Tag: คนโสด

หลักพิจารณาในการแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาทุกข์จากความรักในคนโสดและคนคู่

October 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,462 views 0

หลักพิจารณาในการแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาทุกข์จากความรักในคนโสดและคนคู่

ข้อคิดเห็นของฉัน : หลักพิจารณาในการแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาทุกข์จากความรักในคนโสดและคนคู่

ในเพจนี้มักจะมีแต่บทความเกี่ยวกับความโสด พูดถึงแต่ในบริบทของคนโสด มักจะไม่ค่อยกล่าวถึงในมุมของคนมีคู่สักเท่าไหร่

บทความส่วนมากของผมเจาะจงลงไปที่ปัญหาความรัก ชี้ให้เห็นเหตุของปัญหา แต่ไม่เคยแนะนำให้หนีปัญหา หรือหักดิบทิ้งปัญหาเหล่านั้น แล้วเอาตัวรอดคนเดียว นั่นหมายถึงผมไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนให้คนมีคู่ หนีคู่ไปด้วยข้ออ้างที่ว่าโสดนั้นดีกว่า

ซึ่งผมเองไม่ได้มีเจตนาที่จะไปยุ่งเกี่ยว หรือไปมีอิทธิพลต่อชีวิตใครจนกระทั่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคู่จนเป็นทุกข์ เพราะเจตนาที่แท้จริงก็เพียงแค่ต้องการชี้ให้เห็นโทษของกิเลสเท่านั้น และการจะแก้ปัญหาความรักที่มีความซับซ้อนน้อยที่สุด ก็คือการแก้ปัญหาตั้งแต่ยังเป็นโสด เพจนี้จึงมักจะมีบทความชวนให้เห็นโทษของการมีคู่ เห็นคุณของความโสด

เพราะการแก้ปัญหากิเลส ตอนโสดนั้นเป็นการแก้ต่อเดียว แก้ที่คนคนเดียว ปัญหามีความซับซ้อนน้อย สามารถจัดการได้ง่าย แต่การแก้ปัญหากิเลสในคนมีคู่นั้นยาก ซับซ้อน มีเรื่องปิดบังอำพรางมาก มีเรื่องส่วนตัวเยอะ มีเหตุแห่งทุกข์มากมายที่เป็นเรื่องลึกลับ ไม่สามารถไขความหมายหรือเข้าใจได้ ไม่ใช่ลักษณะแบบ (1+1 =2 ) แต่เป็น (กิเลส + กิเลส = อภิมหากิเลส)

เพียงแค่การแก้ปัญหากิเลสในคนๆเดียวก็ไม่รู้จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้ความเพียรแค่ไหน ผมเองก็ผ่านมาแบบแผลเหวอะหวะ ถ้าเป็นสงครามก็เสียแขนเสียขาไปอย่างละข้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเรียนรู้โดยไม่เจ็บช้ำ ไม่ง่ายที่จะเอาชนะกิเลสโดยไม่ต้องเสียอะไรไป ไม่ง่ายเพราะต้องแพ้กิเลสซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังต้องสู้อยู่…นี่แค่ตัวคนเดียวนะ

แต่การแก้ปัญหากิเลสในคนคู่นั้นซับซ้อนยิ่งกว่า มันมีความผูกของกิเลสสองคน ถ้าเป็นเชือกก็เป็นเชือกสองเส้นที่สีเดียวกันบ้าง คนละสีบ้างในแต่ละเส้น พันกันเป็นปมใหญ่ ไม่รู้อันไหนต้นอันไหนปลาย ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน ไม่รู้จะแก้ปัญหาที่ใด

สำหรับคนคู่ผมจึงได้พิมพ์บทความไว้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในตนเองเท่านั้น ไม่ต้องไปมุ่งแก้ที่คู่ของตน เพราะลำพังแก้ที่ตนก็ยากพออยู่แล้ว ควรจะเอาตัวเองให้รอเสียก่อนแล้วค่อยไปช่วยคนอื่น ใครจะคิดไปแก้คู่ของตนด้วยก็ตัวใครตัวมัน

ซึ่งในความจริงมันก็ต้องลากกันไปแบบนั้น คนโสดแก้ปัญหาตัวเองได้ เรื่องก็จบ แต่คนคู่แค่แก้ปัญหาตัวเองได้นั้นยังไม่พอ ยังต้องช่วยคู่แก้ปัญหาอย่างมีศิลปะด้วย เพราะหากคู่ครองยังมีปัญหาอยู่ ก็สามารถลากกันไปลงนรก ลากกันไปทุกข์ได้เช่นกัน ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงเปรียบคู่ เหมือนกับบ่วง จะเดินไปไหนก็ต้องลากกันไปด้วย ต้องลำบากเพิ่มขึ้น ใครมีลูกก็ต้องลำบากเพิ่มขึ้นอีกตามบ่วงที่สร้างมา

และผมก็ยังถือหลัก “ ผูกเองก็ต้องแก้เอง ” ตอนผูกพันก็สมยอมผูกกันมาเอง แล้วตอนจะแก้มาให้คนอื่นแก้ให้ เก่งแค่ไหนก็คงไม่สามารถแก้ให้ได้ เพราะไม่รู้ว่าผูกกันมายังไง มีแต่คนที่ผูกเท่านั้นที่จะรู้ว่าต้องแก้ปัญหายังไง

ถ้าจะให้แนะนำกันในส่วนตน เรื่องของตนเอง เฉพาะจิตใจตนเอง ไม่ว่าจะเป็นคนโสดที่ยังเร้าร้อนแสวงหาคู่ หรือคนคู่ที่ทุกข์มาจากเรื่องคู่ของตน การแนะนำเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องส่วนบุคคลนั้นยังเป็นเรื่องที่พอจะทำได้

แต่ถ้าจะให้ไปวิเคราะห์กันถึงบุคคล ที่ 2 3 4 … ไปคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเรื่องนอกตัว เช่นว่า ทำไมเขาต้องทำกับฉันแบบนี้ , เขาจะต้องได้รับกรรมอะไร, เขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะแก้นิสัย ฯลฯ ผมว่ามันจะเลอะเทอะ เสียเวลากันเปล่าๆ เอาแค่เวลาที่มีในชาตินี้ทั้งหมดจะแก้ปัญหาที่ตัวเองให้ได้หมดก็ดูท่าจะยังไม่พอกันเลย แล้วใครที่คิดจะไปแก้ปัญหาของคนอื่นแต่ไม่มุ่งแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อนนี่ ผมเองไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนแนวคิดแบบนี้

ในมุมธรรมะ คนที่มุ่งแต่จะแก้ไขคนอื่นนั้น ไม่มีทางที่เขาจะพ้นทุกข์ได้เลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้หมั่นทำนาของตนเอง อย่าไปทำนาคนอื่น ซึ่งถ้าใครมีความคิดเห็นในแนวทางมุ่งแก้ปัญหาคนอื่น ไม่มองว่าตัวเองมีปัญหา ผมก็คิดว่ายากที่เขาจะแก้ปัญหาในชีวิตได้

ส่วนคนที่น้อมปัญหากลับมามองตน กลับมาทบทวนว่าเหตุแห่งทุกข์ของเรานั้นอยู่ตรงไหนในจิตใจเรา คนที่มีความคิดในแนวทางนี้เจริญได้ง่าย แก้ปัญหาได้ง่าย ถ้าให้ผมเลือก ก็คิดว่าควรใช้เวลาให้กับคนที่มีความเห็นเช่นนี้ เพราะเขามุ่งแก้ปัญหาในตนจริงๆ ซึ่งการแนะนำต่างๆจะสามารถเข้าถึงปัญหาได้ง่าย เพราะไม่มีตัวแปรที่ซับซ้อนเหมือนคนที่ดึงเอาบุคคลที่ 2 3 4 … มาเกี่ยวด้วย

– – – – – – – – – – – – – – –

3.10.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เรื่องโสดหรือมีคู่ดีกว่า

September 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,540 views 0

เรื่องโสดหรือมีคู่ดีกว่า นี่ผมไม่เถียงเอาชนะใครนะ แล้วแต่จะเลือกเลย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง

คำว่า “เมถุน” นี่ไม่ได้หมายความแค่เรื่องสมสู่นะ แต่มันคือเมถุนสังโยชย์ ๗ คือกิเลสที่ผูกคนไว้กับการมีคู่ มีตั้งแต่การยินดีเมื่อได้สัมผัส ได้หยอกล้อ ได้มองตา ได้ฟังเสียง ได้นึกถึง ได้เห็นหน้า ได้บำเรอสุขตนเองด้วยภพของคนดี

….ผมก็เข้าใจ มันหลุดกันไม่ได้ง่ายหรอก แถมคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังหลงในอะไร เรื่องจะมาหลุดพ้นคงไม่ต้องพูดกัน ดังนั้นใครจะยินดีมีคู่ มันก็เป็นธรรมดาของเขา

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

September 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,910 views 1

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

ในกรณีที่เลิกกับคู่รักมาด้วยเหตุอะไรก็ตาม แต่จบด้วยความบาดหมาง ไม่ลงรอยกัน แม้เขาจะมาอ้อนวอนให้กลับไปเหมือนเดิม ตอนแรกก็มักจะมีอาการใจแข็งไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเก่า เกลียดความทุกข์ เกลียดความผิดหวัง ฯลฯ ซึ่งก็มักจะมีอาการปากแข็ง กายแข็ง ใจแข็ง อยู่พักหนึ่ง

พออดีตคู่รักกลับเข้ามาหา ทักทาย หยอดกันตามประสาหมาที่เคยหยอกไก่ ครั้งแรกๆอาจจะมีอาการรังเกียจ โกรธ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุย อยากจะหายตายจากกันไปเลย ไม่ต้องมาพบเจอกันฯลฯ

แต่พอเข้ามาบ่อยๆหนักเข้าๆ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับคนจิตอ่อน โดนออดอ้อนทุกวันก็หมดท่า ถ้าจิตใจอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ยังต้องหาที่พึ่งภายนอกอยู่ พอโดนยั่วกิเลสทุกวัน วันละนิดวันละหน่อย ค่อยๆหยอด ค่อยๆเติมเชื้อราคะ ไม่ให้ไก่ตื่น ไม่ให้รู้ตัว สุดท้ายก็มักจะพลาดท่าเสียที

ด้วยความที่ตัวเองก็กามหนาอัตตาจัด แต่ตอนแรกๆที่เลิกกันอัตตามันจะพุ่ง อัตตามันจะกำเริบ มันจะยึดดี มันจะไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายอัตตามันสู้กามไม่ไหว กามมันโตขึ้น มันโดนเติมเชื้อให้อยากกลับไปเสพของเก่าให้หวนนึกถึงสุขที่เคยเสพ

ทีนี้พอกามมันโตกว่าอัตตา “ก็จบเกม” กลับไปตายรังกับแฟนเก่า ดังที่เขาว่าวัวเคยค้าม้าเคยขี่ ยิ่งคนที่เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งยิ่งมีเหตุให้กระตุ้นกิเลสมาก แตะนิด แตะหน่อยก็ของขึ้นกันแล้ว จากที่เคยปากแข็ง ไม่พูดด้วยก็กลับไปออดอ้อนออเซาะ จากที่เคยร่างกายแข็งไม่ให้แตะต้อง ไม่ตอบสนอง ก็เปลี่ยนเป็นตัวอ่อนยอมพลีกายถวาย จากที่เคยใจแข็ง ไม่อยากเจอ ไม่อยากคบหาสุดท้ายก็กลับไปยกใจให้เขาครอบครองเป็นเจ้าของเหมือนเดิม นั่นหมายถึงสุดท้ายก็กลับไปอยู่ในนรกขุมเดิมด้วยความสุข(ลวง)ที่มากขึ้น

…นี่เป็นกรณีศึกษาความผิดพลาด ที่สุดแสนจะคลาสสิค ของผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่รู้เท่าทันกิเลส ไม่มีกลยุทธ์ในการเอาตัวรอด จึงตกเป็นเหยื่อของกิเลสด้วยความเต็มใจ(ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง: พระพุทธเจ้า)

ซึ่งผู้ที่มีโอกาสกลับมาโสด ได้โอกาสพิจารณาบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วกลับไปเสียท่าให้กิเลสอีก เรียกว่าพลาดท่ายิ่งกว่าตอนที่เสียท่าไปคบกันตั้งแต่ตอนแรก และจะต้องได้รับวิบากบาปมากกว่าครั้งแรก นั่นหมายถึงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองยิ่งๆขึ้นไป

เพราะมี [ ความหลง1(หลงคบเป็นคู่รัก) + ความหลง2(หลงกลับไปเป็นคู่รัก) = สร้างกรรมกิเลส = วิบากบาป=ทุกข์ ]

เหมือนกับคนที่เขาปล่อยออกจากคุกมาแล้ว แต่โดนกิเลสมอมเมาให้ทำชั่ว ไม่กลับตัว ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่เข็ด ไม่หลาบจำ สุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่ในคุกอีก จึงต้องวนเวียนเข้าออกคุก โดยไม่มีวันหนีคุกนี้พ้น เพราะมัวเมาในความสุขลวงของกิเลส จึงต้องอยู่กันอย่างมีความทุกข์ไปตลอดกาล

– – – – – – – – – – – – – – –

28.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

โสด แก่ตัวไปใครจะดูแล

September 9, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,148 views 1

โสด แก่ตัวไปใครจะดูแล

โสด แก่ตัวไปใครจะดูแล

ความแก่และความเจ็บป่วยเป็นปัญหาที่ทำให้คนโสดหลายคนเป็นกังวล แม้ว่าจะไม่ได้คิดมีคู่เพื่อเสพสุขอะไร แต่ก็ยังอยากมีครอบครัวไว้เพื่อประกันอนาคตตัวเอง ซึ่งความกังวลเหล่านี้จะหมดไปหากเข้าใจในเรื่องกรรม

การมีครอบครัว มีคู่ครอง มีลูกหลาน ไม่ได้เป็นหลักประกันเลยว่าจะมีคนดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า แม้หน้าตาของมันจะดูเหมือนว่าจะมีในตอนแรก แต่ก็ไม่แน่ว่าสุดท้ายเมื่อถึงเหตุการณ์นั้นจริงจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีให้พบเห็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน ว่าพ่อแม่แก่เฒ่าที่ถูกทิ้งไว้ลำพัง คู่ครองหรือลูกหลานที่เคยหวังว่าจะได้มาช่วยกันกลับต้องเป็นภาระแก่กันและกัน หรือไม่ก็ด่วนจากไปก่อนก็มีถมไป

คนที่มีกรรมที่จะต้องถูกทิ้งให้เดียวดายไปจนแก่ ไม่มีคนดูแล ก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้น ส่วนคนที่มีกรรมที่จะต้องมีคนดูแล ถึงจะมีครอบครัวหรือไม่มีก็ตาม เขาก็จะต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้นเหมือนกัน

ในที่นี้ก็จะกล่าวกันถึงในบริบทที่ไม่พูดถึงกรรมเก่าเลย คือไม่มีกรรมที่จะมีคนมาดูแลเลย เพราะไม่เคยทำกรรมดีนั้นไว้ แล้วเราจะทำอย่างไร กรรมใหม่ที่เราจะทำนั้นจะทำได้ดีแค่ไหน ลองมาเปรียบเทียบกันในมุมคนมีครอบครัวกับคนที่ไม่มีครอบครัวกัน

คนมีครอบครัว(มีคู่)

… ขอบเขตในการทำกรรมดีของคนมีคู่จะกระจุกอยู่ที่คู่ของตน ลูกหลานของตน อย่างดีก็จะไปถึงวงญาติของตน แต่การจะขยายออกไปทำดีกับคนอื่นๆนั้นมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ทำได้ไม่เต็มที่ กรรมส่วนใหญ่จึงไปมีน้ำหนักตกอยู่กับคู่ครองและลูกหลาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่ครองและลูกต้องมาเป็นผู้ใช้กรรมนั้น ความดีที่ทำไปแล้วก็สะสมผลดี เป็นกุศลกรรมให้ตนเองได้รับผลนั้น ในวันใดวันหนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่ง

คนไม่มีครอบครัว(โสด)

… คนโสดนั้นไม่มีข้อจำกัดในการทำกรรมดี สามารถช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ สามารถเอาชีวิต เอาเวลาทั้งหมดไปทำกรรมดีได้เลย ยกตัวอย่างเช่น การดูแลพ่อแม่และญาติก็สามารถทำได้สะดวกกว่าคนคู่ หรืองานจิตอาสา คนโสดก็สามารถเอาเวลาว่างจากการทำงานทั้งหมดไปสร้างกรรมดีได้มากมาย เอาไปดูแลคนอื่นได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคู่ครองหรือลูก ไม่ต้องมีบ่วงหรือภาระที่คอยฉุดรั้งไม่ให้ทำดี

โดยเฉพาะกิจกรรมที่เป็นกุศลมาก เช่นการบวช หรือการปวารณาตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คนโสดก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ สามารถสร้างกรรมดีได้มากเท่าที่เขาจะมีปัญญาทำได้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีโอกาสที่จะสร้างกรรมดีได้มากกว่าคนมีครอบครัวมาก ทั้งหลากหลายกว่า ทั้งมีปริมาณมากกว่า และมีโอกาสที่จะได้ไปใกล้ชิดกับหมู่คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากกว่าวนเวียนอยู่กับครอบครัวตนเองและหมู่ญาติ

แล้วใครจะดูแลคนโสด?

สัจธรรมที่เราไม่สามารถหนีพ้นได้เลย คือ เรามีกรรมเป็นของของตน เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าเราจะทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เราต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน

นั่นหมายความว่า กรรมดีที่ได้ทำนั้นก็จะดูแลคนทำที่กรรมนั้นเอง กรรมจะจัดสรรเหตุการณ์ให้ได้รับผลกรรมดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่ใช้ชีวิตเพื่อดูแลคนอื่น ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมนั้น เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ดูแลลูก ก็จะได้รับผลของกรรมดีนั้นในวันใดวันหนึ่ง คนโสดก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่มีคู่ครองหรือลูกหลาน แต่ถ้าหากเขาใช้เวลาที่มีนั้นเสียสละตนเอง ดูแล ช่วยเหลือ เกื้อกูลผู้อื่น เขาย่อมได้รับผลกรรมเหล่านั้นเช่นกัน

การที่เรามุ่งทำกรรมดีเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราหวังจะให้ใครเข้ามาดูแลเรา เราเพียงแค่มุ่งทำกรรมดีให้มากที่สุดเท่าที่พอจะมีกำลังทำได้ ส่วนผลนั้นจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม เราไม่หวังผลดี แต่เรามุ่งทำดี เพราะเรารู้แน่ชัดในใจอยู่แล้วว่า ทำดีก็ต้องได้ดี ไม่ได้ชาตินี้ก็ได้ชาติหน้า

ซึ่งในกรณีที่มีผลกรรมดีมาส่งผลให้มีคนมาดูแลในยามแก่ชราแม้จะโสดนั้น จะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่ทำกรรมดีไว้มากพอเท่านั้น ทำเท่าไหร่ก็ได้รับผลเท่านั้น ไม่มีขาด ไม่มีเกิน ซึ่งคนที่หลงระเริงในชีวิต ไม่เคยก่อกรรมดี ก็ย่อมไม่ได้รับผลเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นกังวลเรื่องความเป็นอยู่ในอนาคตเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อคนโสดกลัวเรื่องอนาคตก็ต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ หาสิ่งที่จะมาผูกมัดให้อนาคตของตนมั่นคง หาตัวช่วยให้ตนได้ทำกรรมดี และสุดท้ายก็จะเปลี่ยนจากคนโสดเป็นคนคู่ที่พัฒนาความสัมพันธุ์ไปจนเป็นครอบครัวไปในที่สุด

คนโสดที่เข้าใจเรื่องกรรม จะไม่กังวลในจุดนี้ จึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาสิ่งใดๆมาประกันอนาคตของตัวเอง เพราะรู้ดีว่ากรรมดีที่เราทำนี่แหละ คือสิ่งที่จะประกันอนาคตของเรา ดังนั้นเขาจึงแสวงหาโอกาสในการสร้างกรรมดี เข้าร่วมกิจกรรมที่จะสร้างกรรมดี อยู่กับหมู่คนที่จะพากันทำกรรมดี และเข้าหาผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพในการสร้างกรรมดี

สรุป…ถ้าถามว่าคนโสดจะพึ่งใคร ก็ตอบว่า ก็พึ่งพากรรมของตัวเองนั่นแล

– – – – – – – – – – – – – – –

9.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)