รวยเท่ากับซวย #5
รวยเท่ากับซวย #5
…แบ่งปันประสบการณ์ ถ้าเร็วกว่านี้ก็คงจะรวย(ซวย) ไปแล้ว
หากวันนั้นผมได้รับโอกาสบางอย่างในเวลาอันเหมาะควร ในวันนี้ก็คงจะไม่มีบทความเหล่านี้จากคนคนนี้อย่างแน่นอน…
เมื่อหลายปีก่อนผมใช้เวลาทุ่มเทอยู่กับการศึกษาแคคตัสและไม้อวบน้ำ ผมมีทักษะมากมาย การผสมเกสร การเพาะเมล็ด การปลูก การตัดต่อฯลฯ เป็นทักษะที่ผมฝึกไว้อย่างเชี่ยวชาญเผื่อว่าวันใดวันหนึ่งที่ผมจะได้ไปทำสวนแคคตัส สร้างรายได้จำนวนหนึ่งไว้เลี้ยงชีวิต เป็นรายได้ที่คำนวนออกมาคร่าวๆแล้วอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่ารวย เพราะเล็งไว้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับทักษะทางด้านบริหารและนิสัยในการสังเกต จดบันทึก และทดลองในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ทำอยู่ จึงทำให้ผมประเมินว่าถ้าผมได้พื้นที่ทำสวนแคคตัส ความรวยคงไม่หนีผมไปไหนอย่างแน่นอน
แต่ในความจริงแล้วผมยังอยู่บ้านในเมืองกรุง บ้านที่มีพื้นที่ปลูกไม่มากเท่าไหร่ และยังไม่มีที่ไหนที่จะมารองรับความฝันของผมเลย วันเวลาผ่านเลยไปจนกระทั่งวันหนึ่งพ่อได้มอบที่ดินกว่า 5 ไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพให้ผมได้ใช้ตามใจชอบ
ในช่วงแรกผมเองยังมีความคิดจะเลี้ยงตัวเองและทำสวนแคคตัสอยู่ แต่เมื่อพัฒนาที่ดินไป ออกแบบไป สวนแคคตัสที่เคยฝันไว้ก็เล็กลงเรื่อยๆ จาก 1 ไร่ เหลือ 200 ตารางเมตร จนกระทั่งสุดท้ายไม่เหลือพื้นที่ให้ใจผมเลี้ยงแคคตัสอีกต่อไป นั่นเพราะผมบังเอิญพบกับธรรมะเสียก่อน ผมตัดสินใจเชื่อธรรมะไปก่อนจะได้ที่ดินแปลงนี้แล้ว เมื่อได้ที่มาแล้วแม้ว่าความฝันเดิมๆที่อยากรวยมันจะยังมีอยู่ แต่มันก็โดนธรรมะค่อยๆทำลายไปเรื่อยๆจนไม่เหลือซาก ไม่เหลือแม้แต่ธุลีความอยากมีสวนแคคตัส ไม่เหลือแม้แต่ความอยากรวยในจิตใจ
ถ้าหากว่าผมได้ที่ผืนนั้นก่อนจะพบกับธรรมะ ผมเชื่อมั่นว่าตนเองต้องเป็นนักพัฒนาพันธุ์ไม้ที่เก่งกาจอย่างแน่นอน และสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากธุรกิจไม้ประดับที่ผมได้ออกแบบไว้ ความรวยไม่มีทางหนีผมไปไหนอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ผมได้พบกับธรรมะก่อนความฝันของผมจึงไม่มีทางเป็นจริง
ความอยากรวยไม่มีวันชนะธรรมะเลย ความอยากได้อยากมี ความฝันใดๆล้วนพ่ายแพ้ต่อธรรมะทั้งสิ้น มันแหลกสลายลงตรงหน้าผม ไม่เหลือเชื้อให้สานต่ออีกเลย
ถ้าวันนั้นผมได้ที่ผืนนั้นก่อนจะพบกับธรรมะ ก็จะไม่มีผมในวันนี้ ไม่มีทางที่ผมจะได้มีเวลามาเขียนบทความเหล่านี้ เพราะคงจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับการจดบันทึกและพัฒนาพันธุ์ไม้ กลายเป็นพ่อค้าไม้ประดับที่ขายในประเทศและส่งออกคนหนึ่ง กลายเป็นคนรวยคนหนึ่งในมุมเล็กๆมุมหนึ่งบนพื้นที่เล็กๆแห่งหนึ่งของประเทศไทย
แล้วมันจะมีความหมายอะไร มันมีคุณค่าอย่างไร ในเมื่อคุณค่าของคนนั้นคือการเสียสละ การแบ่งปัน การไม่เห็นแก่ตัว การที่ผมรวยนั้นจะทำให้ศักยภาพหรือคุณค่าในตัวของผมไม่สามารถแสดงออกได้เหมือนทุกวันนี้ เพราะทุกวันนี้ผมได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่เลิศกว่า การที่ผมได้ถ่ายทอดบทความเกี่ยวกับชีวิตออกมามากมาย ยิ่งสร้างคุณค่าให้กับชีวิตผมมากขึ้น ผมกลับยินดีในชีวิตแบบนี้มากกว่าที่จะไปรวยในแบบที่เคยฝัน
– – – – – – – – – – – – – – –
15.12.2557
เพราะคิดว่าจะรวยไง แค่นั้นก็กิเลสล่ะ
ถ้าปลูกด้วยรักมีความสุขที่จะอยู่กับมันดิ
เอาเงินมาซื้อความสุขมันผิดแต่แรกล่ะ
อ้างธรรมะอะไรไปทั่ว
รวยแล้วก็ทำบุญได้ครับ ความรวยก็จะเป็นแค่ผลข้างเคียงของการรักไม้ ความรวยไม่ไช่จุดหมายสุดท้ายครับ
การที่คุณรวย ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถหันเหเข้าธรรมะได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกสามารถบูรณาการเข้าหากันได้ เพราะทุกสิ่งกำเนิดจากความว่างเปล่า วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ กฎแห่งกรรมกับหลักเหตุและผล ความรวยนั้นทำให้สิ่งที่เราเป็นอยู่ถูกขยายใหญ่ขึ้น หากท่านรักในธรรมะ ท่านก็จะกลายเป็นนักธรรมที่ทรงอิทธิพลเมื่อรวยแล้ว ดังนั้น ที่เอาความรวยไปเทียบค่าเท่ากับความซวยนั้นไม่สมเหตุสมผล สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่การกระทำและเจตนาของท่านมากกว่า จะดีกว่ามั้ยหากท่านสามารถที่จะรวยด้วยการปลูกแคกตัสและมีความสุขกับการศึกษาธรรมะไปด้วย อย่ายึดติดกับสิ่งใดเพียงหนึ่ง แต่จงเข้าใจในทุกสิ่งและยอมรับมัน
มีคนมากมายที่ทำธุรกิจและอาศัยหลักธรรมะในการสร้างประโยชน์ให้กับโลก ไม่ใช่ว่าเส้นทางที่ท่านเลือกไม่ดี แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเราสามารถอยู่กับหลายๆ สิ่งได้อย่างมีความสุข
ขอเป็นเสียงส่วนน้อยจากกระทู้ทั้งหมด —- การที่ทุกกระทู้ตอบ ท่านผู้เขียนก็ไม่ได้ผิดนะคับ ทำความเข้าใจกันอ่าน และ การที่มีคนมาเขียนให้ท่านอ่านกับสิ่งที่เค้าเข้าใจและรู้สึก ผู้เขียนเค้าก็ไม่ได้ผิด ถ้าท่านยังไม่เคยสัมผัส ไม่เคยยืนอยู่ตรงจุดที่ผู้เขียนเค้ายืน อย่าไปสรุปและสอนใครเลยคับ เพราะในขณะที่ท่านตำหนิผู้เขียนนั้น ท่านคิดว่าท่านเข้าใจธรรมะมากกว่า รู้ความเป็นจริงมากกว่า แต่ไม่ลองมองอีกด้านที่คุณไม่รู้บ้างหรอว่า????? ท่านอาจจะเข้าใจธรรมะ น้อยกว่าผู้เขียน (เพราะจุดที่ผู้เขียนๆพวกท่านก็ไม่เคยสัมผัส แต่ผมไม่ได้หมายถึง ผู้เขียน เข้าใจถูกต้องทั้งหมดนะคับ ออกตัวก่อน แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้ ผู้เขียน เดินค้นสัจจะธรรมะ **อีก1เรื่อง เรื่องเงินกับความรวย เมื่อท่านรวย ท่านหลีกหนีกิเลสที่มากขึ้นไม่ได้แน่เพราะเราท่านเป็นแค่ปุถุชน กิเลสยอมหนา มันเป็นหนทางแห่งการเสื่อม คล้ายๆกับเมื่อท่านมีอำนาจ ยิ่งมากขึ้นๆ ท่านก็จะหลงไหลกับมัน และบ้าอำนาจ ลืมตัวมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่คน แต่สุดท้ายก็ ลืมตัวทุกคน ยกตัวอย่างนะคับ ถ้าท่านรวยขึ้นมา ซื้อรถแพงๆสักคัน ขับไปบริษัทตัวเองทุกวัน อยู่มีคนบอกให้นั่งรถเมล์ ไปทำงานท่านจะทำตามไหม นั้นไง ท่านลืมตัว หลงไปแล้วกับข้าวของเงินทอง ปล.ผมไม่รู้จักกับผู้เขียน และไม่ใช่ผู้เขียนนะคับ
เขียนได้ถูกใจมากเลย อ่านบทความของผู้เขียนเค้าแล้วน้ำตาจะไหล ปลื้มมาก ๆ เค้าเขียนให้ได้สองแง่ แต่พออ่านคอมเม้นท์ข้างบนแล้วน่าเสียใจที่ยังมีคนเข้าไม่ถึงสิ่งที่ผู้เขียนจะสื่อแถมยังตำหนิเค้าอย่างว่าอีก คนเรายิ่งรวยยิ่งหยุดไม่ได้ ถ้าผู้เขียนรวยเค้าอาจจะยังเสียเวลาอยู่ตรงนั้น ความสุขไม่อาจทำให้คนหันออกมาหาสัจธรรมความจริงของชีวิตที่จริง ๆ แล้วมีความทุกข์รออยู่เบื้องหน้าทุกคน แต่น้อยคนที่จะมองเห็น ยังมัวเสียเวลาสั่งสมความสุข จนกระทั่ง พบสัจธรรม เกิด แก เจ็บ ตาย แบบตั้งตัวไม่ทันแล้วก็วนเวียนไปใหม่ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจะได้มีโอกาสมาเป็นมนุษย์อีกเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพราะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก เป็นสถานะที่มีโอกาสได้บำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้นได้มากที่สุด ถ้าเราเข้าใจธรรมมะตามแนวที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็จะเข้าใจ เดินทางไม่เสียเวลา จะรวยแค่ไหนมันก็แค่สิ่งที่เราสร้างขึ้นและต้องละเมื่อต้องตาย อยู่แบบพอเีพียงไม่ต้องมีสมบัติอะไรให้เสียดายเวลาตายก็จะได้ไปอย่างสงบ
การคิดจะทำโน่นนี่แล้วรวยก็เหมือนเกมส์ปลูกผัก เล่นจนติดงอมแงม จากพื่นที่ว่างหาอะไรมาปลูกมาขายสั่งสมเงินไว้ซื้ออุปกรณ์ใหม่ ๆ เรื่อย ๆ พอถึงวันนึงที่ต้องเลิก ก็ต้องเคลียร์ทุกอย่างหมดเหลือแต่พื้นที่ว่าง พอถึงจุดที่ว่างแล้วจะรู้สึกว่าเบาสบายโล่งไปเลย การมีธุรกิจเจริญไปเรื่อย ๆ เหมือนจะมีความสุขแต่ที่จริงแล้วมันเป็นการถืออะไรหนัก ๆ ไปเรื่อย ต่อเมื่อวางลงจะพบความสุขที่เหนือกว่า มีเวลาทำประโยชน์ให้คนรอบข้างและสังคมกว่า ผู้เขียนกับคนอ่านระยะทางการเดินทางอาจจะสั้นยาวต่างกัน บางคนเพิ่งเดิน บางคนมาไกลแล้ว
ลืมไปคับ แล้วการที่ผู้เขียนๆเรื่องนี้ขึ้นมา การที่เค้าเลิกขายเลิกทำแคคตัส พวกเราท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรไม่ใช่หรอคับ ฝากไว้คิดกันด้วยคับ อ่านบทความที่เค้าเขียนก็พอ แล้วเก็บไว้ว่าเคยอ่าน เผื่อวันใดตัวเราไปถึงจุดนั้นบ้าง (ถ้ามีบุญมากพอนะ) มันจะคล้ายๆกับเราตอนรู้คำเฉย จะมีเสียงดังออกมาว่า อ๋อ……..เข้าใจละ?
แล้วแต่มุมมอง และเลือกว่า อะไรจะทำประโยชน์ได้มากกว่ากัน/การเลิกเลี้ยงแคสตัสก็ดีไปอีกแบบ แต่ถ้าคิดว่าการเลี้ยง(ตามที่ได้วางแผนไว้)จริงก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง อาจจะต่อยอด รับสอนเป็นวิทยาทาน สอนคนให้เกิดอาชีพ มีการจ้างแรงงาน บริหารจัดการด้วยคุณธรรมก็มีประโยชน์ อย่างที่ “สัมมาอาชีพ” เช่นกัน
ถ้าเป็นหนูคงทำสวนแคตตัสค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยลดโลกร้อน หรือเก็บไว้ส่งต่อให้คนที่รัก ธรรมมะกับต้นไม้เข้ากันสุดๆ รวยไม่รวยค่อยว่ากัน ดีใจด้วยนะคะเจ้าของบทความที่คุณได้มีความฝัน……
ได้แง่คิดดีจังทั้งบทความและความคิดเห็น
อยากขอบคุณผู้เขียนที่ให้ความรู้โดยเฉพาะในด้านความรักทำให้ดิฉันได้คำตอบกับชีวิตมากขอเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้ทำกุศลนี้ตลอดไปเลยค่ะ