เดินทางไปของมันได้อยู่ดี เหมือนกับคู่ครองนี่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเช่นกัน

เราอาจจะอ้างเหตุผลว่า มีเพื่อเกื้อกูลกัน เป็นผัสสะแก่กันและกัน คอยดูแลเอาใจใส่ตอนแก่เฒ่า เป็นกัลยาณมิตรกัน ซึ่งจริงๆ แล้วองค์ประกอบทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ครองก็ได้ แค่เราหาเพื่อนที่สนใจธรรมะในแนวทางเดียวกัน จริงจังเหมือนกัน ถ้าให้ดีก็เลือกเพศเดียวกันจะได้ไม่ต้องเสี่ยงมารักใคร่ชอบพอกันเชิงชู้สาว มีเพื่อนนี่ก็เกื้อกูลกันได้ เป็นผัสสะแก่กันได้ คอยดูแลเอาใจใส่กันได้ และแน่นอนว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ดีกว่าคู่ครองแน่ๆ เพราะอย่างน้อยก็ไม่สมสู่กัน ไม่เบียดเบียนกันเพียงเพราะความเป็นคู่ครองใดๆเลย ทีนี้พอเป็นมิตรดีแก่กันแต่ไม่ได้ครองคู่กัน พากันทำดีอย่างเดียว ไม่ทำชั่ว มันก็พากันเจริญได้เร็วกว่าคนที่ครองคู่สิ เพราะบาปไม่ได้ทำ อกุศลก็ไม่ได้ทำ แล้วจะมีอะไรมาคอยถ่วงความเจริญ

มีคนปฏิบัติธรรมมากมายที่ตั้งใจจะเป็นโสด แสวงหาความเจริญทางธรรม ยินดีที่จะเป็นมิตรดีเกื้อกูลกันและพากันดำเนินชีวิตไปในเส้นทางธรรม แต่ผู้ที่เรียกตนเองว่านักปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอีกหลายคนกลับเมินหน้าหนีมิตรดีเหล่านั้น แล้วไปแสวงหาศัตรูคู่อาฆาตที่คอยจองเวรจองกรรมกันมาแล้วหลายภพหลายชาติ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และหวังว่าจะแสวงหาความเจริญจากการมีคู่

คนที่แสวงหาความเจริญทางธรรมจากการมีคู่ ก็เหมือนกับคนที่หยิบขี้ขึ้นมากำไว้แล้วหวังว่ามันจะกลายเป็นทอง ซึ่งแท้จริงแล้วขี้มันก็เป็นขี้นั่นแหละ มันไม่มีวันเปลี่ยนเป็นทองได้หรอก แต่ด้วยความหลงผิดจึงหยิบเอาขี้นั้นเข้ามากอดเก็บไว้

พอวันหนึ่งก็พบว่าการกำขี้นั้นเหม็นจนเป็นทุกข์ ก็ขว้างขี้นั้นทิ้งไป จะขว้างด้วยลีลาท่าทางอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็ต้องมาลำบากเช็ดคราบขี้และทรมานกับกลิ่นเหม็นที่ติดมือ แต่ถ้าไม่มีปัญญารู้ชัดว่าขี้นั้นไม่มีวันเปลี่ยนเป็นทอง ไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่านั่นคือขี้ เดี๋ยวก็วนกลับไปแสวงหาขี้ก้อนใหม่ขึ้นมากำไว้เหมือนเดิมอีก แล้วก็เข้าใจว่าขี้ก้อนนี้นั้นดีกว่าก้อนเก่า บางคนก็หยิบขี้ก้อนเดิมมานั่นแหละ ขว้างทิ้งไปแล้วก็ไปหยิบขึ้นมากำใหม่ เพราะคิดไปว่าครั้งนี้ฉันจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนครั้งก่อน ขี้ก้อนนี้แหละที่จะเปลี่ยนเป็นทอง อะไรแนวๆนี้

สุดท้ายก็วนเวียนทุกข์เพราะขี้ไปแบบนั้นจนกว่าจะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง แล้วจึงปล่อยวางขี้นั้นด้วยปัญญารู้โทษชั่วของการเอาขี้ขึ้นมากำไว้ ดังนั้นความเจริญสูงสุดที่หวังได้ก็คือการเห็นขี้เป็นขี้ เห็นการมีคู่ครองเป็นสิ่งที่ถ่วงความเจริญทางธรรม คือสุดท้ายก็รู้ว่า ไม่จำเป็นต้องมีคู่ก็สามารถหาความเจริญได้และเจริญได้มากกว่าด้วย เพราะไม่ต้องมาวนเวียนเสียเวลาอยู่กับเรื่องคู่ เหมือนคนที่เสียเวลามัวเมาอยู่กับขี้

– – – – – – – – – – – – – – –

28.2.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

โสด ไม่เบียดเบียน

December 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,765 views 0

โสด ไม่เบียดเบียน

โสด ไม่เบียดเบียน

สัตว์โลกนั้นเบียดเบียนกันด้วยความอยากเป็นธรรมดา เพื่อที่เราจะเบียดเบียนกันได้อย่างสบายใจ เราจึงสร้างความลวงขึ้นมาบดบังความจริง ดังเช่นว่าการมีครอบครัวเป็นสุข เพื่อปิดบังความจริงที่ว่าการมีครอบครัวนั้นเบียดเบียน คับแคบ เป็นทุกข์ แต่ก็ต้องทำเพราะเหตุแห่งความอยากนั้นเอง

เมื่อเราอยากได้อยากเสพอะไรมากๆ เราจะพยายามหาข้อดีของมัน พยายามปั้นแต่งประโยชน์ต่างๆนาๆ เพื่อที่จะได้เสพสิ่งนั้นโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ซึ่งเป็นธรรมชาติของกิเลสที่จะสร้างความลวงให้คนหลงผิดติดยึดในสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตมากขึ้น

แท้จริงแล้วการมีครอบครัวนั้นคือความเบียดเบียน เป็นความคับแคบ เป็นบ่วงที่คล้องคอไว้ เป็นภาระของชีวิต แม้เราจะพยายามปั้นข้อดีมากมายของการมีครอบครัว แต่ความจริงก็คือความจริง ว่าการมีครอบครัวนั้นไม่สบายเท่าความเป็นโสด

เมื่อเราอยู่เป็นโสด เราก็ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนทรัพย์สิน ร่างกาย เวลา และจิตใจของใคร เราต่างอยู่เป็นอิสระในพื้นที่ที่เรามี ไม่ไปก้าวก่ายชีวิตใครโดยไม่จำเป็น

แต่เมื่อเรามีครอบครัว เราก็จำเป็นต้องเบียดเบียนทรัพย์สิน ร่างกาย เวลา และจิตใจของกันและกัน พากันเสพสุขตามกิเลสก็เป็นการพากันไปทางเสื่อม ทะเลาะเบาะแว้งกันก็เป็นการพากันทำชั่ว การมีครอบครัวจึงกลายเป็นเบียดเบียนกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งเรามักจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เมื่อถูกชี้โทษของการมีครอบครัวให้เห็นดังนี้แล้ว กิเลสข้างในก็ยังจะสามารถสร้างเหตุผลที่สวยงามและประโยชน์มากมายของการมีครอบครัวขึ้นมาได้ ทั้งหมดนั้นเพราะเรามีความอยาก คือตัณหา คือความแส่หา คือความใคร่อยากเสพ พออยากเสพสุขมากๆ แล้วมีคนมาบอกว่าสิ่งนั้นเป็นโทษเป็นภัย …ด้วยกำลังจิตที่น้อย ต่อต้านกิเลสไม่ไหวจึงไม่สามารถทำใจในใจพิจารณาตามให้ทันว่าเหตุเกิดแห่งความทุกข์นั้นคือที่ใด

เมื่อได้รับข้อมูลว่าการมีครอบครัวเป็นทุกข์ แทนที่จะพิจารณาไปถึงที่เกิดว่า “ความอยากของเรานี้สร้างทุกข์” แต่มักจะเห็นและเข้าใจว่า “การถูกห้ามไม่ให้มีครอบครัว และการถูกชี้โทษนี่แหละเป็นทุกข์” ซึ่งเป็นการมองปัญหาคนละจุด กรณีแรกคือการมองกิเลสเป็นปัญหา กรณีที่สองคือมองธรรมะเป็นปัญหา พอมองธรรมะเป็นสิ่งผิด สุดท้ายก็เลยจับมือกับกิเลส ถล่มธรรมะจนสิ้นซาก ตอกตะปู ปิดฝาโลง ฝังความเจริญในทันที

แค่มีความอยากก็เบียดเบียนตนเองด้วยความเห็นผิดมากพออยู่แล้ว การที่เราจะไปหาคนผู้โชคร้ายมาสนองความอยากของเรา มาสนองความเชื่อที่ผิดของเรา นั่นยิ่งเป็นการเบียดเบียนที่มากกว่า

น่าสงสารว่าที่คู่ครองที่ต้องมาแบกรับความอยากปริมาณมหาศาลของเรา เพราะแค่กิเลสของตัวเองก็มากมายพออยู่แล้ว ยังต้องมาบำรุงบำเรอกิเลสของกันและกันอีก นี่มันจะพาชั่วเบียดเบียนกันเข้าไปใหญ่

ดังนั้นการเป็นประพฤติตนให้เป็นโสดจึงเป็นสุขที่สุด เพราะไม่ต้องเบียดเบียนตนเองด้วยความเห็นผิด ไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกิเลสของเรา และไม่ไปสร้างตัวอย่างของความสุขที่หลอกลวงให้สังคมและโลกได้หลงผิดตามๆกันไปอีกด้วย

– – – – – – – – – – – – – – –

1.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ขาดแฟนชีวิตเจริญ ขาดมิตรดีชีวิตไม่เจริญ

October 1, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,933 views 3

ขาดแฟนชีวิตเจริญ

เป็นส่วนเกินไม่มีก็ได้

ขาดมิตรดีชีวีฉิบหาย

เจริญก็ไม่ได้ไม่พ้นโลกีย์

– – – – – – – – – – – – – – –

ขาดแฟน

 

แฟน คู่รัก คู่ครอง ฯลฯ แท้จริงแล้วเป็นความสัมพันธ์ที่ “ไม่มีความจำเป็นในชีวิต” ถึงไม่มีก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติ และถ้ามีแล้วนอกจากจะสามารถขวางทางเจริญ ยังสามารถฉุดกันลงนรกได้อีกด้วย กว่าจะถึงวันแต่งงานบำเรอกิเลสกันไปเท่าไหร่ เลี้ยงกิเลสโตกันไปขนาดไหน แม้ว่ามันจะดูน่าใคร่น่าเสพในทางโลกีย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือทุกข์ล้วนๆ

เหตุผลหนึ่งในการหาแฟนหรือคู่ครองที่คนมักจะซ่อนเอาไว้ก็คือ “การสมสู่” ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เพื่อนที่ดีไม่สามารถทำให้กันได้ เพราะการระบายอารมณ์ การให้เป็นที่พึ่ง การปรึกษาปัญหาชีวิต การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า หรือแม้กระทั่งการง้องอน เพื่อนที่ดีก็สามารถทำหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้ได้ครอบคลุมทั้งหมด

แต่การจะให้เหตุผลว่าหาคู่ครองเพื่อมาบำเรอความใคร่ เอามาบำบัดความอยากในกามอารมณ์ มันก็ดูจะตรงเกินไปสักหน่อย คนเราก็เลยโอนคุณสมบัติบางอย่างของเพื่อนเพื่อมาให้น้ำหนักทางฝั่งแฟน ลดความสัมพันธ์ของเพื่อนมาเพิ่มคุณค่าให้กับแฟน สร้างระยะว่านี่เพื่อน นี่แฟน เพื่อนได้แค่เท่านี้ แฟนต้องขนาดนี้ และเว้นอาณาเขตพิเศษไว้ให้แฟน จึงกลายเป็นเหตุผลอันชอบธรรมในการหาแฟนหรือคู่ครองในที่สุด(สามารถพิสูจน์ข้อคิดเห็นนี้ได้โดยถือศีลการเว้นการสมสู่ตลอดชีวิต แล้วจะเห็นพลังของกิเลสว่ามีจริง)

เหตุผลอีกข้อก็คือ หลงผิดว่ามนุษย์ต้องมีคู่ ต้องแต่งงาน ต้องสืบพันธุ์ การมีคู่เป็นคุณค่า เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่สมควรทำ เป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิต ฯลฯและยังมีเหตุผลยิบย่อยอีกมากมายเช่น อยากมีไว้แก้เหงา, อยากมีคนเอาใจ, อยาก…ฯลฯ

– – – – – – – – – – – – – – –

ขาดมิตรดี

หากว่าชีวิตของเรานั้นไม่มีมิตรดี ไม่ได้คบหาหรือรู้จักคนที่ปฏิบัติดี จะไม่มีทางที่ชีวิตจะไปสู่ความเจริญได้เลย แม้จะเจริญไปได้ ก็หนีไม่พ้นวิถีโลก ไม่พ้นโลกีย์ วนเวียนอยู่ในโลกีย์ แม้จะมีธรรมะก็เป็นธรรมะในขั้นโลกีย์ เป็นคนดีแบบที่โลกเขาสมมุติเอา แม้จะได้รับการเชิดชูเป็นศาสดา ก็เป็นเพียงศาสดาโลกีย์ ทำความดีในวิสัยของโลกีย์ วนอยู่เพียงเท่านั้น

วิถีโลกีย์คือความวน ไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็วนลงไปต่ำสุด ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นความวนได้เพราะมีกิเลสเป็นเหตุ ไม่ว่าจะจนหรือรวย จะฉลาดหรือโง่ จะทำดีหรือทำชั่ว ถ้าไม่มีมิตรดี ก็ไม่มีวันที่จะปฏิบัติสู่การหลุดพ้นจากความเวียนวนนี้ไปได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ก่อนจะเห็นมรรคได้นั้น ต้องมีมิตรดีเป็นอันดับแรก ถ้าเปรียบมรรคดังดวงตะวัน มิตรดีก็เป็นดังแสงแรกที่จะเห็นเมื่อตะวันนั้นกำลังจะโผล่ขึ้นมา นั่นหมายถึงว่า ถ้าไม่มีมิตรดี ก็ไม่ต้องปฏิบัติมรรคเลย เพราะผิดแน่นอน ปฏิบัติไปก็ผิด เรียนไปก็ผิด ทำอะไรก็ผิด

ย้ำลงไปอีกในอวิชชาสูตร ท่านได้กล่าวว่าคนจะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ต้องเริ่มต้นจากการคบหาสัตบุรุษหรือมิตรดีที่พาเจริญ มิตรดีในที่นี้คือผู้ที่รู้ธรรม รู้ทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ แล้วเรียนรู้จากสัตบุรุษเท่านั้นจึงจะพ้นทุกข์ เพราะความรู้ของศาสนาพุทธนั้นคิดเอาเอง อ่านเอาเอง ปฏิบัติเอาเองไม่ได้ ถึงจะ คิด อ่าน หรือขยันปฏิบัติแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีภูมิเก่าก็จะมีแต่หลงเท่านั้น บางครั้งหลงไปด้วยว่าตนมีภูมิ หลงซ้ำซ้อนกันไปอีกหลายชั้น หลงถึงขั้นสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ก็มี

สรุปคือ ถ้าชีวิตไม่เจอมิตรดี ไปเจอมิตรลวง หรือเจอกับมิตรหลง นอกจากจะไม่มีวันพ้นทุกข์แล้ว ยังเพิ่มความหลงในโลกีย์ซ้อนเข้าไปอีก สร้างทุกข์หนักเข้าไปอีก ในทางกลับกันถ้าเจอมิตรดี หมั่นเข้าหา สนทนา ศึกษาและปฏิบัติตาม ก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยลำดับ

ข้อสังเกตในเบื้องต้นว่าคนไหนมิตรดี คนไหนที่ควรคบ ก็ให้ดูที่ศีล พระพุทธเจ้าตรัสศีลเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมจะไม่ทิ้งศีล อาศัยศีลเป็นเครื่องนำความเจริญ ไม่ถือศีลอย่างยึดมั่นถือมั่น แต่ก็จะไม่ถือศีลอย่างลูบๆคลำๆ เหยาะแหยะ ทำทีเล่นทีจริง โดยจะสามารถเข้าถึงศีลได้ตามบารมี ๕ ๘ ๑๐ จนถึง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของพุทธ

– – – – – – – – – – – – – – –

1.10.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มีฉัน มีเธอ มีกันและกัน ตลอดไป

September 6, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,831 views 0

มีฉัน มีเธอ มีกันและกัน ตลอดไป