ข้อคิด

สร้างความเจริญ ด้วยการเลิกรับใช้คนชั่ว

July 20, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,017 views 0

การรับใช้คนชั่ว คนไม่ดี หรือคนผิดศีล ก็เป็นมิจฉาอาชีวะ หรือมีความเป็นมิจฉาชีพอยู่ เพราะยังติดอยู่ในข้อที่ว่า “มอบตนในทางที่ผิด” คือไปยอมรับใช้คนไม่ดี ที่ไม่พาไปพ้นทุกข์นั่นแหละ

แต่ชีวิตนี่มันก็ไม่ได้ง่ายรู้ดีรู้ชั่วได้ทั้งหมดได้ในทันที เราจะต้องเรียนรู้โดยลำดับ ในตอนแรก ๆ บางสิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นภัยขนาดนั้น แต่พอภูมิธรรมพัฒนาเพิ่มขึ้นกลับมองว่ามันเป็นภัยมาก

อีกทั้งคนเรายังมีวิบากกรรมเป็นตัวส่งผล ให้ถูกขังอยู่กับคนชั่ว เวลาวิบากขัง มันจะมืดบอด มีความลำเอียง ดีไม่ดีเข้าข้างคนชั่วอีก

ซึ่งเราก็ต้องอาศัยการทำดีไปเรื่อย ๆ จึงจะรู้ชัดขึ้น โดยอาศัยการทำดีกับคนที่เรามั่นใจที่สุด ศรัทธาที่สุด แล้วทำให้เต็มที่ ผลจะเกิด มันจะมีเหตุให้เห็นความจริง ถ้าเขาเป็นคนผิดศีลเน่าใน เราจะได้รู้อย่างชัดเจน

ผมก็เคยมีประสบการณ์รับใช้คนชั่วมาก่อน บอกเลยว่าชีวิตมีแต่ตกต่ำ ลาภสักการะหายหมด เหมือนปลูกพืชแล้วไม่มีผล เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่าสงฆ์คือนาบุญ ส่วนคนที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

พอเราไปทำดีกับคนที่ไม่ใช่นาบุญ เป็นนาบาป จึงไม่มีผลมาก มีอานิสงส์น้อย แถมยังไปส่งเสริมบาปเขาอีก เอาง่าย ๆ เหมือนเราเอาเงินที่เราหามาอย่างยากลำบาก เอาไปให้เด็กซื้อขนมกินหมดนั่นแหละ

ถ้าเราไปสนับสนุนหรือรับใช้คนไม่ดี คนไม่มีศีล เขาก็เอาเงิน แรงงาน เวลาของเราไปใช้กับเรื่องไร้สาระ เรื่องสะสมกิเลส มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีผลเจริญ

สรุปแทนที่เราจะเจริญได้มากในหนึ่งช่วงเวลา แต่กลับต้องเสียเวลา แรงงาน ทรัพย์ไปโดยได้ประโยชน์น้อย จริง ๆ ไม่ทำเลยจะดีกว่า การสนับสนุนคนชั่วไม่ทำเลยจะดีกว่า ดูเผิน ๆ เหมือนจะมีกำไรได้เสียสละ แต่สรุปบัญชีออกมาแล้วจะขาดทุน

หลังจากที่ผมได้หลักฐานว่าเขาเป็นคนไม่ดี ผิดศีล เราก็ถอยออกมา เชื่อไหม ชีวิตดีขึ้นคนละเรื่อง ลาภสักการะเริ่มมาให้พอมีกินมีใช้ อัตคัดอยู่เป็นปี พอพลิกใจเลิกรับใช้คนชั่ว ทุกอย่างก็พลิกหมดเลย องค์ประกอบแวดล้อมในชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

พอมีโอกาสถามย้ำกับครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้ชัดว่า ถ้าเห็นว่าเขาชั่วชัด ๆ ก็ไม่ต้องไปเอื้อหรือไปประมาณอะไรให้ยุ่งยาก คว่ำบาตรไปเลย เพราะยิ่งไปสนับสนุนคนชั่วก็จะมีแต่เพิ่มอกุศลวิบากมากเท่านั้น

ใครอยากมีชีวิตลำบากก็สนับสนุนคนชั่วคนพาลกันต่อไป และคุณจะได้รับสิทธิ์ในการชดใช้วิบากบาป คือเป็นทุกข์ เจ็บป่วย เศร้าหมอง ลำบากกาย ลำบากใจ ฯลฯ

สรุปตรงนี้ว่าการสนับสนุนคนชั่วคือการสร้างความลำบากให้ตนเอง คือความเนิ่นช้าในธรรมอย่างแท้จริง

บาปกับธุรกิจฆ่าสัตว์

July 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,741 views 0

มีคำถามมาว่า ” ที่บ้านค้าขายเกี่ยวกับหมู แต่เราไม่อยากทำแต่ก็ช่วยพ่อแม่แบบนี้จะบาปมั้ยครับมีวิธีคิดยังไงครับ”

ตอบ ถ้าไม่มีจิตยินดีในการฆ่าและกิจกรรมที่ส่งเสริมเหล่านั้นก็ไม่บาปครับ

แต่มันจะมีวิบากกรรมในส่วนของ มิจฉาอาชีวะในข้อ ยอมมอบตนในทางที่ผิด คือยอมเอาชีวิตตัวเองไปรับใช้ในกลุ่มหรือธุรกิจที่เป็นการเบียดเบียนหรือผิดศีลต่าง ๆ

ทีนี้ตัววัดมันจะอยู่ตรงที่ว่า ใจเรายินดีหรือเราโดนบังคับ จำใจ หาทางออกไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างหลังก็ไม่บาป มันเป็นสภาพโดนบังคับ เป็นช่วงที่อกุศลวิบากกำลังส่งผล ตามที่เราเคยไปส่งเสริมกิจกรรมที่ไม่ดีมามากในชาติก่อน ๆ แล้วมันสะสมผล พอถึงเวลาที่เราจะออก มันจะออกไม่ง่ายเหมือนใจคิด มันจะตัน มันจะคิดไม่ออก มันจะมองไม่เห็นทาง ได้แต่ก้มหน้าทำรับใช้กรรมไป

วิธีคิดที่แนะนำอย่างแรกคือ ยอมรับกรรม ยอมรับว่าเราก็เคยส่งเสริมมา และเราก็ยังมีส่วนเอื้อให้เกิดกิจกรรมนั้นอยู่ เวลาวิบากกรรมมันส่งผล เราจะหนีหรือจะปลีกตัวออกไม่ได้ ไม่ว่าทั้งดีทั้งร้าย เราก็ต้องรับ ดังนั้นในเมื่อยังไงก็ต้องรับ ก็รับด้วยความเบิกบาน รับด้วยความเข้าใจว่าเราทำชั่วสะสมมามาก การรับกรรมก็เหมือนใช้หนี้ ใช้แล้วก็หมดไป ได้ใช้หนี้ไปแต่ละวันหนี้ก็หมดไปเรื่อย ๆ ก็ทนทำไปด้วย ศึกษาเรื่องกรรมไปด้วย จะเข้าใจมากขึ้น ทำให้เบาใจขึ้นโดยลำดับ

ส่วนที่สองคือการเร่งชำระหนี้ ถ้าเราไม่ได้ทำดีมาก ไม่ได้มีศีลมาก เราก็เหมือนลูกจ้างค่าแรงต่ำ เขาใช้เงินไม่กี่ร้อยก็จ้างได้แล้ว หากว่าเราเป็นหนี้สักร้อยล้าน เขาก็จ้างเราได้ทั้งชีวิต

แต่ถ้าเรามุ่งทำดีมาก ๆ มีศีลมาก ทำใจให้ผ่องใสได้โดยลำดับ ไม่เบียดเบียนคนอื่นสัตว์อื่น มีน้ำใจช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กตัญญูผู้มีพระคุณ ค่าตัวต่อหนึ่งช่วงเวลาของเราจะเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทำดีมาก ๆ อาจจะเป็นค่าตัววันละล้าน แค่ร้อยล้าน 3 เดือนก็จ่ายหมด

ที่ยกตัวอย่างมานี้คือการเปรียบเทียบให้เข้าใจเรื่องบารมี คือถ้าเราเป็นคนทั่ว ๆ ไป ค่าตัวก็ถูกเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราเป็นคนมีชื่อเสียง ค่าตัวก็แพง ในทางธรรมก็เหมือนกัน แต่ความแพงนั้นไม่ใช่เงิน สิ่งที่ต้องจ่ายคือการบำเพ็ญความดีหรือกุศลวิบาก

เช่น ผู้ที่ถวายอาหารมื้อแรกและมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ที่มีอานิสงส์มาก ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้มาถวาย มันต้องเป็นนางสุชาดาในมื้อแรก และนายจุนทะในมื้อสุดท้ายเท่านั้น ทั้งสองท่านต้องทำกุศล สร้างบารมีสะสมมามาก ถึงจะได้สิทธิ์นั้น

หรือกรณีพระเทวทัต ก็เกิดจากบาปที่พระพุทธเจ้าเคยไปฆ่าน้องชายต่างแม่มาเมื่ออดีตชาติอันไกลโพ้น แต่ผลวิบากนั้นก็ยังไม่หมด แต่ถึงที่สุดพระเทวทัตก็จะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้สูงสุดตามที่พระพุทธเจ้าต้องรับส่วนของวิบากกรรมในชาตินี้ จะทำร้ายไม่ได้มากเท่าที่ใจคิด เช่น คิดจะกลิ้งหินลงมาทับให้ตาย ผลสุดท้ายทำได้เพียงแค่ให้ท่านห้อเลือด

การจะเข้าถึงคนที่ดีมาก ๆ จำเป็นจะต้องทำความดีมามากด้วย เช่นเดียวกันกับการที่เราจะหนีจากสิ่งไม่ดี เราก็ต้องทำดีมาก ๆ เพื่อที่จะให้คนที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรานั้น มีอัตราส่วนเป็นคนดีมีศีลเป็นส่วนมาก หรือเจอสิ่งดีมากกว่าสิ่งร้าย หรือเจอสิ่งร้ายไม่นานก็กลับมาดี

การเข้าถึงนรก

July 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,788 views 0

วันก่อนแชร์เรื่องที่เขาเอาหมูไปต้มแบบเป็น ๆ แล้วมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “นรก..” ก็มีคนถามว่า ” นรก คือการที่จิตตกลงไปเกิดใหม่ในสภาพนี้หรือเปล่า”

ก็ตอบว่า ใช่

นรกคือ จิตที่เกิดสภาพเป็นทุกข์ เดือดร้อนกายใจ ไม่ว่าจะสวมเนื้อหนังแบบใด แต่ถ้าจิตเข้าถึงความทุกข์ร้อนกระวนกระวาย ก็คือจิตไปเกิดในนรก

การเข้าถึงนรก ก็ไม่ใช่แค่ว่าต้องตายจากโลกนี้ไปแล้วไปนรก สภาพของนรกนั้นเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ก็ตามแต่วิบากกรรมของแต่ละคน บางคนก็นรกน้อย บางคนก็นรกมาก ลึกตื้นหนาบางไปตามกรรมกิริยาที่ทำมาและกำลังทำอยู่

นรกคือความเดือดเนื้อร้อนใจ การเดือดเนื้อ หรือเนื้อเดือดอย่างหมูที่ถูกต้มทั้งเป็น ก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ แต่อาการร้อนใจนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ กำจัดให้หมดไปได้

ดังนั้นศาสนาพุทธจึงมุ่งดับความร้อนใจ อันเป็นนรกเผาใจให้ทุกข์ร้อน และฝึกฝนปฏิบัติเพื่อปรับใจให้ยินดีเต็มใจรับความเดือดเนื้อ ลำบากกาย ด้วยเหตุแห่งวิบากกรรมด้วยความเต็มใจ

เพราะกรรม ทำแล้วจะไม่ส่งผลเป็นไม่มี กรรมทำแล้วต้องรับผลกรรม หนีไม่ได้ แถมมันไม่ต่อรองกับเราอีกต่างหาก ถึงเวลาวิบากกรรมชั่วส่งผล ก็จะมีแต่ทุกข์ร้อนเหมือนตกนรก นั่งห้องแอร์เย็นฉ่ำแต่ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุขก็มี

สรุปก็คือ นรกคือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเอง ถ้าไม่อยากตกนรก ก็เลิกสร้างเหตุแห่งนรก คือความเบียดเบียนทั้งหลาย ทางกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น

การไปเกิดเป็นเดรัจฉาน

July 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,808 views 0

ก็มีคำถามในแชร์โพสที่เขาต้มหมูทั้งเป็นประมาณว่า “ผู้​ทุศีล​ก็ต้องตกไปเกิด​เป็น​เดรัจฉาน​ได้​ใช่ไหม

ก็ตอบว่า ใช่

ซึ่งอ้างอิงจากโลหิจจสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า มีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน”

คนที่มักทุศีล คือผิดศีล เน่าใน หรือคนไม่มีศีล ก็คือไม่มีสัมมาทิฏฐิ นั่นหมายถึงเขาเหล่านั้นเป็นมิจฉาทิฏฐินั่นเอง เมื่อมีความเห็นผิด ทางไปก็มีแต่นรกหรือเกิดเป็นเดรัจฉานเท่านั้นเอง

ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเนื้อ เป็นแก่นในจิตวิญญาณ ซึ่งจะเป็นเจริญไปตามลำดับตามความพากเพียรในการปฏิบัติธรรม

ในเบื้องต้นก็ศีล ๕ ต่อไปก็ ๘ ๑๐ วินัยก็เป็นอีกส่วนของนักบวช แต่ตัวปฏฺิบัติ คือศีล

ศีลกับวินัยนั้นแตกต่างกัน ศีลคือข้อปฏิบัติเพื่อฝึกฝนให้เกิดความเจริญ วินัยคือกฏข้อบังคับ ซึ่งอาจจะมีบางข้อที่ทับซ้อนกันบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นข้อควรปฏิบัติ

คนที่เขาเห็นผิด เขาก็จะไม่เอาศีล ไม่เอาศีลนำ ไม่เอาศีลตั้ง ไม่เอาศีลเป็นหลักชัย ไม่เอาศีลเป็นตัวปฏิบัติ เมื่อศีลคือหลักปฏิบัติ แล้วไม่ปฏิบัติตามศีล เขาก็ปฏฺิบัติตามหลักตัวเองนั่นแหละ ซึ่งพอไม่ปฏิบัติตามหลักพุทธ มันก็ไปนอกพุทธ ก็เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติไปก็ไม่พ้นทุกข์ เห็นผิด พาหลง ไปนรก เข้าถึงความเป็นเดรัจฉานเป็นผลในที่สุด