ความรัก
เราควรที่จะมีแง่คิดในเรื่องของความรักเป็นอย่างไร?
ถาม : เราควรที่จะมีแง่คิดในเรื่องของความรักเป็นอย่างไร?
ตอบ : ในศีลข้อ 1 ภาคขยาย ได้กล่าวถึงประโยคที่ว่า มีความเมตตา มีความเกื้อกูล หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย อันนี้คือแง่คิดที่เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นมากที่สุด เบียดเบียนน้อยที่สุด ความรักที่มีสภาวะเช่นนี้จะบาง เบา แต่กว้าง และลึกซึ้ง ไม่เหมือนความรักทั่วไป ที่หนัก(ใจ) (กิเลส)หนา แคบ(มักจะเกื้อกูลได้แค่วงแคบ ๆ เช่น คู่ครอง ลูก ฯลฯ) และไม่ลึกซึ้ง (เป็นความรักเสมอสัตว์ทั่วไป ไม่ประเสริฐ ไม่แปลก ไม่พิเศษ เป็นโลกีย์ทั่วไป)
เราไม่ควรที่จะมีความรักระหว่างหญิงชายอย่างนั้นหรือ?
ถาม : เราไม่ควรที่จะมีความรักระหว่างหญิงชายอย่างนั้นหรือ?
ตอบ : มีความรักในสิ่งใด ก็จะต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น ไม่ว่าจะคู่รัก ครอบครัว ประเทศหรือแม้กระทั่งรักในความเชื่อถือของตน ถ้าตอบตามแนวทางของพุทธ สภาพของการหลงรักก็คือสภาพของโมหะ หรือความหลง ในมุมของเป้าหมายในการปฏิบัติถือว่าไม่ควร แต่ในการปฏิบัติจะต้องเป็นไปตามลำดับคือ ค่อย ๆ ละ ความยึดมั่นถือมั่นไปโดยลำดับ เพราะแต่ละคนมีอินทรีย์พละไม่เท่ากัน จึงทำให้เข้าถึงธรรมได้ไม่เสมอกัน คนจะเข้าถึงสภาพที่พ้นจากความหลงรักได้โดยลำดับ ตามที่เขาได้ตั้งใจปฏิบัติ ดังนั้นการละเว้นจากความรักชายหญิงจึงเป็นเป้าหมายที่ควรปฏิบัติ ส่วนใครจะเข้าถึงสภาพที่ละหน่ายคลายได้อย่างผาสุก เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
จะเป็นโสดหรือมีคู่ ก็มีสุขทุกข์เหมือนกัน จริงหรือไม่?
ถาม จะเป็นโสดหรือมีคู่ ก็มีสุขทุกข์เหมือนกัน จริงหรือไม่?
ตอบ ไม่จริง
ในสมัยพุทธกาล เคยมีชาวบ้านมาเถียงพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกันในประเด็นนี้ ชาวบ้านมาอวดภูมิว่า ถึงแม้การมีความรักจะเป็นทุกข์ แต่ก็มีสุขอยู่
พระพุทธเจ้าท่านตอบเพียงว่า ความรักนั้นมีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขอยู่เลย ชาวบ้านก็ยังเถียงอยู่เช่นนั้น สุดท้ายก็เดินหนีจากพระพุทธเจ้าไปถามความเห็นกลุ่มคนที่อยู่แถวนั้น คนกลุ่มนั้นก็เห็นด้วยกับชาวบ้านคนนั้น ก็เออออกันไปว่ารักนั้นมีทั้งสุขและทุกข์ซิ ถึงจะถูกต้อง
นั่นคือความเห็นผิดของผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ จะเห็นสภาพสองสภาพเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่มันไม่เหมือนกันเลย แต่เขาจะพยายามทำให้เหมือนกัน จะได้เป็นข้ออ้างว่า จะเป็นอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำให้มันดูธรรมดา ให้มันดูเป็นธรรมชาติไป กลบเกลื่อน ๆ ไป ให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา
ความรู้โลกีย์ก็แบบนี้ โสดก็ทุกข์แบบหนึ่ง มีคู่ก็ทุกข์แบบหนึ่ง แต่เขาไม่เข้าใจดีกรี หรือระดับของความทุกข์ที่แตกต่างกัน ก็เลยตีขลุมไปว่ามันคล้าย ๆ กัน
เพราะจริง ๆ มันไม่เหมือนกันเลย ในบทธรรมที่รู้กันโดยทั่วไปเช่น มีรัก 100 ก็ทุกข์ 100 มีรัก 1 ก็ทุกข์ 1 ไม่มีรักไม่ทุกข์เลย คนเขาจะไม่เข้าใจว่าถ้าไม่มีรัก ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก มันจะไม่ทุกข์อย่างไร
นี่คือสภาพของความลึกซึ้งของพุทธ ที่เดาเอาไม่ได้ รู้ตามได้ยาก เข้าถึงได้เฉพาะบัณฑิต ดังนั้น จะเอาความรู้โลก ๆ มาเถียง มันก็เหมือนชาวบ้านมาเถียงกับพระพุทธเจ้านั่นแหละ แม้ตัวเองจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองถูก แต่สุดท้ายมันจะไม่พ้นทุกข์ เพราะมีความคิดเห็นและปฏิบัติไปคนละทางกับที่พระพุทธเจ้าตรัส
ในความเป็นจริงแล้ว การมีคู่นั้น จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มากกว่าการอยู่เป็นโสดมากมายมหาศาลยิ่งนัก มีเหตุให้กังวลระแวงหวั่นไหวมากกว่าการอยู่เป็นโสดมากมาย
จะยกตัวอย่างเช่น เอาแค่คู่ไม่พูดด้วยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มองหน้า ระหว่างคนที่มีคู่ กับคนโสดใครจะทุกข์กว่ากัน
หรือมีคนมาพูดไม่ถูกใจ ระหว่างคนคนนั้นเป็นเพื่อนทั่วไป กับคนนั้นเป็นคู่ครอง อันไหนเราจะมีอาการขุ่นเคืองใจมากกว่ากัน
จะสังเกตว่าคนคู่มักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่คนอื่นเขาก็งงกันว่าเรื่องแค่นี้ต้องทะเลาะ ต้องงอน ต้องโกรธกัน นี่แหละคือความโง่ของคนคู่ที่มองไม่เห็นทุกข์ที่มากกว่าการอยู่เป็นโสด เพราะในความจริงมันทุกข์มากกว่า ส่วนความสุขนั้นไม่มีเลย
เพราะความสุขเหล่านั้นเกิดจากกิเลสปั้นขึ้นมาเมื่อได้เสพสมใจ เช่นเขาสวย เขาเอาใจ เขาดีกับเราแล้วสุขใจ ถ้าคนเสพติดตรงนี้เขาจะเป็นสุข แต่ถ้าคนไม่เสพติด ไม่มีตัณหา ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่หลง เขาจะไม่เป็นสุข เพราะจริง ๆ มันไม่มีรสสุข แต่คนเขลาปั้นรสสุขขึ้นมาหลอกตัวเองและผู้อื่น คือกิเลสมันหลอกอยู่ ก็เหมือนที่ชาวบ้านเถียงพระพุทธเจ้านั่นแหละ ที่เขาเห็นว่าสุขเพราะเขาหลง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามีแต่ทุกข์ เพราะท่านเห็นความจริงตามความเป็นจริง
มันก็ต่างกันแบบนี้นี่เอง ต่างกันที่ปัญญาในการมองเห็นทุกข์ สุข ในเหตุปัจจัยที่ต่างกัน
6 ปีก่อนนั้น
มีเพื่อนเก่าทักมา cap หน้าจอที่คุยกันเมื่อ 6 ปีก่อน สมัยนั้นผมยังใฝ่หาเมียอยู่เลย…
นึกย้อนไปมันก็ไม่น่าเชื่อสำหรับชีวิตที่พลิกมาขนาดนี้ ความกังวลหลาย ๆ อย่างในชีวิตหายไป โดยเฉพาะเรื่องคู่นี่แหละ
วิธีปฏิบัติแบบพุทธนี่มันวิเศษจริง ๆ ไม่มีความรู้ใดในโลกหรอกที่จะทำให้ความอยากมันจางคลายจนหายไปได้จริงแบบนี้
ชีวิตเก่ามันเหมือนฝันนะ ฝันโง่ ๆ เหมือนเราหลงกำขี้ขึ้นมาดมแล้วหลงว่ามันหอมชื่นใจนั่นแหละ
การเป็นคนโสดแบบพุทธนี่มันไม่ได้ง่ายแค่คิดว่าจะเป็นโสด หรือแค่อยู่เป็นโสดได้หรอกนะ มันต้องรบกับกิเลสเรื่องคู่ให้ชนะเสียก่อนมันถึงจะโสดยั่งยืนยาวนานถาวรและเที่ยงแท้ได้
จากสมัยก่อนต้องหาเมีย พอปฏิบัติธรรมเข้มขึ้น ไม่ต้องหาหรอก เขาจะเข้ามาเอง เข้ามาเพื่อปราบเรานั่นแหละ จะมีทั้งดี ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเก่ง อย่างที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะได้เจอกับคนแบบนี้
เรียกว่าใส่พานมาให้เลย แค่เราหยิบมากินเท่านั้นแหละ … แต่ดีนะ ยังรู้ทันว่านั่นมันขี้ ก็เลยไม่เอาไง เกือบไปแล้วเหมือนกัน พอรู้แล้ว ใครเขาจะหลงเอาขี้ใส่ปากเล่า มันก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ
นั่นแหละ 6 ปีก่อนก็โง่แบบนั้นแหละ สมัยยังปฏิบัติธรรมมิจฉา ตามครูบาอาจารย์ที่สอนมั่ว ๆ พูดธรรมแบบโก้ ๆ ดูดี ๆ แต่มันก็ไม่มีมรรคผลไง กิเลสมันก็โตไปเรื่อย ๆ
มาตอนนี้เป็นไง เจออาจารย์หมอเขียว เจอพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ก็เสร็จเลย ชีวิตก็สบายขึ้น ไม่ต้องโง่งมงาย หาเรื่องวุ่น เรื่องเมา เรื่องเน่าเหม็นใส่ตนเอง อย่างน้อย ๆ ก็ได้เรื่องอยู่เป็นโสดนี่แหละนะ นับแค่เรื่องนี้ก็คุ้มแล้ว
บอกเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่ตั้งใจปฏิบัติตนเพื่อความเป็นโสดอย่างยั่งยืน ผมใช้เวลาทั้งหมด 2 ปี ในการชำระกิเลสเรื่องอยากมีคู่ ดังนั้นอย่าประมาท อย่าไปคิดว่ามันง่าย เพราะมันยาก มันไม่ใช่ฐานศีล 5 แค่ศีล 5 ทั่วไปเอากิเลสเรื่องนี้ไม่อยู่ครับ