Tag: ความใคร่

มนต์รักวาเลนไทน์

February 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,734 views 0

มนต์รักวาเลนไทน์

มนต์รักวาเลนไทน์

…วันแห่งความคาดหวัง ที่ยากจะหยุดยั้งพลังของกิเลส

วันพิเศษที่ใครหลายคนเฝ้ารอคอย วันที่ถูกสมมุติว่าเป็นวันแห่งความรัก ซึ่งวันวาเลนไทน์นี้จะมีความเป็นมาอย่างไรนั้น ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการให้ความหมายของคนในปัจจุบัน

วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความคาดหวัง เป็นวันที่พลังกิเลสของคนมีคู่หรือคนอยากมีคู่จะพุ่งพล่านเป็นพิเศษ คนที่ให้ความสำคัญกับวันนี้ต่างก็มีความกระหายใคร่อยากจะได้ในสิ่งที่จะมาบำเรอกิเลสของตน ซึ่งในสากลของประเทศที่เราอยู่นี้ก็มักจะเป็นฝ่ายหญิงที่จะถูกสนองก่อนและสนองกันและกันหลังจากนั้นอีกที

สิ่งที่ได้รับอาจจะเป็นวัตถุสิ่งของเช่น ของขวัญชิ้นใหญ่ กระเป๋าใบงาม ดอกไม้ช่อโต ดินเนอร์สุดหรู ซึ่งเธออาจจะอยากได้เป็นเชิงสัญลักษณ์หรืออยากได้ของชิ้นนั้นจริงๆก็ได้ หรือบางคนที่ต้องการมากกว่าวัตถุก็จะเสพทางนามธรรมเช่น อยากได้ความรัก การเอาใจใส่ดูแล คำมั่นสัญญา คำหวาน คำชื่นชม การขอเป็นแฟน การขอแต่งงาน เป็นต้น

สำหรับมุมของผู้ชายนั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก หากเป็นคู่ที่ยังคบกันไม่ลึกซึ้งก็หวังว่าจะลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เป้าหมายที่เห็นได้โดยมากก็คือการสมสู่ สรุปแล้วที่ผู้ชายปรนเปรอกิเลสผู้หญิงก็หวังจะได้มีเซ็กส์นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายทุกคนจะใจร้อนเสมอไป ซึ่งโดยค่ารวมๆแล้ววันวาเลนไทน์นี่ก็เหมือนวันสมสู่แห่งชาติดีๆนั่นเอง

บำเรอกิเลส

ในวันที่พลังของกิเลสพุ่งพล่าน สังคมสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปตามโลกต่างก็เกื้อหนุนพากันกระตุ้นให้หลงระเริง แต่ที่สำคัญคือตัวเราเองนั้นหลงไปตามกิเลส เพราะปกติเราก็มีกิเลส คู่ของเราก็มีกิเลส พอทั้งตัวเองและคู่โดนกระตุ้นกิเลส จากสิ่งสมมุติที่เรียกว่า “วันแห่งความรัก” ก็เลยไปกันใหญ่

เมื่อความอยากได้อยากเสพทะลุเพดานศีลธรรม ความโสด พรหมจรรย์ หรือของสงวน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเก็บไว้เสมอไป เพราะอยากเสพมากเสียจนยอมแลกทุกอย่าง ดังที่เขาว่าเป็น “วันเสียตัว

จริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหรอก เพราะมีแต่ได้ทั้งคู่ ได้ทั้งบาป ทั้งสุขลวง เพราะได้เสพสมใจตามกิเลสทั้งคู่ แม้ว่าฝ่ายหญิงจะไม่ยินดีนัก แต่เพื่อแลกมาด้วยคำว่ารักและคำมั่นสัญญาหรือสิ่งที่เธอต้องการก็มักจะยินยอม ส่วนฝ่ายชายก็ไม่ซับซ้อนอะไร แค่เพียงเกี้ยวพาราสีให้ฝ่ายหญิงเชื่อใจ เมื่อเธอเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า “ชายคนนี้นี่แหละคู่ของฉัน คนนี้นี่แหละคือคนที่สนองกิเลสฉันได้ คนนี้นี่แหละที่จะรักและดูแลฉันตลอดไป” ฝ่ายชายผู้ใจเย็นก็จึงค่อยๆลงมือละเลงไปตามความอยากของตัวเองเพื่อบำเรอกิเลสของเธอทันที

ความทรงจำดีๆ

หลายคนอาจจะคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนี้สร้างความทรงจำดีๆไว้ก่อน หาความสุขไว้ก่อน อนาคตไม่แน่นอนมีความสุขกับปัจจุบันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?

ถ้าเราจะคิดแบบนั้นมันก็คิดได้ ทำได้ แต่มันอยู่ที่ว่าสิ่งที่ทำนั้นอยู่บนพื้นฐานของกุศลหรืออกุศล ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยกิเลส นั่นหมายถึงเต็มไปด้วยบาปและอกุศล ความทรงจำนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือ?จะลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพ 4 ข้อ ดังนี้

1).ถ้าเรามีความทรงจำดีๆกับคู่รัก แล้วเขาได้จากไปก่อนเวลาอันสมควร เราก็ต้องมาเสียดาย เสียใจที่คนดีๆจากไป เป็นทุกข์เพราะมีแต่ความทรงจำดีๆที่เต็มไปด้วยการบำรุงบำเรอกิเลสมาหลอกหลอนอย่างไม่จบไม่สิ้น แถมยังสร้างกำแพงอัตตาไว้ขังตัวเองกับความทรงจำดีๆเหล่านั้นอีกด้วย

ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากภาพคนแก่ที่แม้คู่ตายจากไปแล้วก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม บูชาความรัก จนสามารถผลักดันให้เดินวันละหลายกิโลเมตร ไปสีซอหน้าหลุมศพคู่ครอง นั่นเพราะมีความทรงจำดีๆจนยึดมั่นถือมั่นแล้วเสพสุขกับสิ่งเหล่านั้นไปแม้สิ่งนั้นจะสลายไปแล้วก็ตาม ติดภพอยู่แบบนั้น ติดอยู่ในความสุขที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแบบนั้น จนไปไหนไม่ได้

2). ถ้าเรามีความทรงจำดีๆแต่วันหนึ่งเขาทิ้งเราไปมีคนใหม่ หรือเขาทำให้เราไม่สมความคาดหวังจนต้องเลิกรากัน ความทรงจำนั้นเองก็จะตามมาหลอกหลอน เหมือนแผลที่ไม่มีวันหาย คิดถึงทีไรก็ยังเจ็บ ยังทุกข์ ยังคร่ำครวญอยู่เรื่อยไป จมกับทุกข์แบบนี้มันดีหรืออย่างไร

ซ้ำร้ายความผิดหวังยังไปเพิ่มพลังของโทสะในใจ จนเกิดอาการพยาบาท ผูกโกรธ จองเวรจองกรรม ไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากอยู่ร่วมโลก กลายเป็นเพิ่มกิเลสในตัวเองเข้าไปอีก สร้างกำแพงอัตตา สร้างมาตรฐานคู่ครองขึ้นมาใหม่ว่าคนต่อไปต้องดีกว่านี้ ต้องบำรุงบำเรอกิเลสฉันได้มากกว่านี้ และยังต้องมั่นคง ซื่อสัตย์ ให้คุณค่าแก่ฉันมากกว่านี้ด้วย ก็สร้างภพที่จะเสพกิเลสมากขึ้นเข้าไปอีก

3. ถ้าเรามีความทรงจำดีๆ ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะจบอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ได้มีทั้งรักทั้งชัง ไม่ดูดไม่ผลัก ไม่รักไม่เกลียด ล้างกิเลสเหตุแห่งความอยากมีคู่ได้สำเร็จ สุดท้ายความทรงจำดีๆก็จะกลายเป็นแค่เรื่องน่าอายที่ไม่น่าเปิดเผย เพราะมีแต่เรื่องของกิเลส พูดไปก็ไม่งาม เล่าไปก็มีแต่อกุศล กลายเป็นความทรงจำที่เปื้อนเปรอะ ไม่สวยงาม ใช้ไม่ได้ ทำได้เพียงศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับลีลาของกิเลสตัวเองได้เท่านั้นเอง

4. ถ้าเราหวังจะมีความทรงจำดีๆ แต่สุดท้ายมันไม่ดีดังใจหวัง นี่คือความจริงที่มักจะเกิดขึ้น เรามักจะไม่สมใจและผิดหวัง แม้ท่าทีตอนแรกจะตั้งต้นมาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในตอนจบจะได้รับสิ่งที่หวัง เราหวังว่าวันวาเลนไทน์นี้จะเป็นวันที่สร้างความทรงจำที่ดีแต่กลับมีแต่สิ่งที่ไม่สมใจหรือเลวร้ายเกิดขึ้นในวันนั้น คนที่คาดหวังก็เลยอกหักอกพังกันหมด

เช่น นัดไว้อย่างดิบดี สุดท้ายก็เลื่อนนัด , ไม่ได้นัดกันด้วยเหตุบางอย่าง แต่สุดท้ายก็รู้ข่าวว่าแฟนอยู่กับคนอื่นหรือไปกับเพื่อน , นัดเจอกันสุดท้ายก็ทะเลาะกัน ,หรือกระทั่งคิดจะสมสู่กันแต่สุดท้ายกลับไม่เป็นดังใจหวัง หรือกระทั่งเป็นเหตุให้ตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจและเหตุจากปัจจัยภายนอกอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ

….ดังจะเห็นได้ว่า การแสวงหาความทรงจำที่จะเสพสมใจในกิเลสตามแรงผลักดันของกิเลส ไม่มีผลดีอะไรเลย ไม่มีดีทั้งต้น กลาง ปลาย ไม่มีสาระ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย มีแต่ความสุขลวงเพื่อให้หลงเสพไปเท่านั้น กิเลสมันลวงให้เราเล่นตามบท ให้เราหมกมุ่นกับวันวาเลนไทน์ ให้เราจริงจังกับสิ่งที่เรียกว่าความรักที่เติบโตบนความใคร่และความอยากที่หลากหลาย ให้เราทำบาป ทำชั่ว สะสมทุกข์เป็นสมบัติของเราไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงเพื่อแลกกับสุขจากเสพเพียงชั่วครู่เท่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

6.2.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง

January 31, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,185 views 0

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ... หรือฉันรักตัวเอง

ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง

…ความรักที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร?

ในบทความก่อนหน้านี้ได้ขยายเหตุว่าทำไมฉันจึงไปหลงรักเขาในมุมของกรรมกันมาแล้ว ในบทความนี้ก็จะมาขยายกันในมุมของกิเลสบ้าง ซึ่งจะทำให้เห็นภาพกิเลสได้ชัดเจนแค่ไหนก็ลองอ่านแล้วค่อยๆพิจารณาตามกันดู

ความรัก นั้นคือความอยาก แต่ในความอยากนั้นก็มีมิติที่ซับซ้อนทั้งดีและร้าย ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นไปในทางร้าย คือมีกิเลสปนอยู่ในความอยากนั่นเอง กิเลสเป็นตัวที่ผลักดันให้เราหลง ทำให้เราให้โอกาสเขาเข้ามาในชีวิต ทำให้เราตัดสินใจรัก หากเรายังไม่สามารถ “เห็น” กิเลสในตัวเองอย่างชัดเจน จนมั่นใจว่าความรักของฉันครั้งนี้นี่มันเกิดจากกิเลสตัวนั้นตัวนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจความรักที่แท้จริงได้ เพราะโดนกิเลสบังไว้จนกลายเป็น “ความรัก(จากกิเลส)ทำให้คนตาบอด

ในบทความนี้เราก็จะนำเสนอเรื่องกิเลสด้วยกันสี่หัวข้อคือ

  • 1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส : เริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มหาคู่กันเลย เป็นการเกิดขึ้นของกิเลส
  • 2). ทาสกิเลส : สภาพการตั้งอยู่ของความรักจากกิเลส
  • 3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร : สภาพการดับลงไปของความรักที่เต็มไปด้วยกิเลส
  • 4). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา : เป็น “ผล” ที่เกิดขึ้นจากความรักที่มีแต่บาปและอกุศล

หัวข้อทั้งหมดที่ได้เรียบเรียงมานั้นก็เพื่อจะนำเสนอให้เห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้น การดำเนินอยู่ จนกระทั่งการจบลงไป ซึ่งหากเราได้สำรวจและทบทวนดีๆก็จะเห็นได้ว่าในการคบหากันนั้นมีสภาพของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร มันตั้งอยู่นานเท่าไหร่ แล้วมันดับไปได้อย่างไร เราจะมาเรียนรู้กิเลสตามหัวข้อเหล่านี้กัน

1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส

การจะมีคู่ได้นั้น บางคนก็เป็นเรื่องยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร บางคนก็ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สังเคราะห์ขึ้นมาเช่น หน้าตาดี มีความมั่งคั่ง มีชื่อเสียง พูดจาดี อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาตั้งแต่เกิดหรือสิ่งที่ฝึกฝนหรือสร้างใหม่ขึ้นในชาตินี้ก็ได้

กลยุทธ์ในการมีคู่หรือหาคนมาบำเรอกิเลสนั้น จะอธิบายกันด้วยภาพกว้างๆ 3 ลักษณะ คือ รุก , รอสวนกลับ , รับ ซึ่งจะมีลีลาอาการที่แสดงออกต่างกัน ไม่จำเป็นว่าต้องมีแผนเดียวเสมอไป สลับสับเปลี่ยนแผนได้ตามกำลังกิเลสที่มี

1.1). รุก (จีบ)

คนที่เป็นฝ่ายรุกนั้นจะเป็นใครก็ได้ จะเป็นคนหน้าตาดีก็ได้ หน้าตาไม่ดีก็ได้ การรุกคือการเข้าไปจีบ การแสดงความอยากครอบครองโดยการสนองกิเลสต่างๆให้กับเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่หวัง โดยมากมักจะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เช่น คนสวย คนรวย คนมีชื่อเสียง แต่ถึงจะไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวกระตุ้น แค่ใช้แรงกระตุ้นจากธรรมชาติในแบบชายหญิงตามสัญชาติญาณของคนมีกิเลสทั่วๆไป ก็สามารถที่จะรุกได้เหมือนกัน หรือถ้าเขาหรือเธอสามารถกระตุ้นกิเลสเราได้มากพอที่เราจะอยากได้เขาจนตัวสั่นความอยากก็จะทำให้เรารุกเช่นกัน

คนที่ไม่มีวาสนาเก่ามาเช่น หน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย ก็อาจจะต้องเล่นเกมรุก เพราะคงจะหาคนมารุกตัวเองได้ยาก ตั้งรับไปก็ไม่มีใครมารุก แห้งเหี่ยวอยู่อย่างนั้น แต่กิเลสจะไม่ปล่อยให้เราแห้งตายอยู่แบบนั้น แม้จะหน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย พูดไม่เก่ง แต่พลังกิเลสจะกระตุ้นให้เราพัฒนา ออกกำลังกาย แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดี ทำศัลยกรรม ขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างภาพ หัดพูดกับคนเยอะๆ นี่คือพลังของกิเลสที่สามารถสร้างพลังที่จะใช้ “รุก” ได้นั่นเอง

แม้คนที่มีหน้าตาดี บ้านรวย มีชื่อเสียง พูดจาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบเล่นเกมรับเสมอไป เขาหรือเธออาจจะชอบเล่นเกมรุกด้วยปัจจัยที่มีมากกว่าคนอื่น จึงสามารถรุกไปจับจิตใจของใครหลายๆคนได้โดยง่าย จึงเกิดเป็นสภาพของ “คนเจ้าชู้” เพราะเขาเหล่านั้นต้องการเสพสิ่งที่มากกว่า สิ่งที่ดีกว่าอย่างไม่จบไม่สิ้น

การรุกนั้นมักจะถูกใช้เมื่อเราต้องการได้สิ่งนั้นมากๆ ความอยากเสพสุขจากกิเลสนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เสพไปก็อยากได้เพิ่ม อยากได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการที่เรารุกเข้าไปในชีวิตใครก็สังเกตให้ดีว่าเรากำลังอยากได้ อยากมี อยากเสพอะไรในตัวเขากันแน่

1.2). รอสวนกลับ (รอจับ)

คนที่รอสวนกลับมักจะไม่รุกในทีแรก ทำเหมือนไม่สนใจใคร แต่จะเปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาได้บ้าง ไม่ปิดตัวเองเสียทีเดียว พอมีคนหลงเข้ามา หากถูกใจก็จะรุกในทันทีจนเหยื่อตั้งรับไม่ทัน เรียกว่า “โดนจับ” มีให้เห็นโดยมาก เป็นสภาพซ้อนของการรุกที่มีชั้นเชิงของกิเลสมากขึ้น

สาเหตุของการรอสวนกลับ นั่นเพราะเขามักจะมีโลกธรรมสูง เช่นขี้อาย กลัวคนนินทา กลัวทำตัวไม่ถูก จึงมีฟอร์ม มีการวางท่า มีความลึกลับซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา ไม่จริงใจ ทีเล่นทีจริง อยากรุกแต่ก็รุกไม่เป็น กลัวว่าถ้ารุกไปแล้วจะพลาดพลั้งหรือเสียฟอร์มก็เลยวางเกมรับแล้วรอสวนกลับ

เรียกง่ายๆว่ารอคนอื่นเปิดเกมก่อนแล้วจะเล่นตาม ซึ่งกิเลสก็จะมาเสริมทัพในด้านการเพิ่มโอกาสให้มีคนเข้ามาหา เหมือนกับวิธีรุก คือทำตัวให้ดูดี น่าคบหา ยั่วกิเลสกันไป เหมือนกับดอกไม้กินแมลงที่พอเหยื่อหลงเข้ามาแล้วก็จะงับทันที

1.3). รับ (มีให้เลือก)

คนที่ใช้กลยุทธ์รับโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีพร้อมด้วยกามคุณและโลกธรรม เช่นมีรูปร่างที่สวย หน้าตาดี เสียงเพราะ ฐานะดี การงานดี มีชื่อเสียง เป็นต้น

ในสมัยนี้แค่หน้าตาดีก็รับกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว จะมีคนมาแจกขนมจีบจนแทบไม่ได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ต้องมาคอยบริหารเสน่ห์ จัดการกับผู้ที่วนเวียนเข้ามาในชีวิต

ผู้รับมักจะเป็นผู้เลือก แต่ก็มักจะไม่เลือกในทันที เพราะมีให้เลือกมาก ทำเหมือนจะเลือกแต่ก็ไม่เลือก แทงกั๊กอยู่เสมอ เหมือนแมวที่เล่นเหยื่อแต่ไม่ยอมกินเหยื่อ จนกระทั่งมั่นใจว่าคนนั้นแหละคือคนที่จะมาบำเรอกิเลสของฉันได้ ก็จะจับเหยื่อในท้ายที่สุด

การรับนั้นเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเองเช่นกัน เพราะยิ่งมีเสน่ห์เท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่สร้างกระแสแห่งบาปมากเท่านั้น เพราะจะทำให้คนหลง คนมัวเมา ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงหน้าตาดี ถ้ายิ่งแต่งตัวโป๊คนก็จะยิ่งมอง และถ้ายิ่งมนุษย์สัมพันธ์ดีคุยกับเขาไปทั่วเขาก็จะหลงกันหมด ที่หลงนั่นคือหลงอยากเสพ จึงกลายเป็นภัยต่อตัวเองและผู้อื่น

การจะคงสภาพ “รับ“ ได้นั้นจำเป็นต้องบริหารเสน่ห์ตัวเองไปเรื่อยๆ ต้องแต่งหน้า แต่งตัว ทำผม สร้างภาพ สับราง บริหารเสน่ห์ โดยที่ต้องแข่งกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและแข่งขันกับคู่แข่งมากมายที่อาจจะมารุกใส่คนที่เราหมายตาอยู่ก็ได้

คนที่เอาแต่รับนั้นยากที่จะเปลี่ยนเป็นรุก เพราะมักจะสั่งสมกิเลสไว้มาก สร้างโลกธรรม สร้างอัตตามาครอบตัวเองไว้ ว่าฉันนี้ดีพร้อม คนอื่นต้องวิ่งเข้าหาฉัน ทำตัวเหมือนดอกไม้ที่รอแมลงเข้ามา ไม่สามารถขยับไปหาแมลงได้ กลายเป็นติดภพ จมอยู่ในภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

2). ทาสกิเลส

ไม่ว่าจะรุก รอสวนกลับ หรือตั้งรับ สุดท้ายเป้าหมายก็คือการได้มาซึ่งคู่ครองที่หมายตาไว้อยู่ดี ซึ่งอาจจะดีดังใจหวัง มากกว่าที่คาดหวัง หรือจะแย่กว่าที่หวังนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ “ฉันเลือกเขามาเพราะฉันคิดว่าเขาจะสามารถบำเรอกิเลสของฉันได้

นั่นคือเราจะเลือกคนที่เราคิดว่าในอนาคตเราจะได้เสพสิ่งที่หวังไว้ สิ่งที่หวังของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน หนาบางลึกตื้นไปตามกิเลส

…บางคนแค่อยากสมสู่ก็หาใครก็ได้ที่ใจง่ายๆมาคบกันเพราะรู้ว่าในที่สุดก็จะได้สมสู่ สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาสนองความใคร่

…บางคนแค่อยากมีเพื่อนร่วมเสพในกิจกรรมต่างๆ กินเที่ยวด้วยกันก็หาคนที่คิดเหมือนกัน สุดท้ายเราก็ได้คู่มาช่วยสนองกิเลสกันและกัน

…บางคนแค่อยากรวยก็หาใครก็ได้ที่มีเงิน ไม่จำเป็นว่าต้องหล่อหรือจิตใจดีขอแค่รวยก็พอ เพราะรู้ว่ายังไงเราก็จะได้เงินใช้สุดท้ายเราก็แค่อยากรวยโดยไม่ต้องลำบาก

…บางคนแค่อยากมีลูกก็เลยหาใครก็ได้มาเป็นพ่อแม่ของลูก เอาที่ดูดีหน่อย เชื้อจะได้ดีๆ สุดท้ายเราก็แค่อยากเสพอารมณ์ในการมีลูก

…บางคนแค่อยากมีชื่อเสียง ก็เลยหาคนที่มีชื่อเสียงในสังคมแล้วก็ใช้เขาเป็นตัวกระตุ้นชื่อเสียงตัวเอง สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาเสริมโลกธรรมของเรา เพิ่มสรรเสริญให้กับเรา

…บางคนแค่ขี้เกียจทำงานอยากมีคนดูแลก็เลยหาคนที่พอจะมีศักยภาพในการดูแลทั้งชีวิตนี้ได้และเกาะเขาไปเป็นที่พึ่ง สุดท้ายเราก็แค่อยากได้คนมาเลี้ยงดูชีวิต

…บางคนแค่หลงว่าเกิดมาแล้วต้องมีคู่จึงจะมีคุณค่า ก็เลยหาใครสักคนที่พอสมน้ำสมเนื้อมาควงคู่ไม่ให้ใครเขานินทาว่าอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีใครเอา สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาปกป้องโลกธรรมของเรากลัวคนนินทา

…บางคนแค่หลงว่าชีวิตที่สมบูรณ์ต้องแต่งงานมีครอบครัว ก็เลยหาใครสักคนที่เหมาะจะมาเป็นสามีหรือภรรยา สุดท้ายเราก็แค่สนองความหลงของเรานั่นเอง

…บางคนแค่อยากหาเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ก็เลยหาใครสักคนที่ดูมั่นคงและซื่อสัตย์และพร้อมจะดูแลเราเข้ามาในชีวิต สุดท้ายเราก็แค่กลัวลำบากไม่มีใครดูแล

…บางคนแค่หลงว่าเราสามารถมีคู่ใช้ชีวิตร่วมกันทำกุศล สร้างความดี ความเจริญร่วมกันได้ ก็เลยหาคนที่ดูมีบุญบารมีที่เหมาะควร สุดท้ายเราก็แค่หลงไปในกิเลส หาเรื่องครองคู่โดยใช้ข้ออ้างที่สวยหรูมาบังหน้าเพื่อเสพกามและอัตตา

…บางคนแค่เหงาก็เลยหาใครสักคนคนเข้ามาในชีวิตเพื่อเป็นเพื่อนคุย สุดท้ายพอหายเหงา หลุดจากสภาพที่ต้องทนเหงา หรือมีคนอื่นที่ดีกว่ามาแก้เหงา ใครคนนั้นก็หมดค่าเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เขาสนองกิเลสอีกต่อไป

สรุปแล้วคนที่เราเลือกมาเป็นคู่นี่แหละคือคนที่ซวยสุดซวย เพราะต้องมารองรับกิเลสของเรา ต้องคอยสนองกิเลสของเรา เป็นทาสกิเลสของเรา ต้องบำเรอเรา เป็นสิ่งที่มาสนองกิเลสของเรา “ฉันเลือกเธอมาเพราะฉันคิดว่าเธอจะดูแล(กิเลส) ของฉันได้

หลายคนอาจจะคิดว่า เอ๊ะ! ฉันก็รักเขา ฉันก็ดูแลเขา ฉันก็จริงใจกับเขานะ …ความรู้สึกนี้มันก็ใช่ แต่มันทำไปเพื่ออะไรล่ะ เรายอมสละ ยอดอดทน ยอมทุ่มเท แรงกาย แรงใจ พลีกายถวายชีวิต ทั้งหมดก็เพื่อเสพบางสิ่งจากคู่ครองใช่ไหม นั่นแหละคือสิ่งที่เราจ่ายไปเพื่อที่จะได้สิ่งที่เราคิดว่ามากกว่ามาเสพ “ที่ฉันทุ่มเทให้เธอเพราะฉันคิดว่าเธอจะสามารถบำเรอสุขให้ฉันได้มากกว่าที่ฉันทำไป

เมื่อใช้กิเลสเข้ามาเป็นแรงผลักดันในการครองคู่กันสุดท้ายก็จะเกิดเป็นกรรมชั่วในที่สุด กลายเป็นคู่เวรคู่กรรม สะสมกรรมชั่วกันเพิ่มในชาตินี้ เช่น ไปกินของอร่อยบำเรอกิเลสด้วยกัน ไปท่องเที่ยวตามกิเลสด้วยกัน ไปร่ำรวยสนองกิเลสด้วยกัน ไปมีชื่อเสียงเติมกิเลสของกันและกัน

ในการครองคู่นั้นยากนักที่จะหลีกเลี่ยงการสนองกิเลสให้แก่กันและกัน แทบจะทุกเหตุการณ์ของชีวิตที่เป็นการเพิ่มกิเลส ได้เสพสมใจก็กิเลสเพิ่ม อยากเสพอีก ไม่ได้เสพก็ทุกข์ใจคับแค้นใจ โกรธจนสะสมกิเลสอีก ดังนั้นการครองคู่จึงสะสมเชื้อทุกข์ สะสมกิเลสพอกไปเรื่อยๆ ออกดอกออกผลแห่งบาปไปเรื่อยๆ

3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร

ในตอนที่เราหลงติดหลงยึดจนอยากเสพ มันจะมีภาพฝันสวยๆของการครองคู่ เช่น เราจะรักกันไปจนแก่ เราจะมีลูกด้วยกัน มีบ้านน่ารักๆ ดูลูกหลานวิ่งเล่นพร้อมกับใช้ชีวิตรักอย่างเป็นสุข หรือถึงแม้เขาหรือเธอจะแก่ไปฉันก็จะรัก แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ป่วย พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ฉันก็จะดูแลเธอเอง

กิเลสก็จะพาให้ฝันหวานไปแบบนี้เอง เพราะจินตนาการมันถูกผลักดันด้วยกิเลส พอใจมันอยากเสพก็จะพิจารณาแต่ประโยชน์ คือจะมองเห็นแต่ข้อดีของการมีคู่ เห็นแต่สุข ไม่เห็นทุกข์เลย มันจะไม่มองความจริงตามความเป็นจริง ตามันมองเห็นแต่ก็มืดบอดมองความจริงไม่เห็น หลงอยู่ในสภาพสุขที่กิเลสหลอกไว้

แล้วก็ใช้เวลาครองคู่สนองกิเลสกันบ้าง ไม่สนองกันบ้าง เพราะความจริงแล้วคู่ที่เราเลือกมาเขาก็ใช้เราเป็นสิ่งสนองกิเลสของเขาเหมือนกัน เขาก็มีความอยากของเขา แรกๆมันก็จะยอมกันไปได้บ้าง พลัดกันเสพ ฉันยอมให้เธอ เธอยอมให้ฉัน เรารักกัน ให้อภัยกัน พลัดกันเสพสุขกันไป

แต่กิเลสมันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อชีวิตของการครองคู่คือการสนองกิเลสของกันและกัน ก็จะมีแต่การเพิ่มกิเลสกันไปกันมา สุดท้ายวันหนึ่งกิเลสก็จะก้อนใหญ่ขึ้น อยากเสพมากขึ้นในขณะที่ประสิทธิภาพของการสนองกิเลสนั้นลดลง จึงนำมาซึ่งการผิดใจกัน ขัดใจกัน ไม่ยอมกัน

…ในตอนนี้เราจะเริ่มรู้ได้ชัดแล้วว่า ”เรารักใคร ” ในตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่าน อยากได้อยากเสพ คิดว่าตัวเองถูกต้อง เอาแต่ใจนั่นแหละ เราจะเห็นว่าที่แท้จริงเรารักใคร

ที่เราโกรธ ไม่พอใจ ขัดใจ ขุ่นมัวในใจ เป็นเพราะเราไม่ได้เสพสมใจในสิ่งที่คาดหวังไว้ นั่นเพราะเราไม่ได้รักเขาตั้งแต่แรก เรารักตัวเองแล้วเราเอาเขามาเป็นเครื่องสนองกิเลสตัวเอง พอเขาสนองไม่ได้เราก็จะมีอาการหงุดหงิดเหล่านี้เพราะมันไม่สมใจตัวเอง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในลักษณะเหล่านี้เองเป็นตัวสรุปว่าแท้จริงแล้ว “ฉันรักตัวเอง

5). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา

เพราะความ “รักตัวเอง” นี่เองเราจึงยินดีสร้างกรรมขึ้นมา คือยินดีที่จะไปหาใครสักคนมาสนองกิเลสของเรา มาเป็นคนบำรุงบำเรอกิเลสเรา โดยใช้ข้ออ้างว่ามันคือ “ความรัก” แน่นอนว่ามันคือความรัก แต่เป็นความรักตัวเองจนต้องหาผู้อื่นมาบำเรอตน นั่นหมายถึง “ความเห็นแก่ตัว” อย่างยิ่งยวด

ความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราคิดถึงแต่ตัวเอง มองแต่ตัวเอง คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง กลายเป็นให้ความสำคัญกับตัวเองมากที่สุด เมื่อให้ความสำคัญกับตนเองมากที่สุด ก็หมายถึงมี “อัตตา” ที่มาก

นั่นจึงนำมาสู่การเบียดเบียนผู้อื่นโดยที่ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้ว่าการไปกระตุ้นกิเลสหรือการไปยั่วกิเลสของคนอื่นเป็นบาปแค่ไหน เพราะตนนั้นหลงเสพสุขในอัตตาของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นมาเติมเต็มความเป็นตัวของตัวเอง เช่นฉันเป็นคนแบบนี้, ต้องแต่งตัวแบบนี้, กินอาหารแบบนี้, เธอต้องปฏิบัติกับฉันแบบนี้, วันพิเศษต้องทำแบบนี้, เวลาฉันโกรธต้องง้อฉันก่อน ฯลฯ เหล่านี้คือสภาพของความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพสวยๆในอุดมคติของสิ่งที่เรียกว่าความรัก

ความฝันที่สวยงามในชีวิตคู่ คงไม่จริงเท่าความเห็นแก่ตัวที่เห็นกันอยู่ชัดๆ จนกระทั่งสามารถเอาชีวิตอื่นมาบำเรอกิเลสตนได้ นั่นจึงเป็นการสะสมบาปและอกุศลกรรมร่วมกัน สร้างทุกข์ โทษ ภัยสะสมไว้ส่งผลกับตัวเองทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าและชาติอื่นๆต่อไป

เป็นกรรมจากกิเลสที่ต้องรับในอนาคต เหมือนดังที่หลายคนได้เจอกับสภาพที่ต้องทุกข์เพราะความรัก ทุกข์เพราะคนรัก นั่นก็เพราะมันมีหนี้บาปกันมา เคยสนองกิเลสกันมา พอมาเจอกันในชาตินี้เชื้อชั่วในจิตใจก็จะดูดดึงกันเหมือนกับสภาพรักตั้งแต่แรกเจอ นั่นแหละ “ตัวเวรตัวกรรม” มันจะลากให้ไปทำชั่วกันต่อ ให้ไปสั่งสมกิเลสร่วมกันต่อ ให้วนเวียนอยู่ในโลกไปด้วยกันต่อ แล้วก็ต้องเจอทุกข์จากความรักวนเวียนไปไม่รู้จบ

เพราะยิ่งครองคู่ก็จะยิ่งสร้างกรรมชั่ว ไม่มีการครองคู่ใดเป็นไปในฝั่งกุศลฝ่ายเดียวอยู่แล้ว มันจะมีอกุศลหรือสิ่งชั่วปนไปด้วยเสมอ และโดยส่วนมากมันก็จะชั่วมากกว่าดี ดังนั้นยิ่งมีคู่มาก มีรักบ่อย เปลี่ยนคนรักบ่อยก็ยิ่งต้องรับผลชั่วที่ทำไว้มาก

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีคู่คนเดียวแล้วจะดีเสมอไป การมีคู่โผล่มาคนเดียวในชีวิต โดยความเข้าใจทั่วไปก็จะเหมือนคู่แท้ ที่ผูกกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ซื่อสัตย์จริงใจ ไม่เคยคบใครนอกจากคนนี้ แต่นั่นหมายถึงกรรมชั่วทุกอย่างมันก็จะมารวมที่คนนี้คนเดียวนั่นแหละ กรรมเขาก็จะจัดสรรเหตุการณ์ที่เจ็บปวด เผ็ด แสบร้อนให้ต้องทุกข์ในท้ายที่สุดทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ดี

ดังนั้น การไม่มีคู่เสียเลยยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องลากใครเข้ามาเพิ่มในบ่วงกรรมของเรา ไม่ต้องให้เขาต้องมาคอยบำเรอกิเลสเรา เราก็ไม่ต้องลำบากไปสนองกิเลสเขา เพราะเราไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว จึงยอมปล่อยให้เขาไปเผชิญกับชีวิตตามกรรมของเขา ความไม่เห็นแก่ตัวนี้เองคือความเมตตา คือความรักที่แท้จริง คือความรักที่มีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่เต็มไปด้วยปัญญารู้แจ้งในกิเลสและกรรม เมื่อเข้าใจและปล่อยวางได้เช่นนี้ จึงจะเรียกได้ว่า “ฉันรักเธอ” ได้อย่างแท้จริง

– – – – – – – – – – – – – – –

28.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 90,700 views 14

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

… ความจริงที่จะมาอธิบายเหตุผลมากมายร้อยแปดพันเก้าว่าทำไม…เขาถึงมาจีบฉัน

เราอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นเดือนเป็นปีในการทำความเข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาจีบฉัน แต่ในบทความนี้จะย่อช่วงเวลาแห่งการหาคำตอบเหล่านั้นไว้ให้เหลือเพียงไม่กี่หน้า เพื่อให้ง่ายต่อการจับประเด็นและรู้เท่ากิเลสที่แอบซ่อนอยู่ภายในลึกๆ ก่อนที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับความรักลวงนั้นได้

ในบทความนี้เราจะพูดในมุมของผู้หญิงซึ่งเป็นมุมที่มักจะถูกจีบ ถูกดูแล ถูกเอาใจ เป็นมาตรฐานสากลของไทยที่ใครตั้งไว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าพูดในมุมผู้หญิงก็จะอธิบายให้เห็นภาพได้ชัด ส่วนคุณผู้ชายก็อย่าน้อยใจกันไป ลองอ่านแล้วเปรียบเทียบกันดูได้ เพราะลีลาท่าทางต่างๆของคนที่มาจีบก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาจึงมาจีบ มาทุ่มเท ดูแล เฝ้าเอาใจ ไม่ห่างไปไหน เขาช่างดีแสนดี หลายเดือนหลายปีก็ยังอยู่ เรามีอะไรดีนักหนา ผู้คนตั้งมากมายทำไมต้องเป็นเราหรือเขาคือเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาเพื่อเรา มาเป็นเนื้อคู่ของเรากันแน่นะ พลังมโน หรือการคิดไปเองนี่มันร้ายยิ่งกว่าร้าย มันปรุงแต่งสิ่งลวงให้เป็นของจริงได้ แต่ก่อนจะมโนกันไปมากกว่า เรามาเข้าเรื่องกันเลย

1). ทำไมเขาจึงมาจีบฉัน

เหตุผลในการมาจีบทางโลกนั้นมีอยู่มากมายยากจะชี้ให้เห็นทั้งหมด แต่ถ้าเราจับต้นสายปลายเหตุดีๆ ค้นไปให้ลึกให้เห็นถึงต้นเหตุที่ผลักดันให้เขามาจีบ เราก็จะสามารถเห็นได้ว่ามีกิเลสอยู่ 4 ระดับหลักที่ผลักดันให้เขามาติดมายึดเรา

1.1).อบายมุข … ความอยากในอบายมุขนี่ก็เช่น พวกกิจกรรมที่พาเสื่อมต่างๆ เป็นนักกินเหล้า นักพนัน ชอบดูละครน้ำเน่า ชอบเที่ยวกลางคืน เกียจคร้านการงาน ติดเล่นเสเพลไปเรื่อย เมื่อเขาเหล่านั้นเจอคนจริตเดียวกัน คือเราก็เป็นคนที่หลงในอบายมุขด้วย จึงชอบพอและมาจีบด้วยเหตุที่ว่าจะได้ใช้ชีวิตไปกับการเสพอบายมุขสนองกิเลสไปด้วยกัน คิดแบบกิเลสท่วมใจว่า แหม.. เราเสพคนเดียวยังสนุกขนาดนี้ ถ้าชวนเธอมาเสพสุขในเรื่องเหล่านี้มันจะสุขขนาดไหน

ในมุมคนเจ้าชู้ เขาเหล่านั้นจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในการได้เสพการยอมรับและการสมสู่ จึงตระเวนแจกขนมจีบไปทั่วโดยไม่หวังผล แม้จะเป็นการจีบไปทั่วแต่ก็มักจะเป็นการจีบที่มีผลให้หญิงผู้มีจิตใจอ่อนไหวต่อกิเลสได้พลาดท่าเสียทีมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังที่เป็นกรณีศึกษาที่ปรากฏทั่วไปในสังคม

และในมุมที่ตรงไปตรงมาที่สุดของการมาจีบในระดับอบายมุข คือจีบมาเพื่อเป็นที่สนองตัณหา สนองความใคร่ จีบเพื่อจะได้สมสู่ จนมีคำเรียกที่ว่า “รักนิรันดร์ ฟันแล้วทิ้ง”

1.2).กามคุณ … กามนี้เป็นกิเลสในฐานที่คนยึดถืออยากได้อยากมีจนจีบกันในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสวย หุ่นดี เสียงไพเราะ ตัวหอม ผิวนุ่ม ต่างเป็นที่น่าหลงใหลของชายทั่วไป หญิงที่พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ จึงเหมือนกับดอกไม้ที่มีหมู่ผึ้งมาคอยจ้องจะมาเอาน้ำหวาน เรียกง่ายๆว่าเขาหลงในความงามเขาจึงมาจีบ เพราะเขาอยากได้ความงามของเรามาเสพ มันก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเท่าไหร่

1.3).โลกธรรม … ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแบบโลกๆ เพราะเรามีสิ่งเหล่านี้ เขาจึงมาจีบเพื่อหวังได้เสพสิ่งเหล่านี้จากเรา เราอาจจะรวย อาจจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี อาจจะมีชื่อเสียง อาจจะดูเหมือนบำเรอสุขให้เขาได้ เขาจึงมาจีบเรา แบบว่าอยู่กับคนนี้ก็สบายไปทั้งชีวิต

ในมุมผู้ชายมาจีบเพื่อโลกธรรมอาจจะเห็นได้ไม่มาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปที่ผู้หญิงที่มาจีบหรือจะตกลงใจต่อผู้ชายจะเห็นภาพได้ง่าย เพราะในสังคมไทย ผู้หญิงมักจะต้องตั้งเงื่อนไขไว้ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เช่น “สมัยนี้ไม่มีใครเขากัดก้อนเกลือกินกันแล้ว” หรือไม่ก็ “รักคนดี ชอบคนหล่อ แต่งงานกับคนรวย” คนที่มาจีบเพราะโลกธรรมมันก็แบบนี้ เพราะเขาหวังว่าสุดท้ายแล้วจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกๆ มาสนองให้กับตนจึงพยายามจีบ หรือคอยให้ท่า

1.4). อัตตา … ในมุมของอัตตานี่ล้ำลึกที่สุด เพราะเหตุผลไม่ค่อยชัด ประมาณว่าฉันก็ชอบของฉันแบบนี้ ฉันจะต้องได้คนแบบนี้ ฉันคัดคนแบบนี้มา เธอคือสเปคของฉัน รักตั้งแต่แรกพบอะไรก็ว่ากันไป ในมุมอัตตานี่จะมีในระดับศีลธรรมต่ำก็ได้ จะสูงก็ได้ แต่เนื้อแท้คือต้องการแบบเธอคนนั้นมาสนองอัตตาของฉัน ซึ่งอัตตานี้เองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและลึกลับที่สุด ถ้าอยากรู้ต้องค่อยพิจารณาขุดค้นหากิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก

ต้องยอมรับกันจริงๆว่าบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติ มันจะมีอาการดูดดึงกันแปลกๆ ความรู้สึกอยากเสพความสวยความงาม ความรวย ความมีชื่อเสียง หรือการสมสู่มันก็ไม่ได้อยากจะมีมากนักหรอก แต่มันอยากได้คนคนนี้ มันต้องเป็นคนนี้เท่านั้น อันนี้แหละเขาเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร เหตุผลทางโลกนี่จะใช้อธิบายไม่ได้เลย เพราะมันจะอยากได้อยากมีแบบดื้อๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล

….สรุปแล้วการที่เขามาจีบนั้นก็มีเพียงภาพกว้างๆเท่านี้ เขาอาจจะอยากเสพหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ทั้งกามทั้งโลกธรรม หรืออาจจะเป็นเหลือแค่อัตตาก็ได้ เราก็ใช้ลักษณะของกิเลสเหล่านี้ไปสังเกตเขาแล้วก็ค่อยๆวิเคราะห์ไปตามเหตุปัจจัย

2). จริงๆฉันก็รู้และอยากให้เขามาจีบฉัน

ผู้หญิงหลายคนก็ฉลาดในเรื่องโลก ฉลาดในทางสะสมกิเลส ฉลาดเฉโก รู้อยู่เต็มอกนะ ว่าเขามาจีบเพราะอะไร นอกจากจะรู้แล้วยังไม่อยู่เฉย มักจะคอยกระตุ้นผู้ชายให้มาจีบมากขึ้นด้วยการเร่งกิเลสของเขา

2.1).อบายมุข … พอรู้ว่าผู้ชายติดอบายมุข ติดการสมสู่ก็เข้าไปเร่งกิเลสผู้ชาย แต่งตัวโป๊ ใส่กระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เว้านิด เปิดหน่อย เสื้อบางๆ ถ่ายรูปโชว์หน้าอกนิดหนึ่ง ทำหน้าอ้อนๆนิดหน่อย หรือถ้าหลงมัวเมาหนักๆในการยั่วกิเลสก็โป๊ให้เห็นเลย หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือวางแผนให้ท่าอ่อยเหยื่อผู้ชาย สุดท้ายก็หลอกล่อให้เขามาสมสู่กับเรานั่นแหละ อันนี้มันระดับอบาย เป็นนรกแท้ๆ แม้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่อย่าไปลองเลย เพราะมันได้แค่สุขลวงแต่เป็นทุกข์แท้ๆ

2.2).กามคุณ …พอรู้ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ ก็จะดูแล บำรุงให้ตัวเองดูดี ในระดับกามนี้จะไม่ตกต่ำไปจนโป๊เปลือย แต่จะสวยอยู่ในระดับที่สังคมยอมรับได้ มีการแต่งหน้าทาปากเพื่อให้สวยตามสังคมทั่วไป แต่งตัวให้ดูดีแบบทั่วไป หัดพูดจาให้เสียงไพเราะ ทำตัวให้หอม ทำเนื้อตัวให้เนียนนุ่ม อันนี้ก็อยู่ในขีดของกาม ผู้หญิงจะรู้ตัวและแอบดูแลตัวเองอยู่เพราะลึกๆต้องการให้ใครสักคนมาจีบ

คนที่ติดในกามหลงในกามมากเข้าจะเริ่มต้องการมากขึ้น อยากเสพความงามมากขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าสวยขึ้นงามขึ้นก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าไปศัลยกรรมตกแต่งร่างกาย ฉีดตรงนั้น ตัดตรงนี้ เพิ่มตรงนั้น ลดตรงนี้ ซึ่งในขีดนี้ก็เรียกได้ว่าเสื่อมถึงขนาดเข้าขีดของอบายมุขแล้ว

ในข้อนี้อาจจะมีความเห็นแย้ง ว่าปกติฉันก็แต่งอยู่แล้ว คนเรานั้นมีกิเลสลีลาหนึ่งที่เรียกว่า “แข่งดีเอาชนะ” ถ้าให้เทียบทั่วไปก็คือการแข่งกันสวยแข่งกันเด่น แต่แข่งกันไปเพื่ออะไรล่ะ? การแข่งนี้เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ไม่ใช่ของผู้เจริญแต่อย่างใด สัตว์จะแข่งกันโชว์ความสวยงามเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจ แต่ถ้าเราคิดว่าเราแต่งไปเพราะความชอบล้วนๆนี่มันเป็นอัตตา มันหลงยึดหลงติดแบบไม่มีเหตุผล มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์อีก

2.3).โลกธรรม …ในกิเลสมุมนี้จะขออธิบายในมุมผู้ชายเพื่อให้เห็นภาพชัดกว่า เมื่อเราเห็นว่าผู้หญิงติดโลกธรรม อยากได้อยากมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แน่นอนว่ามีผู้ชายบางจำพวกสามารถสนองกิเลสด้วยลาภได้อย่างไม่ยากไม่ลำบาก จึงเกิดการเลี้ยงดู บำเรอด้วยลาภ หรือที่เขาเรียกกันว่า “เด็กเสี่ย” อะไรประมาณนั้น เป็นการใช้เงินเข้ามาล่อผู้หญิงขี้โลภให้เข้ามาติดกับ จริงๆแล้วมันก็ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันละนะ ต่างคนก็เสพสมใจในมุมของตัวเอง ใช้คนอื่นสนองกิเลสตัวเองกันไป

2.4). อัตตา …กลับไปในมุมของผู้หญิงเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นผู้ชายที่มีอัตตามาก มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเอง มีอุดมการณ์มาก แต่ก็มักจะต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ เพราะเธอเหล่านั้นวางค่ายกลที่จะสนองอัตตาไว้แล้ว เป็นมารยาที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียน เป็นการสนองอัตตาจนผู้ชายคนนั้นยอมรับผู้หญิงที่มีมารยาผู้นั้นไว้เป็นหนึ่งในอัตตาของตัวเอง

เมื่อผู้ชายรับเอาผู้หญิงเป็นอัตตาแล้วยังไง? ก็เข้ามาจีบเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่วางแผนไว้แต่แรกก็อาจจะเล่นตัวอีกสักเล็กน้อยให้พอดูมีศักดิ์ศรีบ้างเพื่อสนองอัตตาเขาไปอีกที สุดท้ายก็จะจับผู้ชายที่มีอัตตาจัดได้ไม่ยาก

3). ทำไมเขาจึงไม่มาจีบฉันบ้างล่ะ

ก็เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันนั้นไม่สามารถสนองกิเลสของเขาได้ หรือไม่ก็มีคนอื่นที่สนองกิเลสเขาได้มากกว่า เขาจึงไม่จีบฉันยังไงล่ะ หรือจะเรียกได้ว่าฉันไม่ใช่กรรมกิเลสของเขา (ก็ดีแล้ว) หรืออีกนัยหนึ่งคือเราไม่มีกรรมผูกกันมาขนาดนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาผูกกันอีกครั้ง (ก็ดีแล้ว)

4). จีบแล้วพาให้หลง

เมื่อเขามาจีบแล้วก็มักจะสนองกิเลสเราด้วยความลวง เราไม่สวยก็ว่าเราสวย เราไม่ดีก็ว่าเราดี ทำให้เราเริ่มหลงจนเริ่มมีนิสัยเสีย งอแง เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ เพราะไม่ว่าจะทำนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทนได้ เขาก็รับได้ ที่เขาทนได้เพราะเขายอมให้เราตายใจก่อนจะได้เสพสมใจเท่านั้นเอง แต่เวลาเราสร้างนิสัยเสียขึ้นนี่มันเสียแล้วเสียเลย เสียแล้วมันแก้ยาก กิเลสมันขึ้นแล้วมันลงยาก นี่แหละผลของการจีบแล้วทำให้หลงผิด

5). รักจริงหรือ…จึงมาจีบ

เรามักจะเห็นภาพความเพียรพยายาม ดูแลเอาใจใส่ ทำตัวดังพ่อบุญทุ่ม ยากแค่ไหนก็ยอมฝ่า เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมทน ดีแสนดีเหนือใคร ซื่อสัตย์ อดทน ให้อภัย เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของสามีในอนาคต ดังเทพบุตรที่ส่งมาจากฟ้า พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะรักและมั่นคงไปชั่วนิรันดร์

แค่นั้นยังไม่พอ ยังทุ่มเทและบำรุงเราด้วยอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา กระหน่ำเข้ามาไม่เว้นวัน วันละหลายครั้งสามเวลาหลังอาหาร คำว่ารัก รัก รักนี่ตกเกลื่อนพื้นเรี่ยราดมากมายจนเก็บไม่หมด เฝ้าฝันเฝ้ารอคอย ตามตื้อจนกว่าเธอจะรับรัก อดทนรอหลายเดือน หลายปี หลายสิบปี ทำความดีให้เห็นอย่างไม่ลดละ เธอชอบคนดีฉันก็เข้าวัดฟังธรรมสวดมนต์ เธอชอบเล่นหุ้นฉันก็ศึกษาหุ้นวิเคราะห์หุ้นให้ เธอชอบอะไรฉันก็จะสนองเธออย่างนั้นจนกว่าเธอจะยอม

เป็นเทพบุตรสุดที่รักที่น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร เป็นนักแสดงค่าตัวแพงที่ยอมเล่นก่อน จ่ายทีหลังพร้อมกับดอกเบี้ยบานเบอะ ถ้าเจอแบบนี้ให้ลองสังเกตดูว่าเขาดูแลพ่อแม่ดีแบบนี้หรือไม่?

ถ้าผู้ชายที่ดีแสนดีจะดูแลใครสักคนให้ดี เขาจะต้องดูแลพ่อแม่ของเขาให้ดีก่อนเป็นแน่ เขาจะไม่มาเสียเวลาแจกขนมจีบให้เราหรอก เพราะเขาเอาเวลาไปดูแลครอบครัวของเขาดีกว่า เพราะพ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณที่ควรจะกตัญญู ไม่เหมือนกับเราซึ่งเจอกันไม่นาน ถ้าเขาสามารถรักเราที่พึ่งเจอกันไม่นานมากกว่าพ่อแม่ได้ ก็ลองพิจารณากันดูเองว่าควรแล้วหรือ? รักนั้นจริงแล้วหรือ? คนที่มีรักจริงทำตัวเช่นนี้หรือ?

6). จีบไปทำไม

จริงๆแล้วเขาก็มาจีบเพื่อจะเสพเรานั่นแหละ และโดยรวมทั้งหมดตามธรรมชาติของมนุษย์เลยก็คือการได้สมสู่ ดังนั้นเป้าหมายก็จะเป็นการจีบเพื่อสมสู่ แม้ว่าภาพที่แสดงออกจะดูดีแค่ไหน สุภาพบุรุษแค่ไหน สุดท้ายก็สมสู่อยู่ดี ชีวิตมันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องสมสู่นี่แหละ จีบกันหมายจะมีคู่มันแค่เรื่องสมสู่นี่แหละ แล้วเราก็หลงไปว่าเรามีคุณค่ากับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วมันก็มีคุณค่าแค่ไว้สมสู่นี่แหละ

กล่าวกันแบบนี้อาจจะดูแรงไปสักนิด แต่ถ้าคนเรารักกันจริงมันไม่ต้องจีบกันให้เมื่อยหรอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสมสู่เลยเพราะหยาบเกินไป เอาแค่จีบกันนี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ การจะคอยสนองกิเลสใครนี่มันเหนื่อยและใช้พลังงานมาก มันไม่บริสุทธิ์เพราะมันมีกิเลส รักกันนี่ไม่จำเป็นต้องเสพกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันก็รักกันได้ แต่ที่มันจะพยายามให้เกินเพื่อนเพราะมันอยากจะเสพบางอย่างที่มันเกินเพื่อนไปนั่นแหละ

ผู้ชายหลายคนอาจจะเริ่มซึ้งและเข้าใจกิเลสตัวเองมากขึ้นหลังจากได้เสพสมใจและเสพจนกระทั่งเบื่อหน่าย จนพบว่าสุดท้ายเมื่อตัดความใคร่ออก ก็จะเหลือแค่คำว่าเพื่อนชีวิตเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเพื่อนนี่มันไม่ต้องจีบ ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ แต่การจีบจนกระทั่งแต่งงานนี่มันจะได้สมสู่กันอย่างถูกต้องตามจารีตประเพณีที่คนเขายอมรับกัน

เมื่อเริ่มเบื่อหน่ายจากเมียที่เคยรักเคยหลง ก็จะเริ่มเห็นทุกข์แท้จริง เพราะไม่ว่ากามคุณที่เธอเคยมีนั้นก็จะเสื่อม แก่ เหี่ยว หย่อนยาน เสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ โลกธรรมที่เคยมีนั้นก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ อัตตาที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ก็คลายลงเรื่อยๆ แต่ก็จะอยู่ในสภาวะที่ต้องจำยอมรับผิดชอบกับอีกชีวิตหนึ่งที่เอามาผูกกันไว้

สุดท้ายก็เป็นผู้ชายเองที่ติดกับผู้หญิง หลงจีบผู้หญิงเพราะอยากได้อยากมีเธอมาไว้สนองกิเลสตัวเอง จริงๆแล้วเธอก็อยู่ของเธอดีๆ เราก็ไปยุ่งกับเธอเอง ไปชอบเธอเอง ไปอยากได้เธอเอง แล้วก็ไปจีบเธอเอง สุดท้ายหลังจากกระตุ้นกิเลสเธอจนเธอยอมก็ได้เธอมาเป็นของตัว แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้นั่นก็ไม่เที่ยง เสพสุขไม่นานมันก็หมดรสสุข เสพไปก็ไม่สุขเหมือนเดิม ความสุขนั้นลวงเราตั้งแต่แรก เราสุขแป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ จีบกันไม่กี่ปี แต่ต้องทุกข์อีกหลายสิบปี ทุกข์ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หรือมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์แยกตัวออกไป

และสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยพอ เมื่อไม่สุขเหมือนที่เคยเสพ ก็จะทิ้งผู้หญิงที่ตนเคยรัก เคยดูแล เคยเอาใจ เคยสาบานว่าจะรักไปจนชั่วนิรันดร์ไปหาเสพสิ่งที่ตัวคิดว่าสุขเอาดาบหน้า ไปมีกิ๊ก ไปมีชู้ ไปมีเมียน้อย ฯลฯ ทิ้งผู้หญิงซึ่งถูกเสพจนเสื่อมสภาพ และถูกเอาใจจนเสียนิสัยที่ดีไปหมด ไว้ให้เป็นเพียงแค่อดีตตอนหนึ่งของชายคนนั้นเท่านั้น

7). รักฉันอย่าจีบฉัน

ดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การจีบนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อมอย่างแน่แท้ ความรักที่แท้จริงไม่ได้หวือหวา น่ามหัศจรรย์ น่าหลงใหลขนาดนั้น แต่เป็นความสงบเย็น อ่อนละมุน บางเบา ไม่เร่าร้อน ไม่เรียกร้อง เมื่อเห็นเช่นนั้นพึงเข้าใจว่า “รักฉันอย่าจีบฉัน” อย่าทำให้ฉันหวัง อย่าบำเรอกิเลสฉันจนฉันหลงไป อย่าเอาใจฉันจนฉันนิสัยเสีย อย่าบิดเบือนความจริงด้วยความลวง อย่ามองฉันเป็นเพียงเป้าหมายที่ต้องพิชิต อย่าให้ฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในชีวิตของเธอ อย่าให้ฉันเป็นของเธอและอย่าให้เธอมาเป็นของฉัน

การที่คนเราจะรักกันนั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นของกันและกัน เราแค่เพียงมีกันและกันเดินร่วมกันไปดังเส้นขนาน แม้ว่าจะไม่ได้เสพสมสู่กันดังธรรมชาติของผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความสุข ความสุขจากการได้เสพสมใจตามกิเลสมันจะมีค่าอย่างไรในเมื่อมันเป็นแค่ความหลง

ดังนั้นหากว่ารักฉันจริง จงอย่าจีบฉัน อย่าทำร้ายฉันด้วยดอกไม้ คำหวาน และคำสัญญาใดๆอีกเลย เพราะฉันรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริง

– – – – – – – – – – – – – – –

13.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รักแท้แพ้ระยะทาง

December 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,781 views 0

รักแท้แพ้ระยะทาง

รักแท้แพ้ระยะทาง

…จริงหรือไม่ที่เขาว่าระยะทางมีผลต่อความรัก

สำหรับคู่รักที่ต้องห่างไกลกันบ้าง ห่างไกลกันมาก ห่างไกลกันเหลือเกินไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายก็อาจจะมีความกังวลว่าความรักที่เคยมีนั้นจะห่างหายไปตามระยะทาง…

…รักแท้

คำว่ารักแท้นั้นหมายถึงรักที่ไม่แปรเปลี่ยน มั่นคง การที่รักแท้จะมาแพ้ระยะทางนั้นหมายถึงรักนั้นไม่แท้ การจะพูดคำว่า”รักแท้”นั้นง่ายดายกว่าการพิสูจน์ให้เห็นรักแท้มากนัก

…ระยะทาง

ระยะทางในบทความนี้หมายถึงความห่างไกลทั้งทางกาย ทางวาจา และใจ เช่น ตัวก็อยู่ห่างกัน การสื่อสารก็ไม่สะดวกเหมือนกับตอนอยู่ใกล้กัน ใจก็ไม่ค่อยใกล้กันเพราะมีกิจกรรมการงานมากมายที่ต้องทำ

…รักแท้ไม่แพ้ระยะทาง

ขึ้นชื่อว่ารักแท้นั้นไม่มีทางมาแพ้เพียงความห่างไกลทางกายวาจาใจนี้ได้เลย เพราะความแท้ไม่ว่าอย่างไรมันก็แท้ ที่มันแพ้เพราะมันไม่แท้แล้วเอาของปลอมมาหลอกขาย คนก็หลงเชื่อกันไปว่าเป็นรักแท้ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้จักรักแท้เลยไม่รู้ว่าหน้าตาของรักแท้เป็นอย่างไร พอได้ยินคำสัญญาที่ดูเหมือนจะมั่นคงและจริงจังก็มักจะหลงใหลไปได้

รักที่แท้นั้นเป็นการอยู่เพื่อให้ มีกันและกันเพื่อที่จะให้ความสุข ความสบายใจแก่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังอะไร ระยะทางแม้จะห่างไกลแสนไกล ต้องห่างกันนานแค่ไหนก็ไม่มีผลใดๆกับรักแท้เลย ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพคร่าวๆคงจะเหมือนกับลูกที่ห่างพ่อแม่ไปหลายปีแต่กลับมาก็ยังรู้สึกดีต่อกันรักกันเหมือนเดิม เหมือนกับเพื่อนที่ห่างหายกันไปร่วมสิบปีแต่ก็กลับมาคุยกันยิ้มและยินดีต่อกันได้

…รักไม่แท้แพ้ทุกอย่าง

รักที่ไม่แท้นั้นไม่ได้แพ้แค่ระยะทาง แต่จะแพ้ไปเสียทุกอย่าง เพราะถ้ามันไม่แท้แล้วมันก็ย่อมเสื่อมและเปลี่ยนแปลงไปในสักวันหนึ่ง

เหตุที่แพ้ทุกอย่างนั้นก็เพราะกิเลส คู่รักที่ห่างไกลกันนั้นยามใกล้กันก็สามารถสนองกิเลสปรนเปรอกันได้ แต่เมื่อยามห่างไกลกิเลสยังอยู่แต่คู่ไม่อยู่ ด้วยความอดกลั้นที่มีจำกัดและแรงของกิเลสที่ไม่มีวันจำกัดจึงส่งผลให้วันใดวันหนึ่งที่กิเลสร้อนแรงพุ่งทะลุปรอท ออกนอกใจที่เคยให้สัญญากับคู่ไว้ ไปหาสิ่งของ ผู้คน หรือเหตุการณ์ต่างๆมาบำรุงบำเรอกิเลสตนเอง

กรณีที่เห็นได้มากจนเหมือนเป็นเรื่องปกติคือการคบชู้ การมีกิ๊ก หรือการมีเมียน้อยผัวน้อย จะเรียกอะไรก็ตามแต่สำหรับคนที่มีรักไม่แท้นั้น หากห่างไกลคนรักนานๆแล้วก็มักจะหดหู่ห่อเหี่ยวสุดท้ายจึงต้องไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของตนมาบำเรอกิเลส เรื่องกามสมสู่เป็นเรื่องที่ผู้คนมักอดใจไม่ไหว ยอมทำลายศักดิ์ศรี ยอมทำลายคำมั่นสัญญา ยอมทำลายความเป็นมนุษย์เพื่อที่จะไปเสพให้สมกิเลส เพราะทนกับทุกข์ของความอยากเหล่านั้นไม่ได้

เรื่องกิเลสเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนคุ้นเคย แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ลองพรากจากสิ่งที่ตัวเองติดดูสักครั้งก็จะรู้ซึ้ง ยกตัวอย่างเช่น ติดกาแฟร้านประจำที่ปกติกินทุกเช้าร้านอื่นไม่เคยเข้า เข้าแต่ร้านนี้ แต่พอต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวันก็นอกใจกาแฟร้านเดิมไปซื้อกาแฟร้านท้องถิ่น เพราะอดใจห้ามใจไม่กินกาแฟไม่ไหว

เรื่องคู่ก็เหมือนกัน หลายคนไม่ได้มีคู่เพราะความรักที่แท้ แต่มีคู่เพราะความใคร่ อยากมีเพราะอยากสมสู่โดยใช้ความรักมาเป็นข้ออ้าง เมื่ออยู่ด้วยกันได้เสพสมใจกันก็ยังไม่มีอาการอะไร แต่พอต้องห่างกันไปกลับมีอาการใคร่อยากกระหายกามจนต้องนอกใจไปคบชู้ ไปสมสู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่รักที่ตนสัญญากันไว้ว่าจะไม่ทำร้ายใจกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับที่ยกตัวอย่างเรื่องกาแฟ เราก็ไม่ได้ปักมั่นว่าต้องกินร้านเดิมหรือร้านใหม่ แม้เราจะชอบร้านเดิมแต่ถ้ามันหาไม่ได้ก็กินร้านใหม่ เพราะจริงๆเราติดกาแฟมากกว่าติดร้านกาแฟถึงแม้จะรักชอบพอถูกใจกับร้านนั้นก็ตามทีเหมือนกันกับคู่รักที่นอกใจกัน เขาเองก็ไม่ได้ติดว่าต้องมีคู่ แต่ที่เขาติดจริงๆคือเรื่องการสมสู่ คือการมีคนมาปรนเปรอบำบัดความใคร่อยาก ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ ให้ความสำคัญ

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากความรักที่ไม่แท้ รักที่ไม่ได้ให้ รักที่คิดแต่จะเอา พอไม่ได้อย่างที่ใจต้องการก็ไปหากินเอากับคนอื่นที่สามารถปรนเปรอกิเลสตนเองได้ นี้คือบทสรุปของรักไม่แท้แพ้ระยะทาง

– – – – – – – – – – – – – – –

1.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์