ความรัก

รักที่พาเจริญ ต้องไม่ทำร้าย

January 7, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 613 views 0

คนที่เขาแสวงหาความรักกันนี่เขาก็คิดว่ามันน่าจะมีความสุข น่าจะช่วยกันพากันเจริญไปทั้งทางโลกทางธรรมนะ

แต่ตัววัดว่ารักที่กำลังจะหาหรือมีอยู่นั้นพาเจริญ ทำให้เป็นสุขได้จริงไหม ตัววัดอย่างหนึ่งคือ “การไม่ทำร้ายกัน

การไม่ทำร้าย ก็มีทั้งมุมร่างกายและจิตใจ

ในมุมการทำร้ายร่างกายเป็นมุมที่หยาบมากของคนที่บอกว่ารักกัน ส่วนมากการทำร้ายร่างกายของคู่รักนั้น ไม่ได้เกิดจากเมตตา เหมือนพ่อแม่ตีลูก ที่ตีลูกไปตัวเองก็เจ็บปวดไป แต่เกิดจากอัตตาที่จะสั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใครเสียมากกว่า ดังนั้นคนที่ยังทำร้ายร่างกายกันอยู่ ก็เป็นความหยาบที่มาก เป็นคนไม่มีศีล เพราะคนมีศีลจะไม่ทำร้ายร่างกายใคร

การทำร้ายจิตใจเป็นมิติที่ลึกซึ้งขึ้น และมีลำดับของการทำร้ายที่หยาบ ไปจนถึงละเอียด รู้ได้ยาก แบบหยาบ ๆ ก็ทำร้ายร่างกายกระทบจิตใจนั่นแหละ ทั่วไปก็คือการพูดให้เสียใจ มีมารยาหน่อยก็แสดงท่าทีไม่พอใจแต่ไม่พูด โหด ๆ เลยก็คือไม่พูดเลย เป็นการกดดันให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ ที่ยกตัวอย่างมานี้คือ ลักษณะของคนที่มีเจตนาจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายในรูปแบบต่าง ๆ

ส่วนที่ทำร้ายจิตใจโดยไม่ชัดเจนในเจตนา คือการสร้างความหลงให้กับคนอื่น คือจริง ๆ น่ะ มีเจตนา แต่มันคลุมเครือในจิตเพราะความหลงของตัวเอง คือ หลงว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นประโยชน์ แต่จริง ๆ เป็นโทษ ถ้าถามไปเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้ตั้งใจทำร้าย แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำร้าย เช่น การไปชม(เชิงชู้สาว) ไปจีบ เพื่อทำให้เขาหลงไหลในคำเหล่านั้น อันนี้เป็นนัยที่ลึกขึ้น เพราะทำร้ายจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ให้อ่อนแอลง ให้ยอมมอบกายมอบใจให้ เป็นการทำร้ายที่คนส่วนใหญ่ดูไม่ออก

การทำร้ายจิตใจที่ดูยากที่สุดคือการทำร้ายจิตใจตัวเองด้วยความชอบความชังในความรัก หลงในรักก็ทำให้ตัวเองอ่อนแอ เป็นทุกข์ กระหายอยากเสพ พอไม่ได้ก็เป็นทุกข์ใจ กระวนกระวาย กลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว ฯลฯ ส่วนความชังก็สะสมความเกลียดในจิต เกลียดคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับคู่ของตน เกลียดคู่ของตนที่ทำไม่ถูกใจ เกลียดที่เขาเปลี่ยนไป ไม่รักเราเหมือนกัน สารพัดความไม่ได้ดั่งใจจะสะสมความชังเพื่อไปทำร้ายตัวเองและคนอื่น

รักที่จะพาเจริญได้นั้น จะต้องไม่เป็นเหตุให้ความสะสมความชอบ และความชัง เพราะความชอบก็คือกามตัณหา ความชังคืออัตตา เป็นนรกทั้งคู่ ถ้ายังชอบยังชังในความรัก ในคู่รัก มันก็ไม่มีทางเจริญไปได้เลย มีแต่จะพาตกต่ำ เศร้าหมอง ทำร้ายกัน ฆ่ากัน

ความรักเป็นเหตุหนึ่งในคนฆ่ากันตายกันเกือบทุกวี่วัน ความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แต่คนก็ยังดิ้นรนแสวงหา ไขว่คว้า กอดรัดไว้ เหมือนยาพิษที่มีรสหวานที่คนอยากจะลิ้มลองชิม ด้วยความหลงว่าตนจะต้านพิษได้ ตนจะได้เสพแต่รสหวาน พิษนั้นไม่มีภัย รสหวานนั้นคุ้มค่ากับพิษ เป็นต้น

สุดท้ายเขาก็จะทำร้ายตัวเองด้วยความเห็นผิดเหล่านั้นนั่นเอง ดังนั้นการจะบอกว่ารักนั้นพาเจริญ ก็เป็นสภาพที่เหมือนฝันที่ไม่มีวันจะเป็นจริง

โดนทิ้ง ควรจะดีใจไหม?

January 4, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 618 views 0

มีคำถามมาว่าโดนทิ้งข้ามปี ควรจะดีใจไหม?

จะโดนทิ้งข้ามปี อกหักข้ามปี หรือจะโดนเทข้ามปี จริง ๆ โดนทิ้งมันก็ไม่ข้ามปีหรอก โดนทิ้งตอนไหนก็ตอนนั้น เพราะโดนทิ้งเป็นลักษณะเชิง active คือเกิดขึ้นเป็นครั้ง ๆ ไม่ใช่สถานะที่แช่อยู่อย่างถาวร

ส่วนควรจะดีใจไหม? ถ้ามีคู่แล้วมันทุกข์มาก การจะดีใจที่หลุดพ้นมาได้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายนัก แต่ก็อย่าไปเสียพลังงานกับมันมากเกินเพราะ เพราะการเจอกัน(เกิดขึ้น) คบกัน(ตั้งอยู่) เลิกกัน(ดับไป) มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

สิ่งที่เราควรจะทำคือทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันหมดกรรมหมดวาระต่อกัน เขาก็ต้องจากไปตามกรรมของเขา เราทำดีทำชั่วมาเท่านี้ ก็ได้รับผลเท่านี้ มันก็จบไป

การที่เขาทิ้งเรานี่มันดีอย่างหนึ่งตรงนี้เราไม่ได้มีเจตนาจะทิ้งใคร ก็ควบคุมแค่ตนเองไม่ให้ไปเศร้าโศกเสียใจก็พอ แล้วทิ้งปีเก่านี่มันดีกว่าข้ามมาทิ้งปีใหม่นะ เพราะคนส่วนใหญ่เขาก็สำคัญว่าปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามา อะไรอย่างนี้ ถ้ามันข้ามปีมาแล้วค่อยทิ้งต้นปีมันจะเจ็บปวดมากขึ้น เพราะมันจะหาเหตุให้ลืมทุกข์ได้ยากขึ้น ถ้าทิ้งก่อนปีใหม่ นี่มันยังมีเหตุผลมากลบ ๆ ได้อยู่บ้าง

เราควรจะยินดีที่เขาทิ้งเรา ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าความรักมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันยึดอะไรไว้ไม่ได้เลย เราก็ทำความเห็นให้ถูกว่า รักไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นเหมือนกันทั้งหมด คือ เจอกัน คบกัน เลิกกัน มีแค่นี้จริง ๆ ไม่บอกเลิกก็ต้องตายจากกันอยู่ดี ดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเสียเขาไป แล้วเราจะไปหยิบเขามายึดไว้ทำไมในเมื่อสุดท้าย เขาหรือเธอเหล่านั้นก็เป็นเหตุให้เราต้องเป็นทุกข์

อย่าไปพยายามหาเหตุผลเอาคู่มาอยู่ในการดำรงชีวิตให้มันมาก มันจะวุ่นวาย คนที่เขาอยู่เป็นโสดแล้วได้ดิบได้ดีก็มีเยอะ แม้แต่มีลูกแล้ว แยกออกมาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยวก็มีให้เห็นกันแล้วว่าหลายคนก็เป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิต ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้

ดังนั้นสถานะ ถูกทิ้ง หย่าร้าง หม้าย พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว อะไรพวกนี้มันไม่ใช่ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะไปยึดเขาไว้ ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับเขาเราก็จะไม่ทุกข์ ถ้าเราหัดพึ่งตน ไม่พึ่งเขาเราก็จะไม่ทุกข์เมื่อขาดเขาไป

จะพ้นทุกข์ มันต้องเลิกยึดไปตามลำดับ เอาคนนอกกายก่อน คนที่มีเป็นคู่นี่ไม่ใช่เลือดเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่ญาติเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้มีความเกื้อกูลอะไรเลย นอกจากการพากันไปหลงงมงายอยู่กับเรื่องกิเลส มันก็ต้องเลิกยึดเขามาเป็นของเราก่อนให้ได้ กลับมายึดตัวเอง มาพึ่งตัวเองเป็นลำดับ แล้วค่อยหัดสลายตัวตนของเราอีกทีหนึ่ง ถ้าเป็นลำดับแบบนี้จะพ้นทุกข์ได้

แต่ถ้าไม่หัดพึ่งตนเลย จะพึ่งแต่คู่ครอง เกาะเขาไว้เป็นที่พึ่ง พึ่งเงินเขา พึ่งบารมีเขา พึ่งความสบาย อันนี้มันก็ไม่ใช่ทางที่ถูก เพราะมันไม่พึ่งตน แถมยังจะไปเอาจากเขามาเสพอีก ส่วนมากความรักก็แอบเสพกันแบบนี้ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เปรียบเหมือนเอาป้ายมาแปะบังไว้ให้สวย ๆ เฉย ๆ แท้จริงก็มีแต่เรื่องกิเลส เรื่องกาม เรื่องอัตตา ก็ยึดกันไว้ด้วยสารพัดเหตุผล พอเขาทิ้งมันก็ทุกข์สิ มันจะเหลืออะไร

คนยึดคู่ไว้ ต่อให้บอกว่าควรดีใจก็ดีใจไม่ออกหรอก มันจะซึมเศร้าเพราะเสียของรักวันยังค่ำนั่นแหละ นี่ถ้าไม่รักก็ไม่ทุกข์แล้ว ก็หลงไปรักเอง รักเอง ยึดเอง ช้ำเอง เราอวดเก่งจะโทษใคร … พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ มีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 1 ทุกข์ 1 ไม่รักเลย ไม่ทุกข์เลย แล้วจะไปพยายามหารักมาใส่หัวให้มันทุกข์ทำไม อย่าไปเก่งเกินพระพุทธเจ้าเลย อย่าไปหลงตามใครเขาว่ารักแบบนั้นแบบนี้มันจะไม่ทุกข์ ระวังให้ดีเถอะ นั่นพญามารปลอมตัวมาหลอก ให้คนหลง เมา ๆ กันไป แท้จริงตัวเองนั่นแหละ อยากเสพ เลยสร้างวาทกรรมที่พาให้คนหลงว่ามีรักแต่ไม่มีทุกข์ก็ได้ อะไรประมาณนั้น ระวังไว้ อันนั้นมันตรงข้ามกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

สุดท้ายก็จะสรุปไว้ว่า ถ้าเราไม่มีความยึดในคู่ ถ้าเขาเลิกไป มันจะมีแต่ความยินดีในจิต เพราะมันหมดภาระที่มีต่อกัน หมดเหตุผลที่จะต้องแบกกัน มันก็เบาขึ้น สบายขึ้น มันจะมีแต่ความโล่ง เบาสบาย ไม่หดหู่ ไม่เศร้าหมอง ยินดี พอใจ ถูกทิ้งด้วยใจผาสุก

สละสิ่งของกับสละคู่ มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ

January 3, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 674 views 0

ทาน หรือการให้ การสละออก นี่มันมีลำดับของมันนะ มันต้องเริ่มจากของที่สละง่ายก่อน ของที่ยึดน้อย ๆ ไปเป็นลำดับ ต้องหัดพราก หัดสละจากของที่รักน้อย ๆ ก่อน เช่นทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ

อันนี้ถ้าเกิดและโตในเมืองไทย ถือว่าต้นทุนดี เพราะเมืองไทยยังมีการ “ทาน” ให้เห็นอยู่เป็นประจำ แม้แก่นศาสนาจะแทบไม่เหลือแล้ว แต่รูปรอยของการทำดียังคงอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดีในปัจจุบัน

เราก็ต้องเริ่มจากการสละไปทีละเรื่อง แต่ละเรื่องจากมีความยากง่ายไม่เท่ากัน แต่ละคนก็ต่างกันไปอีก อยู่ที่ใครจะยึดอะไรไว้

เบื้องต้นก็เป็นสิ่งของนอกกาย ที่เรามีสิทธิ์ครอบครอง เราก็สละให้คนอื่นได้ใช้ประโยชน์ ไม่หวงไม่ยึดไว้ สุดท้ายแม้แต่คนที่เรารัก ก็ยังเป็นสิ่งที่อยู่นอกกาย ก็สามารถสละเป็นทานได้เช่นกัน

ทานบารมีที่สูงที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าได้ทำไว้ในชาติของพระเวสสันดร คือให้ลูกเป็นทาน ให้ภรรยาเป็นทาน คนที่จะเข้าใจในทานระดับนี้ต้องเรียนรู้ทานในระดับต้น ๆ ก่อน ถึงจะพอเห็นภาพว่ามันยาก มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของจิตมนุษย์ที่สามารถสละได้แม้สิ่งที่ตนรักที่สุด

แต่ตอนนี้เราจะทำง่ายกว่า เพราะเรามีคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นแกนแล้ว เรียกว่ามีแผนที่ มีบทสรุป มี how to ให้สละสิ่งเหล่านี้กันได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องบำเพ็ญเท่าท่าน เพราะท่านทำมาหมดแล้ว แล้วสรุปมาสอนให้เราได้เรียนรู้

สิ่งของกับคู่ครอง มันจะต่างกันตรงน้ำหนักที่ยึดไว้ แต่รูปแบบการปฏฺิบัติคือ “ทาน” เหมือนกัน บางคนให้เขาสละเวลา สละเงินหาของใส่บาตรทุกเช้า เขาก็ทำได้ แต่ให้เขาสละคู่ครอง สละสิทธิ์ในการมีคู่อย่างเต็มใจ อันนี้น้อยคนที่น่าจะทำได้

ทานยิ่งสละมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีบารมีและเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นมากเท่านั้น ลดตัวตนได้มากเท่านั้น โดยเนื้อแก่นของทานแล้ว ไม่ใช่มูลค่าของวัตถุสิ่งเขา แต่เป็นจิตที่ยึดผูกพันคน สัตว์ สิ่งของเหล่านั้นไว้ เราก็ใช้องค์ประกอบของทานหรือการสละออกนี่แหละ เป็นอุบายในการพรากจากของที่เรารัก

ถ้ามันยึด มันจะยื้อ มันจะไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมให้เขา เรื่องคู่นี่มันสละกันยาก มันก็ต้องเริ่มจากทานสิ่งที่พอจะสละได้กันก่อน หัดแบบง่าย ๆ กันก่อน แล้วสั่งสมบารมีมาเรื่อย ๆ มันจะมีกำลังพอที่จะสละสิ่งที่รักมาก ๆ ไหว

มันต้องเป็นไปตามลำดับของมัน ง่าย กลาง ยาก ต้องฝึกฝนไปตามลำดับ ไม่ลัดขั้นตอน ถ้าลัดมาก กิเลสมันจะบีบคอให้กลับไปเสพ ต้องล้างความยึดไปตามลำดับ

…ส่วนสละโสดนั้นไม่เรียกว่าสละ ไม่เรียกว่าทาน เพราะเป็นการเอามาเพิ่ม ปัญหาไม่ลด ปัญญาไม่เพิ่ม เป็นภาษาเฉย ๆ พิมพ์ไว้กันคนแซว

การยอมพรากจากคู่ คือที่สุดของทุกข์ในการมีคู่

January 1, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 603 views 0

พิมพ์เรื่องคนโสดมาก็มาก ตอนนี้พิมพ์ในมุมคนคู่บ้าง เชื่อไหมว่าสุดท้ายเมื่อคนมีคู่เข้าใจธรรมะ เขาก็จะหันมาเป็นโสดกันทั้งนั้น

มีหลักฐานมากมายจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระเวสสันดรชาดก ซึ่งจะมีตอนหนึ่งที่มีการสละภรรยาเป็นทาน ในชาดกบทนี้ เป็นชาดกที่ผมรับรู้มาว่าคนข้องใจกันมาก ไม่เข้าใจว่าการสละลูก เมียเป็นทานคือการบำเพ็ญบารมีตรงไหน ซึ่งจริง ๆ มันก็เข้าใจยากจริง ๆ นั่นแหละ เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปไปแล้ว

เชื่อไหมว่าถ้าเราบำเพ็ญไปเรื่อย ๆ คู่ครองของเราก็จะมีบารมีที่มากตามไปเรื่อย (เพื่อปราบเรานั่นแหละ) เขาจะมาแบบครบเลย หน้าตา ฐานะ การศึกษา นิสัย มารยาท ธรรมะ จะดีพร้อม งามพร้อม หรือถ้าไม่พร้อมก็จะมีจุดเด่นพิเศษที่เราพ่ายแพ้ ไม่ยอมปล่อยเพราะยึดสิ่งนั้นไว้

การปฏิบัติธรรมในเรื่องคู่ในบทจบก็คือ “เขาดีขนาดนี้ ยอมสละเขาได้ไหมล่ะ” มันจะยากก็ตรงนี้นี่แหละ คนก็งง จะสละทำไม ก็เขาเป็นคนดี เขาก็ดีกับเราขนาดนี้

เจอคู่ชั่ว ๆ นี่มันทิ้งกันไม่ยากหรอก ดีไม่ดีเขาก็ทิ้งเรา แต่เจอคู่ดีนี่มันทิ้งยาก ติดสวรรค์ ติดสุข ติดความเป็นเทวดา(มีอำนาจ มีคนบำเรอ) หรือไม่ก็ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ฯลฯ

พอคนทำดี มันจะมีกุศลกรรมให้ได้รับ บางทีมันจะมาในรูปของคู่ครอง แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้สิ่งนั้นจะเป็นลาภ แต่ก็เป็นลาภเลว ที่คนหลงดีใจได้ปลื้มกับมัน อยู่กับมัน แล้วก็แช่อยู่ในภพคู่ครองนั้น ๆ นานนนนนนนน…

ให้คิดก็คิดกันไม่ออกเลยนะ เจอคู่ดีสมบูรณ์ครบพร้อมจะออกยังไง จะถอนใจออกมายังไง ก็มีแต่จะเอาเขาเป็นที่พึ่งเท่านั้นแหละ ชีวิตติดเมถุน มันจะติดเสพความเป็นเทวดา ความเป็นคนพิเศษ ความมีอำนาจ มีการให้เกียรติ ให้ความรัก ความเอาใจ ความสำคัญ เป็นเครื่องร้อยรัดคนไว้กับทุกข์ เรียกว่าเมถุนสังโยค

แต่เชื่อไหม แม้จะดีแค่ไหน มันจะมีจุดพร่อง มีจุดพลาดเสมอ ทีนี้คนที่หลงจะมองข้ามจุดพร่องตรงนี้ไป แล้วไม่เอามาพิจารณาทุกข์ พอไม่เป็นทุกข์ มันก็ไม่เห็นโทษภัยอื่น ๆ ที่ตามมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะมันเป็นกิเลสฝั่งติดสุข มันจะแกะยาก ถอนยาก

ไม่ต้องไปคิดถึงระดับพระเวสสันดรหรอก อันนั้นมันไกลไป ไม่ใช่ฐานะที่คนทั่วไปจะทำได้ แต่ก็ใช้หมวดทานมาเป็นกรรมฐานได้

เช่น คนดีนี่ใคร ๆ ก็อยากได้ใช่ไหม แล้วเราเอามาเก็บไว้คนเดียว คนอื่นเขาก็ไม่ได้ใช้ ถ้าเราสละออกไป คนอื่นเขาก็ดีใจ เพราะเราปล่อยคนดีคนหนึ่งกลับไปให้โลก เขาก็ไม่ต้องมาแย่งเรา ไม่ต้องผิดศีล

ยิ่งถ้าเราปล่อยเขาไปแล้วเขาไม่มีคู่ใหม่ ยิ่งดีใหญ่เลย เขาก็จะได้ใช้ชีวิตเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ไม่ต้องบำเรอเรา ไม่ต้องบำเรอใครอีกให้เสียเวลาชีวิต

ที่สำคัญเราจะช่วยเขาได้ เราจะพาเขาเจริญได้ เพราะการผูกกันไว้นี่มันเจริญได้ยาก มันติดเพดาน มันมีอกุศลวิบากต่อกันมาก แต่ถ้าเราปล่อยได้ เขาจะเห็นเราเป็นตัวอย่าง อาจจะขัดข้องขุ่นใจบ้าง แต่เขาจะจำว่ามันมีสิ่งดีกว่าการอยู่เป็นคู่กันอยู่ในโลก นั่นก็คือการไม่อยู่เป็นคู่กันนั่นเอง

ยกตัวอย่างมาแล้วก็รู้สึกว่ายากโคตร ๆ แต่จะเป็นโสดอย่างผาสุกได้ต้องพิจารณาธรรมหมวดนี้เหมือนกัน มันจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการก้าวเข้าสู่การเป็นโสดอย่างยั่งยืน มันต้องยินดีที่จะสละโควต้าของตัวเองที่จะมีคู่ไปให้คนอื่น

ไม่ต้องห่วงหรอก เราล่อลวงคนอื่นมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่วิบากกรรมเขาจะไม่มาเอาคืน ถึงจะตั้งจิตเป็นโสด แต่ก็จะมีผู้ท้าชิงอยู่นั่นแหละ

ดังนั้นอย่าไปกังวลเลยว่าจะไม่มีคู่ หรือจะสละไปแล้ว แล้วเขาจะหายไป เขาไม่หายไปไหนหรอก เขาก็วนเวียนมาอยู่นั่นแหละ ด้วยเหตุที่ทำบาปด้วยกันไว้มาก และถ้าเป็นคนดีจะมีอีกแรงหนึ่งคือเป็นที่รักของเขา เขาก็ยึดไว้

แท้จริงแล้วคู่ครองเป็นสภาพสมมุติที่คนยึดไว้ ความเป็นพ่อแม่ลูกยังดูจริงยิ่งกว่า แต่คนกลับไม่ค่อยยึดอาศัย ไม่ค่อยเห็นจะมีใครตั้งตนเป็นโสดเพื่อที่จะได้ใช้เวลาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าสักเท่าไหร่ จริง ๆ มันก็สมมุติเหมือนกันนั่นแหละ แต่ดันไปหลงสมมุติตัวที่มันตื้น มันเบียดเบียน มันเป็นบาป แล้วดันทิ้งสมมุติที่เป็นความเกื้อกูล เป็นกุศล

สรุปกันสั้น ๆ ว่า อาการทุกข์ที่เกิดเพราะไม่อยากพราก ไม่อยากสละจากคู่ นั่นแหละคือประตู ถ้ารู้แจ้งในทุกข์นี้ก็จบ จิตจะปล่อย จะยอมพราก สละได้ ทิ้งได้ ตามเหตุปัจจัย ไม่ยึดติดว่าคนคนนั้นเป็นคู่อีกต่อไป จะเข้าใจทั้งสัญญาแบบโลก ๆ กับการไม่ยึดสัญญาแบบโลก ๆ จะตัดสินใจตามกุศลเป็นหลัก

หัดพิมพ์มุมคนคู่ เอาไว้เท่านี้ก่อน ได้เหลี่ยมหนึ่งก็ยาวแล้ว ไว้วันหลังค่อยว่ากันใหม่