Tag: แคคตัส

รวยเท่ากับซวย #5

December 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 7,798 views 11

รวยเท่ากับซวย #5

รวยเท่ากับซวย #5

…แบ่งปันประสบการณ์ ถ้าเร็วกว่านี้ก็คงจะรวย(ซวย) ไปแล้ว

หากวันนั้นผมได้รับโอกาสบางอย่างในเวลาอันเหมาะควร ในวันนี้ก็คงจะไม่มีบทความเหล่านี้จากคนคนนี้อย่างแน่นอน…

เมื่อหลายปีก่อนผมใช้เวลาทุ่มเทอยู่กับการศึกษาแคคตัสและไม้อวบน้ำ ผมมีทักษะมากมาย การผสมเกสร การเพาะเมล็ด การปลูก การตัดต่อฯลฯ เป็นทักษะที่ผมฝึกไว้อย่างเชี่ยวชาญเผื่อว่าวันใดวันหนึ่งที่ผมจะได้ไปทำสวนแคคตัส สร้างรายได้จำนวนหนึ่งไว้เลี้ยงชีวิต เป็นรายได้ที่คำนวนออกมาคร่าวๆแล้วอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่ารวย เพราะเล็งไว้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับทักษะทางด้านบริหารและนิสัยในการสังเกต จดบันทึก และทดลองในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ทำอยู่ จึงทำให้ผมประเมินว่าถ้าผมได้พื้นที่ทำสวนแคคตัส ความรวยคงไม่หนีผมไปไหนอย่างแน่นอน

แต่ในความจริงแล้วผมยังอยู่บ้านในเมืองกรุง บ้านที่มีพื้นที่ปลูกไม่มากเท่าไหร่ และยังไม่มีที่ไหนที่จะมารองรับความฝันของผมเลย วันเวลาผ่านเลยไปจนกระทั่งวันหนึ่งพ่อได้มอบที่ดินกว่า 5 ไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพให้ผมได้ใช้ตามใจชอบ

ในช่วงแรกผมเองยังมีความคิดจะเลี้ยงตัวเองและทำสวนแคคตัสอยู่ แต่เมื่อพัฒนาที่ดินไป ออกแบบไป สวนแคคตัสที่เคยฝันไว้ก็เล็กลงเรื่อยๆ จาก 1 ไร่ เหลือ 200 ตารางเมตร จนกระทั่งสุดท้ายไม่เหลือพื้นที่ให้ใจผมเลี้ยงแคคตัสอีกต่อไป นั่นเพราะผมบังเอิญพบกับธรรมะเสียก่อน ผมตัดสินใจเชื่อธรรมะไปก่อนจะได้ที่ดินแปลงนี้แล้ว เมื่อได้ที่มาแล้วแม้ว่าความฝันเดิมๆที่อยากรวยมันจะยังมีอยู่ แต่มันก็โดนธรรมะค่อยๆทำลายไปเรื่อยๆจนไม่เหลือซาก ไม่เหลือแม้แต่ธุลีความอยากมีสวนแคคตัส ไม่เหลือแม้แต่ความอยากรวยในจิตใจ

ถ้าหากว่าผมได้ที่ผืนนั้นก่อนจะพบกับธรรมะ ผมเชื่อมั่นว่าตนเองต้องเป็นนักพัฒนาพันธุ์ไม้ที่เก่งกาจอย่างแน่นอน และสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากธุรกิจไม้ประดับที่ผมได้ออกแบบไว้ ความรวยไม่มีทางหนีผมไปไหนอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ผมได้พบกับธรรมะก่อนความฝันของผมจึงไม่มีทางเป็นจริง

ความอยากรวยไม่มีวันชนะธรรมะเลย ความอยากได้อยากมี ความฝันใดๆล้วนพ่ายแพ้ต่อธรรมะทั้งสิ้น มันแหลกสลายลงตรงหน้าผม ไม่เหลือเชื้อให้สานต่ออีกเลย

ถ้าวันนั้นผมได้ที่ผืนนั้นก่อนจะพบกับธรรมะ ก็จะไม่มีผมในวันนี้ ไม่มีทางที่ผมจะได้มีเวลามาเขียนบทความเหล่านี้ เพราะคงจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับการจดบันทึกและพัฒนาพันธุ์ไม้ กลายเป็นพ่อค้าไม้ประดับที่ขายในประเทศและส่งออกคนหนึ่ง กลายเป็นคนรวยคนหนึ่งในมุมเล็กๆมุมหนึ่งบนพื้นที่เล็กๆแห่งหนึ่งของประเทศไทย

แล้วมันจะมีความหมายอะไร มันมีคุณค่าอย่างไร ในเมื่อคุณค่าของคนนั้นคือการเสียสละ การแบ่งปัน การไม่เห็นแก่ตัว การที่ผมรวยนั้นจะทำให้ศักยภาพหรือคุณค่าในตัวของผมไม่สามารถแสดงออกได้เหมือนทุกวันนี้ เพราะทุกวันนี้ผมได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่เลิศกว่า การที่ผมได้ถ่ายทอดบทความเกี่ยวกับชีวิตออกมามากมาย ยิ่งสร้างคุณค่าให้กับชีวิตผมมากขึ้น ผมกลับยินดีในชีวิตแบบนี้มากกว่าที่จะไปรวยในแบบที่เคยฝัน

– – – – – – – – – – – – – – –

15.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เมื่อของสะสมกลายเป็นภาระ

October 4, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 9,778 views 6

เมื่อของสะสมกลายเป็นภาระ

เมื่อของสะสมกลายเป็นภาระ

เมื่อใช้ชีวิตกันมาจนถึงวันนี้ หลายคนก็คงจะมีของสะสมที่ตนเองรักและหลงใหลกันไม่มากก็น้อย เรามักจะใช้เวลาเสพสุขอยู่กับการสะสมรวบรวมสิ่งที่เราชอบ จนกระทั่ง….ความตายได้มาถึง

ความตายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเสียชีวิตไปเท่านั้น แต่หมายถึงสภาพที่พรากจากความรู้สึกนั้น พรากจากสิ่งนั้น หรือกิเลสนั้นได้ตายไปจากเราก็ได้

แต่ก่อนผมเองก็เป็นคนที่ชอบสะสมของอยู่มากเหมือนกัน ที่พอจะนำมายกตัวอย่างได้ก็คงจะเป็นกระบองเพชร หรือที่เรียกกันว่า แคคตัส ผมเองเคยชอบกระบองเพชรมาก ชอบทดลองใช้วิธีต่างๆในการเลี้ยง ดูแล ผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์ จนสร้างความรู้ใหม่ๆมากมายให้กับตัวเองและนำความรู้ไปพิมพ์บทความเผยแพร่ได้อีกด้วย

ผมเคยฝัน เคยหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะประกอบธุรกิจด้วยกระบองเพชร และไม้ประดับชนิดอื่นๆที่ได้ศึกษามา ใช้เวลากับการขายสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ สิ่งที่ตัวเองถนัด และสิ่งที่ตัวเองชอบ ดูไปแล้วก็เหมือนจะเป็นงานในอุดมคติ เป็นงานในฝัน เป็นงานที่ดูเหมือนจะไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต เพราะทำงานอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ และตลาดก็มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความรู้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ขาดแต่ปัจจัยคือสถานที่ปลูก

ต่อมาไม่นานนัก ชีวิตผมก็มีโอกาสศึกษาธรรมะมากขึ้น ปฏิบัติธรรมมากขึ้น จนเข้าใจชีวิตมากขึ้น ความฝันในวันวานที่พึ่งผ่านมาไม่กี่ปี กลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปในทันที ความรู้สึกรักหรือสนใจ ในการทำธุรกิจไม้ประดับนั้นค่อยๆ จางคลาย ถอยห่างจากชีวิตผมไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งความรู้สึกยินดีในธุรกิจเหล่านั้นได้ตายลงอย่างสนิท ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะขายต้นไม้อีกเลยแม้ว่าในตอนนี้ผมจะได้รับพื้นที่ปลูกที่กว้างใหญ่ แต่ผมกลับเลือก…ที่จะไม่ทำสิ่งนั้นอีก

…แล้วต้นไม้ที่เพาะไว้มากมายทำอย่างไร…

เมื่อความอยากนั้นได้จางคลายและตายจากไป สิ่งที่เคยสะสมไว้กลับกลายเป็นภาระในที่สุด จากที่เคยเป็นของมีค่า แต่ตอนนี้กลับไร้ค่าในสายตาของผม ปริมาณของมันมากเหลือเกิน ผมปล่อยมันตายไปตามธรรมชาติบ้าง เอาไปขายแบบลดแลกแจกแถมบ้าง เอาไปทำปุ๋ยบ้าง เอาไปปลูกที่ต่างจังหวัดบ้าง หาวิธีให้มันกระจายออกจากบ้านที่กรุงเทพฯเพื่อที่จะให้ภาระนี้ได้หมดไป

การกำจัดภาระนี้กลายเป็นเรื่องยาก เพราะถ้าแจกแบบไม่ดูตาม้าตาเรือก็จะกลายเป็นการเพิ่มกิเลสให้คนอื่น จะขายก็ลำบากลำบน เพราะใจมันไม่เอาแล้ว ใจมันไม่ได้รักเหมือนก่อน ทำไปก็มีแต่ความรู้สึกทุกข์ที่เกิดจากการกำจัดภาระเหล่านี้ กว่าที่ผมจะคิดวิธีแจกจ่ายออกไปได้อย่างเหมาะสมก็ใช้เวลาหลายเดือน

ความรู้สึกมันเหมือนกับคนที่หมดรัก ให้ดีอย่างไร แม้จะเคยชอบ เคยหลงอย่างไรก็ไม่เอาแล้ว แต่ก่อนมันหลงด้วยกิเลส แต่ตอนนี้กิเลสมันจางหาย และตายลงไป พอเห็นความจริงตามความเป็นจริงก็เลยรักมันไม่ลง เพราะรู้แล้วว่ายิ่งทำ ยิ่งเก็บ ยิ่งสะสม ปล่อยไว้ต่อไปก็จะกลายเป็นภาระ เป็นโทษ เป็นภัยกับตัวเองมากขึ้น

กระบองเพชรได้เข้ามาสอนให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง หลายขั้นตอนเป็นงานที่ละเอียด เช่นการต่อกิ่ง ซึ่งทำให้ผมได้พัฒนาทั้งสมาธิ และวิธีการคิดว่าควรจะทำอย่างไร การรู้จักกับกระบองเพชรนั้นทำให้ผมเป็นคนละเอียด รอบคอบ และประณีตขึ้นมาก

แต่ในตอนสุดท้าย ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงแค่การเรียนรู้ครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้น หลังจากนี้เราก็จะได้เรียนรู้อีกสิ่งคือวิธีการปลดเปลื้องภาระนี้ออกไป เราเรียนรู้ที่จะสะสมจนกระทั่งเลิกที่จะสะสมและแจกจ่ายมันออกไป แต่ผมก็ยังมีความรู้ที่สามารถแจกจ่ายออกไปได้ถ้าใครสนใจ แต่ถ้าจะให้เลือก ผมก็อยากจะเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า เพราะความรู้เหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์เลย

การสะสมมีแต่จะสร้างภาระ สร้างทุกข์ให้กับชีวิต ไม่ว่าเราจะสะสมอะไรก็ตาม เราต้องลำบากหามันมา ลำบากบริหารมัน ลำบากในการรักษามันไว้ แถมยังต้องเอาเวลาในชีวิตไปเสียให้กับสิ่งนั้น ไม่ว่าเราจะสะสมเงิน หนังสือ ต้นไม้ ของเล่น ตุ๊กตา หุ้น ฯลฯ หรือแม้แต่ความรู้ที่ไม่ได้พาพ้นทุกข์ ที่ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งพาให้หลงมัวเมา ยิ่งพาให้สะสมกิเลส นอกจากจะเป็นภาระแล้วยังเป็นภัยอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการสะสมเชิงรูปธรรมหรือนามธรรมก็เป็นภาระให้กับชีวิตของเราได้

แต่ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นสิ่งนั้นเป็นภาระหรือไม่ เห็นมันเป็นทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่อชีวิตหรือไม่ ถ้าเรายังมอมเมาตัวเองไปด้วยความอยาก ยอมปิดตาเพื่อที่จะได้เสพสมใจกับสิ่งที่เราสะสม เราจะไม่มีวันเห็นมันเป็นภาระเลย

และถ้าหากวันใดที่เราได้ลองเรียนรู้เกี่ยวกับความอยากของตัวเอง ได้รู้จักกิเลสของตัวเอง ได้ขุดค้นไปถึงรากของกิเลสของตัวเองและเรียนรู้ที่จะลด ละ เลิกที่จะครอบครองกิเลสนั้น หรือฆ่ากิเลสเหล่านั้นเสีย เราก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นบางสิ่งตามความเป็นจริง เห็นและเข้าใจมันอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นถึงคุณค่าในการมีอยู่ของมันโดยที่ไม่ได้รักเหมือนก่อน แต่ก็ไม่ได้เกลียดหรือผลักไสสิ่งนั้น

สุดท้ายเราจะพิจารณาได้เองว่าการสะสมหรือครอบครองสิ่งเหล่านั้น เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นความสุขแท้หรือความสุขลวงๆ เป็นสิ่งที่โลกมอมเมาพาให้หลงหรือเป็นสาระแท้ในชีวิตที่ควรยึดอาศัย เราจะสามารถเลือกได้ตามความเป็นจริง ใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไม่มีอคติหรือลำเอียง ไม่ชอบไม่ชัง ไม่รักไม่เกลียด

เมื่อถึงภาวะนี้แล้วก็จะรู้เองว่าสิ่งใดคือ…ภาระ

– – – – – – – – – – – – – – –

3.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์