Tag: คู่กรรม
การตั้งจิตเป็นโสด เกิดมาชาติใดก็ขออย่าได้มีคู่ครองอีกเลย ทำได้จริงไหม? ทำอย่างไร?
การตั้งจิตเป็นโสด เกิดมาชาติใดก็ขออย่าได้มีคู่ครองอีกเลย ทำได้จริงไหม? ทำอย่างไร?
มีคำถามเข้ามาว่า “ตั้งอธิฐานจิตอย่างไรให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นโสดหมดพันธะเรื่องคู่ครอง” ก็จะตอบกันไปตามที่รู้ ซึ่งการตั้งจิตเป็นโสดนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ เข้าถึงผลได้ คือทำจิตให้เป็นโสดได้ แต่จะข้ามภพข้ามชาติหรือไม่อย่างไรก็ลองอ่านกันต่อดู
การตั้งจิตเป็นโสด
ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า และ “ผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต” ก็เป็นคำยืนยันในทิศทางปฏิบัติที่เจริญ ดังนั้น การตั้งจิตตั้งใจว่าจะอยู่เป็นโสด ก็ถือเป็นความเจริญทางหนึ่งที่ผู้ศรัทธาพึงปฏิบัติ การตั้งจิตเป็นโสดนั้น คือการตั้งใจไว้ว่าตนเองจะประพฤติกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในธรรมที่พาให้เป็นโสด ไม่ส่งเสริมในสิ่งใด ๆ ที่จะพาให้มีคู่ ดังนั้น คนที่ตั้งจิตเป็นโสดจะต้องคอยตรวจสอบกายวาจาใจของตนว่ากิจกรรมเหล่านั้น เป็นไปเพื่อส่งเสริมความเป็นโสด หรือเพิ่มความหลงมัวเมาในความเป็นคู่
การจะอยู่เป็นโสดได้นั้น จำเป็นต้องมีตัวอย่างที่ดี มีคำสอนที่เป็นหลักชัย เพราะตัวอย่างที่ดีจะเป็นกำลังใจและคำสอนที่ดีจะเป็นปัญญาพาให้ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ ฝ่าฟันผ่านการหลอกหลอนของกิเลสได้
เมื่อคนตั้งใจจะเป็นโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นโสดได้อย่างที่ใจตั้งไว้ จะมีมารเข้ามาเพื่อทำให้ใจนั้นล้มเลิก ล้มเหลว มารนั้นคือกิเลสของเราเอง แต่จะผ่านเข้ามาผ่านการกระทบสิ่งต่าง ๆ ในโลก เช่นเจอคนที่ชอบ คนที่ชอบเขามาคุยด้วย คนที่ชอบมาบอกรัก คนที่ชอบมาขอคบหา คนที่ชอบมาขอแต่งงาน ฯลฯ อะไรทำนองนี้ ก็เป็นโจทย์ที่จะคอยผลักให้ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ ล้มเลิกที่จะพัฒนาตนให้ก้าวข้ามความอยากมีคู่ได้
การตั้งใจประพฤติปฏิบัติตนเป็นโสดในคนโสดนั้น ก็ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ คือตั้งใจ และหาครูบาอาจารย์ที่จะคอยช่วยแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนในประเด็นที่ได้ประมาทไป หาหมู่มิตรดีที่มีพลังในการช่วยในการต่อสู้กับความอยากมีคู่ ต้องสร้างองค์ประกอบที่ตนเองจะสามารถประสบความสำเร็จได้ง่าย เหมือนนักรบที่รู้จักชัยภูมิในสงคราม เมื่อเขารู้ว่าควรจะตั้งทัพตรงไหน บุกจากตรงไหน ป้องกันตรงไหน ก็จะชนะศึกนั้นได้ไม่ยาก ก็เหมือนกับคนที่ตั้งใจจะเป็นโสด ก็ต้องรู้จักหลักว่าควรจะรบและรับอย่างไร ควรจะมีพันธมิตรเป็นใคร ควรจะอยู่ห่างใคร จึงจะประสบผลสำเร็จ
ทั้งนี้การประพฤติตนให้อยู่เป็นโสดนั้น จะสอดคล้องกับการถือศีล 8 ดังนั้น ถ้าจะให้ปฏิบัติไม่ยากไม่ลำบากนัก ก็ควรจะปฏิบัติศีล 5 ให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่ผิดศีลมาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีกำลังไปสู้กับมารที่แกร่งกว่า การถือปฏิบัติศีล 8 ไปพร้อม ๆ กัน จะช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้กับกิเลสได้มากขึ้น ยิ่งทำศีล 8 ได้ดีเท่าไหร่ อัตราการรอดพ้นก็สูงขึ้น
การตั้งจิตเป็นโสดในคนคู่
การปฏิบัติตนเป็นโสดในคนที่มีคู่ครองจะยากและซับซ้อนกว่าคนโสด และจะยากขึ้นไปอีกเมื่อมีลูก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทั้งนี้การปฏิบัติตนเป็นโสดนั้นในสภาพคนคู่นั้น คือการปฏิบัติที่จิต ทำในใจตนเอง เพราะการดูแลคู่ครองและการดูแลลูกนั้น ก็ยังเป็นหน้าที่ ยังเป็นมงคลชีวิตที่ควรกระทำอยู่ดี แล้วจะทำอย่างไรที่ต้องแบกหน้าที่ไปด้วย ตั้งจิตเป็นโสดไปด้วย?
โจทย์ ในการตั้งจิตเป็นโสดของคนคู่จะมีมากขึ้นตามตัวแปรที่เพิ่มขึ้น มันจะผูกจะพันวกวนไปมาตามปริมาณของตัวแปรมีมากนั้น ๆ ยิ่งมีคนมาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งยุ่งยากมากเท่านั้น คนมีคู่ที่จะตั้งจิตเป็นโสด จึงต้องจัดการกิเลสหลาย ๆ เรื่องที่เข้ามาทำให้จิตใจขุ่นมัว เพื่อที่จะมุ่งเป้าให้ชัดในการจะกำจัดกับความหลงในการมีคู่
เหตุของการมีคู่ คือกิเลสที่หลงสุขไปกับการมีคู่ เป็นไปได้ทั้งสองทางคือฝั่งกามและอัตตา กามคือการเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อัตตาคือความอยากได้สมดั่งใจตน ได้สมตามที่ตนเชื่อถือ เช่น เชื่อว่ามีความรักแล้วชีวิตจะสมบูรณ์แบบ ฯลฯ
ความหลงสุขในกามและอัตตานี่เอง ที่ดึงคนให้หลงเข้าไปเสพ ตรึงคนให้วนเวียนอยู่ ออกไม่ได้ เราจะต้องทำความชัดเจนในใจในแต่ละประเด็นว่าเราหลงติดหลงยึดอะไร ถึงได้ยอมเป็นทุกข์อยู่จนถึงทุกวันนี้ ทำไมถึงได้เลือกเขามาเป็นคู่ ทำไมถึงได้สร้างลูกคนนี้คนนั้นขึ้นมา แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นมามันมีเหตุ เราต้องดับเหตุตัวนั้น อันนี้เรียกว่าส่วนอดีต เป็นสิ่งที่ต้องชำระ เพราะหากระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วยังมีอาการชอบหรือชัง ก็ยังเรียกว่าผูกพัน ไม่พ้นจากความเป็นคู่ไปได้ เรียกว่าการตรวจเวทนาในอดีต หนึ่งในองค์ประกอบของเวทนา 108 ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะต้องทำเมื่อจะปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์
ส่วนของปัจจุบัน ก็ต้องตรวจใจว่าในแต่ละกรรมกิริยา แต่ละการกระทบที่เกิดขึ้น ที่เขาพูด ที่เขาทำ แล้วกระทบใจเรา เรายังหลงชอบหลงชังอยู่ไหม ยังปลื้มใจ ดีใจ ภูมิใจอยู่ไหม หรือไปทางชิงชังรังเกียจ ทั้งสองทางเรียกว่าทางโต่งสองด้านของจิตที่ไม่พาพ้นทุกข์ เมื่อเรากระทบกับเหตุการณ์ เราก็ต้องจับอาการ จับเวทนา ว่ามันไปทางทิศไหน ชอบหรือชัง ทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ และตรวจต่อไปว่าสุขทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากเราหลงในอะไร เพราะความจริงคือมันไม่มีสุขและไม่มีทุกข์ด้วย (ในกรณีเป็นการพูดกระทบ มอง แสดงอาการ ฯลฯ ไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย หรือการเยียวยารักษา) แต่เป็นเราเองที่เติมสุขทุกข์เหล่านั้น ลวงจิตของเราเอง เราก็ตรวจหาความหลงของเราที่ทำให้เกิดอาการของจิตเหล่านั้น แล้วใช้ธรรมะที่ได้เรียนมาจากครูบาอาจารย์ หรือถ้าไม่มาไม่ไปก็ไปสอบถามปรึกษาอาจารย์หรือมิตรดี ก็จะทำให้ผ่านพ้นได้เร็วขึ้น
เมื่อจิตกำจัดความหลงในคู่ครองได้โดยลำดับ จะรู้ตัวว่าเริ่มพ้นจากการที่ต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่ คือไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เราก็จะไม่หลงชอบหลงชัง หลงสุขหลงทุกข์ตามเขา เราก็ปกติของเรา นิ่งเหมือนทะเลสาบไร้ลม ไม่มีแม้คลื่นใด ๆ ที่เกิดการกระเพื่อมหรือขยับแม้เล็กแม้น้อย อันนี้คือเรามีอิสระในจิตเราแล้ว เราไม่ถูกครอบงำโดยเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะพบว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเขาอยู่ ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเราไม่ได้พึ่งพาเขา ไม่ได้หลงเขา ไม่ได้เอาใจไปฝากไว้ที่เขา แต่เอาไว้ที่ตัวเอง ไว้กับตัวเอง เป็นความโสดในจิต
การตั้งใจเป็นโสดก็คือทำใจให้เป็นโสด ไม่หลง ไม่พึ่งพิง ไม่ตกอยู่ในอำนาจของเขา เป็นอิสระ ถ้าทำได้แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเคย และการทำหน้าที่คู่และผู้ปกครองจะดีขึ้น เพราะไม่มีอคติลำเอียง ชีวิตคู่จะเป็นอยู่ผาสุกขึ้นเพราะเราจะไม่ไปเอาอะไรจากเขา ที่เหลือก็ทำดีให้มาก ๆ เพิ่มศีลขึ้น ขยันฟังธรรม ทำความเข้าใจเรื่องกรรมว่าไปผูกเขามาแล้วก็ต้องรับกรรม ถึงเวลาถ้าเขาจะปล่อยเรา เดี๋ยวก็จะมีสัญญาณเอง เช่น เขามีคนอื่น, เขาอยากเลิกเอง, เขาตาย … เราก็แค่รับความเป็นจริงในเหตุการณ์นั้นตามจริง คือเขาจะไปเราก็ปล่อย คนใจเป็นโสดนี่เขาไม่ยึดคู่อยู่แล้ว พร้อมวาง พร้อมเลิกเสมอ แต่ไม่โลภมากที่จะรีบเลิก แล้วก็ไม่กลัวจนเกินไปจนไปเสริมกิเลสคู่ พอปล่อยเสร็จเราก็เป็นโสดแล้ว ก็อยู่ไป ทำดีไปตามภูมิ ไม่เสียเวลาต้องแสวงหาใหม่ เพราะถ้าจิตเป็นโสดจะไม่แสวงหาใคร
คนที่มีลูก ก็ต้องพิจารณาเรื่องลูกด้วย ให้ละหน่ายคลายความหลงรักลูก เพราะลูกนี่แหละ คืออีกหนึ่งเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอยากมีคู่ เพราะอยากมีลูกเลยต้องหาคู่ เพราะหลงว่าลูกจะดี ต้องมีคู่ดี เรื่องมันเลยยุ่ง เพราะจริง ๆ ไม่ได้ติดคู่ครองมาก แต่ติดลูก เวลาล้างกิเลสไปมันจะติด ค้างแบบงง ๆ เหมือนจะไม่ติดไม่ชอบไม่ชังคู่ แต่จะไม่ผ่องใส จะต้องล้างความหลงในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทำเปื้อน(หลง)มาเท่าไหร่ ต้องล้างให้สะอาดทั้งหมดเท่านั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้
การตั้งจิตเป็นโสดข้ามภพข้ามชาติ
การตั้งจิตเป็นโสดในชาติหน้านั้นเป็นการตั้งความหวังในเรื่องของอนาคต แต่ก็สามารถทำในชาตินี้ได้ ก็คือการตรวจใจว่าถ้าในอนาคต มีคนเข้ามาแบบนั้นแบบนี้ ในเงื่อนไขนั่นนู่นนี่ เราจะเผลอใจไปไหม ก็ตรวจตนเองไป เอาเหตุการณ์ข้างนอกที่มีนั่นแหละ มาตรวจว่าเรายังมีจิตยินดีในการมีคู่ของคนนั้นคนนี้อยู่รึเปล่า ดูหนังดูละครแล้วยังเคลิ้มไปกับเขารึเปล่า การตรวจเวทนาในอนาคตคือตรวจสิ่งที่ยังไม่เกิดจริง โดยใช้จิตปัจจุบันเป็นตัวอ้างอิง
เช่นบางคนแค่นึกถึงว่าจะมีคนแบบนั้นแบบนี้เข้ามา ก็เป็นสุขแล้ว แค่คิดก็เป็นสุข อันนี้เป็นลักษณะของการฝันไปในอนาคตแต่เป็นสุขในปัจจุบัน การตรวจกิเลสก็เช่นกัน คือใช้องค์ประกอบที่มีแนวโน้มจะเกิดในอนาคตมาตรวจความหวั่นไหวในปัจจุบัน แล้วขยันตรวจซ้ำกับเหตุการณ์ในอดีต ล้างความหลงติดหลงยึดที่พาให้เกิดชอบหรือชังไปตามลำดับ(มรรค) และยืนยัน “ผล” ด้วยความจริงที่ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่จะล่อลวงไปให้หลงมีคู่ใด ๆ ในปัจจุบัน
ตรวจเวทนา คือความชอบความชัง ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต นี้วนไปวนมา จนมั่นใจแล้วไม่ว่าจะมาแบบไหนก็ไม่หวั่นไหว จิตไม่ไหลไปตามกิเลส ไม่เคลิ้มไปตามเรื่องชวนฝัน ก็เป็นใช้ได้ ยิ่งมีตัวยืนยันในปัจจุบันเลยจะยิ่งชัดในใจตนเองว่า “ไม่แพ้”
ถ้าใจตั้งมั่นแม้มารยกทัพมากระทืบ ใจก็ยังไม่หวั่นไหว ก็ยืนยันได้เลยว่าอนาคตไม่แพ้แน่นอน นั่นหมายความว่าสิ่งนี้แหละ จะติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ แต่….
ถึงแม้ว่าเราจะทำจิตให้เป็นโสดได้ดังนี้แล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะการันตีว่าเกิดชาติหน้าเราจะไม่หลงไปมีคู่ ขนาดพระพุทธเจ้าที่มีบุญบารมีสูงสุดในโลก ยังต้องไปมีคู่ ข้อนั้นเพราะอะไร นั่นก็เพราะแรงกรรมมันมากกว่า ท่านมีกรรมที่ต้องรับ เราเองก็เช่นกัน ล่อหลอกมอมเมาคู่มาเท่าไหร่ เป็นตัวอย่างให้คนหลงไปมีคู่มาเท่าไหร่ เคยเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนยินดีในการมีคู่มีครอบครัวมาเท่าไหร่ เราต้องรับกรรมนั้นแน่ ๆ แต่…
ถึงแม้เราจะต้องรับกรรมเหล่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ร้ายขนาดที่จะต้องหลงมัวเมาไปตลอดชาติ กรรมนั้นรับแล้วก็หมดไปเป็นส่วน ๆ แม้กรรมชั่วเราทำมา แต่กรรมดีเราก็ทำมาเช่นกัน และถ้าทำกรรมดีขนาดพ้นจากความหลงในการมีคู่ด้วย ดังเช่นพระพุทธเจ้า เวลาจะออกจากครอบครัว จะมีพลังในการออกได้ทันที เช่นเดียวกับพระมหากัสสัสสปะ พอคิดจะเลิก ก็เลิกได้ทันที จิตจะไม่หวั่นไหว และคู่ครองจะรั้งไว้ไม่ได้ พอกรรมหมดอำนาจ วิบากคลายก็สามารถหลุดออกมาได้ทันที จะมีองค์ประกอบที่จะไม่มีใครขัดหรือรั้งไว้ได้
หลุดพ้นในแบบที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะคนทั่วไปที่เขาไม่เคยทำมา ไม่เคยสะสมกรรมดีระดับหลุดพ้นคู่มา แม้เขาพบธรรมะ แต่ใจเขาจะไม่อยากออก มันจะออกยาก จะผูกพัน หรือไม่ก็คู่รั้งไว้ ผูกไว้ มันจะสะบัดออกยาก แม้อยากออกก็ไม่มีปัญญาจะออก ไม่ก็เวียนกลับไปหลงมัวเมาเหมือนเดิม อันนี้คือตัวอย่างของความต่างระหว่างผู้ที่สะสมภูมิธรรมในการหลุดพ้นจากคู่มาข้ามภพข้ามชาติกับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาเลย ให้สังเกตตอนตั้งใจปฏิบัติจะมีความยากง่ายที่ต่างกัน บางคนแค่คิดก็ทำได้เลย บางคนนี่ฟังพระพุทธเจ้าก็แล้ว ฟังอาจารย์ก็แล้ว ฟังเพื่อนก็แล้ว นั่งสมาธิฝึกสงบใจก็แล้ว ตั้งสติหลุดฟุ้งซ่านก็แล้ว ก็ยังอยากไปมีคู่อยู่นั่นแหละ มันก็จะมีวิบากกรรมต่าง ๆ กันไปตามที่ทำมา
สุดท้ายคนที่มี “ทุนเก่า” หรือ “บุญเก่า” ที่ประพฤติตนเป็นโสดมาข้ามภพข้ามชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าตนทำมามาก ปฏิบัติมามาก ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะบังเอิญ หรือเพราะไม่มีคนมาจีบ ฯลฯ แต่ได้มาเพราะตั้งใจปฏิบัติสะสมผลข้ามภพข้ามชาติ โดยสภาพก็จะมีทั้งกำลังจิตที่เข็มแข็งและปัญญาติดตัวมาด้วย
นี้คือสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของการตั้งจิตเป็นโสดข้ามภพข้ามชาติ เหมือนกับคนรวย จะไปที่ไหน ๆ ก็เบิกเงินใช้ได้ไม่ยาก คนที่ตั้งใจปฏิบัติก็เช่นกัน ถ้าทำมามาก ไปเกิดที่ไหน ๆ ก็จะไม่เดือดร้อนมาก ซึ่งการจะสะสมผลเหล่านี้ ก็จะทำกันที่ “ปัจจุบัน” เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ตั้งใจจะเป็นโสดทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ก็จะต้องทำปัจจุบันให้จิตเป็นโสดมั่นคงยั่นยืนถาวรไม่เวียนกลับ ฯลฯ ให้ได้ แล้วสั่งสมกุศลด้วยการบำเพ็ญ ทำตนเป็นตัวอย่าง เผยแพร่ธรรมที่ตนมีจริง ก็จะเป็นทุน (กุศลกรรม) ที่จะส่งผลให้ได้อยู่ผาสุกปลอดภัยในอนาคต
6.3.2563่
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
คู่กรรม (สอบถาม)
ผมเคยพิมพ์เรื่องกรรมกับเรื่องคู่ไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความที่เราทนความอยากที่จะมีคู่ไม่ได้นั้นเป็นเพราะผลกรรมเก่าทุกคน เพราะจริงๆ มันมีกรรมใหม่ร่วมด้วย
ถ้ายังไม่เคยได้รับรู้ธรรมะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีคู่นั้นเป็นเหมือนบ่วง ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเป็นทางที่ตรงกับข้ามกับการเป็นบัณฑิต(ผู้รู้ธรรม) แล้วไปมีคู่นั้น ก็เรียกว่าโดนโลกมอมเมา เป็นเพราะแรงกรรมส่วนหนึ่ง แรงกิเลสในขณะนั้นส่วนหนึ่ง หรือจะเรียกว่าผลของกรรมมันบังปัญญาที่เคยมี ให้ปัญญานั้นต่ำกว่ากิเลสก็เลยไปมีคู่
แต่คนที่มาศึกษาธรรมะแล้ว ได้มารู้โทษของการมีคู่แล้ว ได้รู้แล้วว่าทางหลุดพ้นจริงๆ สุดท้ายทุกคนก็จะเป็นโสด ฯลฯ คือรู้แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วดันไปเลือกมีคู่ อันนี้จะโมเมอ้างกรรมเก่าไม่ได้แล้วครับ เพราะคุณมีโอกาสตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเอาธรรมะหรือเอากิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทำกรรมของแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสเท่านั้นแหละ
ถ้าคนมีของเก่ามามาก แล้วได้รู้ธรรมจะหลุดได้ง่ายครับ แต่ถ้าไม่มีนี่อาจจะจมยาวเลย มีคู่ มีลูก มีหลานอะไรกันไปตามเรื่องตามราว
ประเด็นนี้มีใครสนใจจะเสริม หรือสอบถามอะไรเพิ่มเติมไหมครับ? คิดว่าวันหนึ่งจะเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมาใหม่ครับ
การขึ้นคานอย่างเป็นสุข
ดาวน์โหลดภาพขนาดเต็ม | Download full size image
การขึ้นคานอย่างเป็นสุข
สรุปปัญหาวุ่นๆของคนใกล้คาน เพื่อนำไปสู่วิธีขึ้นคานอย่างเป็นสุขด้วยกันทั้งหมด 9 ข้อ
1). เฝ้าคานอย่างว้าเหว่: คนโสดที่เต็มไปด้วยความอยากมีคู่ จะรู้สึกว่าชีวิตเหมือนขาดอะไรสักอย่างไป ความรู้สึกขาดนั้นเองจึงนำมาซึ่งการแสวงหา
2). ใครหนอจะมาเป็นคู่: มีความต้องการหาใครสักคนมาเติมเต็มความพร่อง ก็จะเริ่มมองหาคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาเติมชีวิตให้เต็มได้
3). ใครสักคนจะพาลงคาน: ในจำนวนผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามา น้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติที่เราจะยอมให้เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานะของเรา คุณสมบัติที่ว่านั้นคือความสามารถของเขาที่จะสนองกิเลสของเราได้นั่นเอง
4). หนีคานไปหาคู่: เมื่อเจอกับคนที่ว่าใช่แล้ว ก็มักจะยินดีสละคานซึ่งเป็นที่มั่นแห่งความสุขและสงบที่สุดไป เพราะเข้าใจว่าการขึ้นคานนั้นทุกข์ การลงจากคานนั้นสุข จึงได้ทิ้งคานไปแสวงหาความสุขเอาข้างหน้า
5). เข้าง่ายออกยาก: ชีวิตคู่นั้นมักจะมีรสสุขโลกีย์มาเป็นตัวล่อ แต่พอนานวันไปสุขนั้นกลับลดลง เสื่อมลงหรือไม่มีอีกเลย ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นสิบๆปีก็ได้ และถึงวันนั้นก็ไม่ง่ายแล้วที่จะหลุดออกมาได้ เพราะได้หลงเสพติดรสสุขในกิเลสหลายอย่างไปแล้ว
6). คู่กัด คู่กรรม: พออยู่กับคู่ไปสักพักก็จะเริ่มเอาแต่ใจกัน แม้แรกๆจะยอมกันได้ แต่หลังๆก็เริ่มจะไม่ยอมกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มีปากเสียงกันบ้าง ลงไม้ลงมือกันบ้าง กลายเป็นคู่กัดที่รักกันไปกัดกันไป สร้างหนี้บาปหนี้กรรมให้ต้องมารับวิบากบาปที่พาให้ชีวิตเป็นทุกข์กันอีกมากมาย
7).หนีคนมาหาคาน: พอทุกข์จากเรื่องคู่จนทนไม่ไหวก็จะหนีคน กลับไปหาคาน เกลียดคน รักคาน กลายเป็นคนเกลียดความรักได้ ในขั้นตอนนี้มีโอกาสที่จะวนกลับไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ หรือพัฒนาต่อไปที่ข้อแปดก็ได้ ถ้ายังมีความอยากมีคู่อยู่ก็จะไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ แต่ถ้าเริ่มรู้สึกเอือมระอากับ “ความอยากมีคู่” แล้วก็อ่านกันต่อไป
8).ยกบันไดให้ไกลคาน: ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดเพราะความอยากมีคู่ การที่เรายังมีบันไดแห่งความหวังว่าใครสักคนหนึ่งจะเข้ามาในชีวิต เพื่อให้เราได้เสพสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเขาอยู่นั้น คือความอยากที่เป็นเชื้อทุกข์นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นโทษภัยของความอยากแล้วจึงควรศึกษาเรียนรู้เพื่อหาทางทำลายความอยากนั้นๆ
9).ขึ้นคานอย่างเป็นสุข: เมื่อทำลายความอยากนั้นได้ ก็ไม่ต้องรู้สึกว้าเหว่, เปลี่ยวเหงา, ซึมเศร้าเมื่อต้องอยู่ผู้เดียวบนคาน ไม่รู้สึกทุกข์ใดๆแม้จะต้องใช้ชีวิตอย่างคนโสด แต่กลับเห็นว่าความโสดนี้เองเป็นสุขแท้ เป็นความหลุดพ้นจากความอยากที่คอยผลักดันให้เราสร้างทุกข์ที่มากมายขึ้นมาในชีวิต เมื่อเห็นคุณค่าของความโสดนี้เอง ก็จะเป็นผู้ที่ขึ้นคานอย่างเป็นสุข เกาะคานไว้เป็นที่พึ่งจนวันสุดท้ายของชีวิต
– – – – – – – – – – – – – – –
15.5.2558