Tag: ความโสด

ทำไมมีแต่บทความพาโสด?

May 16, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,412 views 0

ที่ช่วงนี้หนักในเรื่องของความโสดนี่ก็ไม่ใช่ว่าผมยึดว่าทุกคนต้องโสดนะ ใครโสดได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ใครไม่ไหวก็ทนๆอ่านกันไปก่อน

ผมหวังจะให้คนที่ได้เข้ามาอ่าน หรือคนที่ลังเลได้เพิ่มพลังในการเกาะคานกันไปก่อน ให้ปักมั่นในความโสดกันไปก่อน

เพราะเดี๋ยววันหนึ่งเปลี่ยนแนวมาพิมพ์บทความเกี่ยวกับคนคู่แล้วคนโสดที่จิตไม่แกร่งจะพากันอ่อนไหวอยากมีคู่กันหมด

คือถ้ามันร่วงลงจากคานไปแล้วมันขึ้นไม่ง่ายนะ หล่นลงนรกไปนี่เขาไม่ปล่อยให้กลับมาง่ายๆหรอก ตอนจมไปสักพักใหญ่เลยละ เผลอๆบางคนทั้งชีวิตก็ไม่หลุด

ตอนนี้ก็เลยขอแบบแข็งๆไปก่อน พัฒนาจิตใจกันให้แกร่งไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปทำลายความแข็งกระด้างกันทีหลังก็ได้ ผมว่ามันปลอดภัยสำหรับยุคกึ่งพุทธกาลแบบนี้นะ

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

May 15, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,250 views 1

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

ดาวน์โหลดภาพขนาดเต็ม | Download full size image

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

สรุปปัญหาวุ่นๆของคนใกล้คาน เพื่อนำไปสู่วิธีขึ้นคานอย่างเป็นสุขด้วยกันทั้งหมด 9 ข้อ

1). เฝ้าคานอย่างว้าเหว่: คนโสดที่เต็มไปด้วยความอยากมีคู่ จะรู้สึกว่าชีวิตเหมือนขาดอะไรสักอย่างไป ความรู้สึกขาดนั้นเองจึงนำมาซึ่งการแสวงหา

2). ใครหนอจะมาเป็นคู่: มีความต้องการหาใครสักคนมาเติมเต็มความพร่อง ก็จะเริ่มมองหาคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาเติมชีวิตให้เต็มได้

3). ใครสักคนจะพาลงคาน: ในจำนวนผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามา น้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติที่เราจะยอมให้เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานะของเรา คุณสมบัติที่ว่านั้นคือความสามารถของเขาที่จะสนองกิเลสของเราได้นั่นเอง

4). หนีคานไปหาคู่: เมื่อเจอกับคนที่ว่าใช่แล้ว ก็มักจะยินดีสละคานซึ่งเป็นที่มั่นแห่งความสุขและสงบที่สุดไป เพราะเข้าใจว่าการขึ้นคานนั้นทุกข์ การลงจากคานนั้นสุข จึงได้ทิ้งคานไปแสวงหาความสุขเอาข้างหน้า

5). เข้าง่ายออกยาก: ชีวิตคู่นั้นมักจะมีรสสุขโลกีย์มาเป็นตัวล่อ แต่พอนานวันไปสุขนั้นกลับลดลง เสื่อมลงหรือไม่มีอีกเลย ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นสิบๆปีก็ได้ และถึงวันนั้นก็ไม่ง่ายแล้วที่จะหลุดออกมาได้ เพราะได้หลงเสพติดรสสุขในกิเลสหลายอย่างไปแล้ว

6). คู่กัด คู่กรรม: พออยู่กับคู่ไปสักพักก็จะเริ่มเอาแต่ใจกัน แม้แรกๆจะยอมกันได้ แต่หลังๆก็เริ่มจะไม่ยอมกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มีปากเสียงกันบ้าง ลงไม้ลงมือกันบ้าง กลายเป็นคู่กัดที่รักกันไปกัดกันไป สร้างหนี้บาปหนี้กรรมให้ต้องมารับวิบากบาปที่พาให้ชีวิตเป็นทุกข์กันอีกมากมาย

7).หนีคนมาหาคาน: พอทุกข์จากเรื่องคู่จนทนไม่ไหวก็จะหนีคน กลับไปหาคาน เกลียดคน รักคาน กลายเป็นคนเกลียดความรักได้ ในขั้นตอนนี้มีโอกาสที่จะวนกลับไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ หรือพัฒนาต่อไปที่ข้อแปดก็ได้ ถ้ายังมีความอยากมีคู่อยู่ก็จะไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ แต่ถ้าเริ่มรู้สึกเอือมระอากับ “ความอยากมีคู่” แล้วก็อ่านกันต่อไป

8).ยกบันไดให้ไกลคาน: ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดเพราะความอยากมีคู่ การที่เรายังมีบันไดแห่งความหวังว่าใครสักคนหนึ่งจะเข้ามาในชีวิต เพื่อให้เราได้เสพสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเขาอยู่นั้น คือความอยากที่เป็นเชื้อทุกข์นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นโทษภัยของความอยากแล้วจึงควรศึกษาเรียนรู้เพื่อหาทางทำลายความอยากนั้นๆ

9).ขึ้นคานอย่างเป็นสุข: เมื่อทำลายความอยากนั้นได้ ก็ไม่ต้องรู้สึกว้าเหว่, เปลี่ยวเหงา, ซึมเศร้าเมื่อต้องอยู่ผู้เดียวบนคาน ไม่รู้สึกทุกข์ใดๆแม้จะต้องใช้ชีวิตอย่างคนโสด แต่กลับเห็นว่าความโสดนี้เองเป็นสุขแท้ เป็นความหลุดพ้นจากความอยากที่คอยผลักดันให้เราสร้างทุกข์ที่มากมายขึ้นมาในชีวิต เมื่อเห็นคุณค่าของความโสดนี้เอง ก็จะเป็นผู้ที่ขึ้นคานอย่างเป็นสุข เกาะคานไว้เป็นที่พึ่งจนวันสุดท้ายของชีวิต

– – – – – – – – – – – – – – –

15.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

โสดไม่ได้เสพ

May 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,025 views 0

โสดไม่ได้เสพ

โสดไม่ได้เสพ

ทำไมผู้คนต่างอยากจะมีคู่ ทำไมความโสดถึงมักจะถูกผลักไส ทำไมความโสดจึงเป็นสิ่งที่ดูด้อยค่าในสายตาของคนอยากมีคู่ ความลับของความหลงทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่การเป็นโสดไม่ได้เสพนั่นเอง

คนที่มีกรรมที่จะต้องไปแต่งงาน ด้วยฐานะ ด้วยหน้าที่ ด้วยบทบาทนั้น จะขอยกไว้ไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะสภาพที่ต้องไปแต่งงานทั้งที่ใจไม่ได้มีความอยากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับกิเลสโดยตรง แต่มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลของกรรม

ทำไมคนจึงไม่เป็นโสด?

หากจะถามออกไปก็มักจะมีคำกล่าวอ้างมากมายที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น มนุษย์เกิดมาเพื่อสืบพันธุ์บ้างล่ะ เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิตบ้างล่ะ เพื่อเป็นไปตามธรรมชาติบ้างล่ะ เพื่อพากันเจริญบ้างล่ะ หลายๆเหตุผลที่ปั้นแต่งมาเพื่อยืนยันว่า “ฉันจะไม่เป็นโสด

ด้วยเหตุผลเหล่านั้น หลายคนก็ยินดีที่จะไม่เป็นโสด ยินดีทุกข์ทนแสวงหาคู่ ยินดีลำบากลำบนคอยบำเรอกิเลสคู่ของตน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อบูชาความหลง

หลงในอะไร? ก็หลงในความสุขลวงที่กิเลสเป็นผู้ชี้นำยังไงล่ะ เพราะเขามองว่าเมื่อมีคู่ เขาก็จะได้เสพสุขดังใจหมาย สุขอย่างที่คนอื่นเขาว่ามา สุขอย่างที่ใครเขาก็ทำกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสุขลวงที่นำทุกข์แท้มาให้ สุขนั้นเป็นสุขจากการได้เสพสมใจจากกิเลส เป็นสุขอย่างเป็นทาส

เหมือนทาสที่เขาเฆี่ยนตีด้วยแส้ เพื่อให้ทำงานหนัก พอนายทาสโยนเศษอาหารให้ก็หลงดีใจ รู้สึกเป็นสุข เห็นว่านายทาสใจดี มีเมตตา เราได้เศษอาหารเช่นนี้เป็นสุขจังหนอ ว่าแล้วก็ยอมทำงาน ยอมโดนเฆี่ยนโดนตีไปเรื่อยๆ เพื่อแลกกับสุขเพียงแค่ได้เสพเศษอาหารเหล่านั้น

เพราะโสดนั้นไม่ได้เสพ

ในเมื่อการมีคู่คือการได้สุขจากเสพในความเข้าใจของผู้หลงผิด ดังนั้นการเป็นคนโสดก็คือการไม่ได้เสพอะไรเลย นั่นหมายถึงการขาดทุน การเสียผลประโยชน์ในทัศนคติของเขาเหล่านั้น

ซึ่งก็ถูกแล้วที่คนเห็นผิดจะเห็นว่าการโสดเป็นสิ่งที่ไม่สุขเอาเสียเลย และถ้าเราเจาะลงลึกไปในรายละเอียดว่าโสดแล้วไม่ได้เสพอะไรให้ชัดๆก็คือ ไม่ได้สมสู่กัน ไม่ได้เสพกามคุณ คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้เสพโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ของกันและกัน และไม่ได้เสพอัตตาของกันและกัน

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากสมสู่กันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่ซ้อนเร้น ปกปิดไว้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ แต่เรื่องนี้มีกันทั้งชายและหญิงนั่นแหละ การได้เสพสุขจากการสมสู่ ได้ครอบครอง ได้บำเรอกามของกันและกันเป็นความสุขของเขานะ ถ้าจะให้เขาเป็นโสดหรือแม้แต่การตัดเรื่องสมสู่กันทั้งชีวิต เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากเสพกามคุณกันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายๆ เช่น หน้าตาดี บุคลิกดี เนื้อตัวสะอาด พูดเพราะ ผิวนุ่ม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสพกัน ถ้าได้มองก็สุขแล้ว แต่ถ้าได้เอามาเป็นคู่ เอามาเสพคนเดียวทุกคืนทุกวันมันจะสุขขนาดไหน จะให้เขาเสียสุขนี้เพียงเพื่อต้องไปเป็นโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้โลกธรรมกันนะ เช่นมีคู่เพื่อได้ลาภ ข้อนี้จะเห็นได้มาก จะแต่งงานกับใครก็ต้องมีฐานะดี หรือดียิ่งกว่า อันนี้เพราะโลภอยากได้ของเขา อยากได้ยศ คือตัวเองต้องมีตำแหน่งดีขึ้นเช่นเป็นแฟน สามี ภรรยา อยากได้สรรเสริญ คืออยากให้มีคนมาชมตนเองว่ามีคุณค่า มีคนเอาไปเป็นคู่ สุดท้ายคืออยากได้สุข สุขจากการมีคู่นั่นแหละ สุขลวงๆที่เขาว่าเป็นสุขจริงนั่นแหละ จะให้เขาทิ้งทั้งหมดนี้เพื่อแลกกับความโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้อัตตากันนะ คือมีใครสักคนมาเติมตัวเราจนเต็ม มีคนที่จะเป็นดังที่ใจเราฝัน คนนั้นคือคนที่ทำให้ฉันหายเหงา จะมีเธอมีฉันเคียงข้างกันไปชั่วนิรันดร อะไรแบบนี้ เป็นความยึดติดฝังแน่นว่าคนเราจะสุขเพราะการมีคู่ คนเราจะมีคุณค่าเพราะมีคู่ จะให้เขาละทิ้งความสุขเหล่านี้ แม้จะเป็นสุขที่หลงไปในความลวงเพื่อแลกกับความโสดที่จะไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาจะยินดีโสดหรือ?

ทนทุกข์เพราะหลงสุขจากเสพ

ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ หลายคนจึงยินดีทนทุกข์ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสุขกว่าการที่จะต้องเป็นโสด แม้จะต้องก่อเวรก่อกรรมไว้กับคู่ของตนมากเท่าไหร่ก็ไม่สน ยินดีที่จะเบียดเบียนตนเองและคู่ของตนเพียงเพื่อจะให้ได้เสพสุขลวงเหล่านั้น เหล่านี้เองคือความร้ายกาจของกิเลส ที่ลากคนไปลงนรกมานักต่อนักแล้ว มันไม่เคยละเว้นใคร ไม่ว่าจะยากดีมีจน เรียนน้อยหรือเรียนมาก สุดท้ายถ้ายังไม่มีปัญญาพอจะก้าวข้ามความหลงนี้ ก็ยังจะต้องโดนกิเลสลากไปนรกอยู่ดี

แต่สำหรับเขาเหล่านั้นคงจะไม่เรียกการมีคู่ว่านรก ถึงจะเรียกว่าสวรรค์เขาก็คงจะเห็นดีด้วย เพราะเขายินดีที่จะได้เข้าไปเสพ ยินดีที่จะได้มีคู่ เหมือนกับคนที่เฝ้าศึกษาเส้นทาง เตรียมตัวเก็บกระเป๋า และออกเดินทางไปสู่นรกด้วยจิตใจที่เบิกบาน ดูสิ! มันหลงกันไปได้ขนาดนี้

– – – – – – – – – – – – – – –

3.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มิตรแท้คนโสด

May 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,408 views 0

มิตรแท้คนโสด

ผมพิมพ์บทความเกี่ยวการไปสู่ความเป็นโสดไว้มากมาย เพราะเล็งเห็นแล้วว่า ปัญหาในชีวิตคู่รักแต่ละอย่างนั้นไม่มีทางแก้ไขได้เด็ดขาดหากยังจะต้องเป็นคู่รัก จึงสร้างบทความที่จะตัดเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นไปเลย

บทความแต่ละบทนั้นมีถ้อยคำที่ข่ม ประณาม ด่ากิเลสอยู่ด้วยเสมอ ชี้แจ้งโทษของการมีคู่และประโยชน์ของความโสด ซึ่งจะไปสู่ผู้อ่านที่มีลักษณะดังนี้

1). คนมีกิเลสที่เห็นว่ากิเลสคือทางชั่ว: แม้ว่าจะยังไม่สามารถสู้กิเลสได้ แต่เมื่ออ่านบทความไปแล้วก็จะกระตุก จะรู้สึกผิด จะมีความเกรงกลัวขึ้นมา คนเหล่านี้หากเพียรพิจารณาธรรม ที่ว่าด้วยประโยชน์ของความโสดและโทษชั่วของการมีคู่จะสามารถทำให้จิตตั้งมั่นขึ้นได้ เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว (พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการพิจารณาโทษของกิเลสจะทำให้เกิดสมาธิ : วิตักกสัณฐานสูตร) การพิจารณาธรรมเพื่อชำระกิเลสจึงเป็นไปโดยง่าย

2). คนมีกิเลสที่สงสัยในกิเลส : คนเช่นนี้จะยังลังเลอยู่ว่า จะโสดดี หรือไม่โสดดี อย่างไหนเป็นสุขกว่ากัน ก็ให้เพียรศึกษาไปเรื่อยๆ พิจารณาประโยชน์ในการโสด และโทษของการมีคู่ให้มาก แต่ถ้าไปพิจารณาโทษของความโสดและประโยชน์ของการมีคู่มันก็มีทิศทางไปทางเสพกิเลส ไปนรกนั่นเอง

3). คนมีกิเลสแต่ไม่เห็นกิเลส : คนที่ประมาทต่อภัยของกิเลสนั้น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนบุคคลที่ตายแล้ว แม้จะมีธรรมที่พาให้ปลดเปลื้องกิเลสออกแสดงอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ เหมือนกับเอาไฟไปเอาศพ เหมือนเอาดาบไปแทงศพ ร่างที่ตายไปแล้วนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรเลย

4). คนมีกิเลสแต่ไม่เห็นกิเลสและมีอัตตาจัด: คนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นอกจากจะไม่เห็นภัยของกิเลสแล้วยังเห็นกิเลสเป็นมิตร “เอากิเลสมาเป็นอัตตาของตน” พอกิเลสโดนด่าก็เหมือนตนถูกด่า เพราะในใจลึกๆมันเสพติดการมีคู่ จนกระทั่งไม่ยอมให้ใครมาทำลายทิฏฐินั้น แม้ใครเห็นแย้งไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมารมาจากไหน คนที่เมาอัตตาก็จะสู้กับเขาไปหมด

ส่วนคนไม่มีกิเลสขอยกไว้ แต่ถึงแม้ท่านเหล่านั้นจะมาอ่าน ท่านก็ย่อมยินดีในธรรมที่พาให้ลดกิเลส คือลดความโลภ โกรธ หลง อยู่ดี

เมื่อเห็นประโยชน์ในการพิจารณาธรรมที่พาออกจากกิเลสดังนี้ ผมจึงขอแนะนำบทความเกี่ยวกับความรักที่เป็นทางที่จะพาไปสู่รักที่ไม่มีกิเลสใดๆมาปนให้หม่นหมอง

คลังบทความ ความรัก(ที่เพียรละกิเลส)