ความรัก

รักแบบไม่ครอบครอง มีจริงไหม

September 29, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,552 views 0

เห็นหัวข้อนี้ในพันทิพ (http://pantip.com/topic/34235943) ก็มีคนให้ความเห็นกันมาหลากหลาย และดูคล้ายๆจะเป็นเรื่องในอุดมคติ

ผมให้ความเห็นส่วนตัวแบบนี้นะ คือมันไม่รู้จะเอาปัญญา(กิเลส) ที่ไหนไปครอบครอง ต่อให้มาพร้อมบ้านแถมรถ ยกที่นาและช้างมาว้วควายในนอนกินนอนใช้ชีวิตบนกองเงินกองทอง ก็ยังไม่เห็นว่าจะจำเป็นต้องไปครอบครองให้มันเกิดคุณประโยชน์อะไรขึ้นใน ชีวิต

ทำไมรักแล้วต้องไปครอบครอง ไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขากันล่ะ มันคนละเรื่องกันนะ…

เรื่องนี้มันเข้าใจกันยาก เดี๋ยวจะพาลหาว่ายึดดี เจ้าอุดมการณ์กันไป จึงจะยกตัวอย่างประกอบให้ได้อ่านกัน…

มีถ่านไฟกองหนึ่งที่กำลังลุกโชน ร้อนแรงแดงฉาน คนที่เขาเห็นโทษ เขาก็รู้ว่าถ้าเข้าไปใกล้ เข้าไปจับถ่านไฟนั้น มันจะทุกข์ร้อนยังไง ประโยชน์มันไม่มีเลย มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เข้าไปจับถ่านไฟเหล่านั้น

ทีนี้ไม่รู้อะไรมันบังตา ซึ่งคงจะหนีไม่พ้นกิเลส ทำให้คนเขามองว่าถ่านไฟนี่แหละเป็นสุข การได้จับได้ครอบครองนี่แหละเป็นสุข จึงเข้าไปจับไปครอบครอง แล้วก็สุขขึ้นตามที่จิตปั้น พร้อมกับทุกข์จากการที่ต้องโดนไฟไหม้ แต่ทุกข์แล้วก็ยังไม่เห็นว่าเป็นโทษ ก็ยังกอดเก็บถ่านที่ไฟที่ลุกไหม้นั้นไว้กับตัว พร้อมด้วยคำคมเท่ๆประมาณว่าชีวิตมันต้องมีทั้งสุขและทุกข์บ้าง มันเป็นธรรมชาติของชีวิตบ้าง

สุดท้ายก็เลยต้องสุขๆทุกข์ๆ ไปแบบนั้น มองเห็นแค่เพียงว่ามันไม่ได้มีแต่ทุกข์ มันมีสุขด้วย แท้ที่จริงมันมีแต่ทุกข์ล้วนๆ สุขนี่มันไม่มีจริงเลย หลงอุปาทานไปเอง แล้วก็ปั้นสุขขึ้นมาเอง สรุปคือหลอกตัวเองนั่นแหละ

เป็นตัวอย่างทั่วๆไปของการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คือการมองไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง

สงสัยก็สอบถามเพิ่มเติมกันมาได้ เรื่องนี้เข้าใจยากเหมือนกัน

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

September 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,783 views 1

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

ในกรณีที่เลิกกับคู่รักมาด้วยเหตุอะไรก็ตาม แต่จบด้วยความบาดหมาง ไม่ลงรอยกัน แม้เขาจะมาอ้อนวอนให้กลับไปเหมือนเดิม ตอนแรกก็มักจะมีอาการใจแข็งไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเก่า เกลียดความทุกข์ เกลียดความผิดหวัง ฯลฯ ซึ่งก็มักจะมีอาการปากแข็ง กายแข็ง ใจแข็ง อยู่พักหนึ่ง

พออดีตคู่รักกลับเข้ามาหา ทักทาย หยอดกันตามประสาหมาที่เคยหยอกไก่ ครั้งแรกๆอาจจะมีอาการรังเกียจ โกรธ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุย อยากจะหายตายจากกันไปเลย ไม่ต้องมาพบเจอกันฯลฯ

แต่พอเข้ามาบ่อยๆหนักเข้าๆ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับคนจิตอ่อน โดนออดอ้อนทุกวันก็หมดท่า ถ้าจิตใจอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ยังต้องหาที่พึ่งภายนอกอยู่ พอโดนยั่วกิเลสทุกวัน วันละนิดวันละหน่อย ค่อยๆหยอด ค่อยๆเติมเชื้อราคะ ไม่ให้ไก่ตื่น ไม่ให้รู้ตัว สุดท้ายก็มักจะพลาดท่าเสียที

ด้วยความที่ตัวเองก็กามหนาอัตตาจัด แต่ตอนแรกๆที่เลิกกันอัตตามันจะพุ่ง อัตตามันจะกำเริบ มันจะยึดดี มันจะไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายอัตตามันสู้กามไม่ไหว กามมันโตขึ้น มันโดนเติมเชื้อให้อยากกลับไปเสพของเก่าให้หวนนึกถึงสุขที่เคยเสพ

ทีนี้พอกามมันโตกว่าอัตตา “ก็จบเกม” กลับไปตายรังกับแฟนเก่า ดังที่เขาว่าวัวเคยค้าม้าเคยขี่ ยิ่งคนที่เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งยิ่งมีเหตุให้กระตุ้นกิเลสมาก แตะนิด แตะหน่อยก็ของขึ้นกันแล้ว จากที่เคยปากแข็ง ไม่พูดด้วยก็กลับไปออดอ้อนออเซาะ จากที่เคยร่างกายแข็งไม่ให้แตะต้อง ไม่ตอบสนอง ก็เปลี่ยนเป็นตัวอ่อนยอมพลีกายถวาย จากที่เคยใจแข็ง ไม่อยากเจอ ไม่อยากคบหาสุดท้ายก็กลับไปยกใจให้เขาครอบครองเป็นเจ้าของเหมือนเดิม นั่นหมายถึงสุดท้ายก็กลับไปอยู่ในนรกขุมเดิมด้วยความสุข(ลวง)ที่มากขึ้น

…นี่เป็นกรณีศึกษาความผิดพลาด ที่สุดแสนจะคลาสสิค ของผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่รู้เท่าทันกิเลส ไม่มีกลยุทธ์ในการเอาตัวรอด จึงตกเป็นเหยื่อของกิเลสด้วยความเต็มใจ(ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง: พระพุทธเจ้า)

ซึ่งผู้ที่มีโอกาสกลับมาโสด ได้โอกาสพิจารณาบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วกลับไปเสียท่าให้กิเลสอีก เรียกว่าพลาดท่ายิ่งกว่าตอนที่เสียท่าไปคบกันตั้งแต่ตอนแรก และจะต้องได้รับวิบากบาปมากกว่าครั้งแรก นั่นหมายถึงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองยิ่งๆขึ้นไป

เพราะมี [ ความหลง1(หลงคบเป็นคู่รัก) + ความหลง2(หลงกลับไปเป็นคู่รัก) = สร้างกรรมกิเลส = วิบากบาป=ทุกข์ ]

เหมือนกับคนที่เขาปล่อยออกจากคุกมาแล้ว แต่โดนกิเลสมอมเมาให้ทำชั่ว ไม่กลับตัว ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่เข็ด ไม่หลาบจำ สุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่ในคุกอีก จึงต้องวนเวียนเข้าออกคุก โดยไม่มีวันหนีคุกนี้พ้น เพราะมัวเมาในความสุขลวงของกิเลส จึงต้องอยู่กันอย่างมีความทุกข์ไปตลอดกาล

– – – – – – – – – – – – – – –

28.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความรักไม่ลึกลับ

September 17, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,389 views 0

ความรักไม่ลึกลับ

ความรักไม่ลึกลับ

ความรัก แท้จริงแล้วไม่ลึกลับ ที่มันลึกลับเพราะว่าหลง หลงจนรู้สึกว่าสิ่งนั้นน่าใคร่น่าพอใจ

คนที่ไม่หลงในความรักจะชัดเจนว่า ความรู้สึกรักและชอบใจนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ความรู้สึกเช่นว่า ทำไมฉันจึงชอบคนนั้น ในขณะที่รู้สึกเฉยๆกับคนอื่นๆ หรือทำไมถึงคิดถึงคนหนึ่งได้ขนาดนี้ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยคิดอะไร ฯลฯ สิ่งเหล่าจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ที่รู้ชัดเจนในความรัก

ผู้ที่ยังมีรักที่ลึกลับ รักที่ไม่อยากจะหานิยาม รักที่หาคำตอบไม่ได้ว่ารักเพราะอะไร คือผู้ที่ยังหลงวนอยู่ในความไม่รู้ ไม่รู้เหตุปัจจัยในการเกิดความรัก นั่นหมายความว่า เขาย่อมที่จะไม่รู้เหตุแห่งการดับความทุกข์จากความรักเช่นกัน

เมื่อไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นการดับทุกข์ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นได้

– – – – – – – – – – – – – – –

17.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รักเพราะอะไร

September 12, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,873 views 0

รักเพราะอะไร

รักเพราะอะไร

ความหลงนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ ในทางกลับกันการรู้แจ้งในเหตุปัจจัยเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่จะพาให้คนเราหลุดพ้นจากทุกข์

การหลงอยู่ในความรักที่ไม่รู้ว่าหลงในอะไรนั้น ไม่สามารถทำให้คนพ้นจากทุกข์ไปได้ เช่นเดียวกันหากเรารู้แจ้งในทุกเหลี่ยมมุม ทุกมิติของความรักนั้น เราก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์เหล่านั้นได้

การที่เราพยายามศึกษาในเหตุปัจจัยของความรักเหล่านั้นจนรู้แจ้ง จะส่งผลให้เราไม่พลั้งเผลอปล่อยใจไปกับความรักที่หลอกลวง แถมยังสามารถดึงตัวเองออกจากความทุกข์ได้อีกด้วย สามารถใช้ได้ทั้งในการป้องกันและการแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับภาษิตที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งหมดร้อยครั้ง

รักของฉันคืออะไร

เมื่อเกิดความรู้สึกรักขึ้น แทนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงไปตามความรักด้วยนิยามที่สวยหรู เราควรกลับมาพิจารณาดูว่าเราเกิดความรู้สึกรักหรือชอบใจขึ้นได้อย่างไร เขามีอะไรดีเราจึงเกิดความรัก เขาหน้าตาดี เขาปากหวาน เขามีน้ำใจ เขามีฐานะ เขาเข้าใจและรับฟัง เขาเป็นคนดี ฯลฯ ซึ่งปัจจัยทั้งหลายนี้ต้องถูกชำแหละออกมาเป็นส่วนๆให้ชัดเจน

ตามธรรมชาติของความหลง เราย่อมไม่ยินดีที่จะพิจารณาหาเหตุแห่งความรัก เพราะถ้าค้นไปแล้วมันก็มักจะรักไม่ลง ดังนั้นจึงไม่ค้นดีกว่า จะได้รักกันต่อไป ยอมหลงกันต่อไป

แต่ถ้าเราได้พยายามต่อสู้กับความหลงมาในระดับหนึ่งจนยอมพิจารณาเหตุแห่งความรักนั้นแล้ว เราก็จะได้ข้อดีของคนที่เราหลงรักมา เราก็เอาข้อดีนั้นแหละมามองตามความเป็นจริงว่า ถ้าคนอื่นเขามาทำดีกับเราแบบนี้ เราจะไปรักคนอื่นไหม ถ้าใช่แสดงว่าค้นหาเหตุแห่งรักเจอแล้ว เพราะถ้าเหตุของรักมันใช่สิ่งนั้นจริงมันต้องรักทุกคนที่ทำสิ่งนั้นให้กับเรา แต่ถ้ายังไม่ใช่ ก็ต้องค้นหาต่อไปว่าทำไมคนนี้จึงต่างจากคนอื่น ทำไมเราจึงรักคนนี้ ไม่รักคนอื่นทั้งๆที่มีคุณสมบัติเท่ากัน

เมื่อหาเหตุแห่งความรักได้จนถึงรากแล้ว ก็ค่อยพิจารณาธรรมไปตามความจริง หากเรายังหลงเสพในสิ่งนั้นอยู่ จะสร้างโทษภัยให้ชีวิตอย่างไร มันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์อย่างไร มันมีตัวตนอยู่จริงไหม ถ้าเราไม่หลงจะเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตบ้าง ก็เพียรพิจารณาความจริงกันไปเรื่อยๆ ให้ความหลงได้จางคลายโดยลำดับ

เขารักอะไรในตัวฉัน

เช่นเดียวกันกับการตรวจสอบเหตุแห่งความรักของตัวเอง เรายังสามารถใช้วิธีนี้สังเกตผู้อื่นได้อีกด้วย ว่าเขามารักอะไรในตัวเรา เรากำลังนำเสนออะไร จุดขายของเราคืออะไร รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ หรือเงินทองของเรา เราลองตัดปัจจัยดูทีละตัวสิ เช่นไม่แต่งหน้าแต่งตา ลองปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้น มีมารยาทมากขึ้น หวงเนื้อหวงตัวมากขึ้น ลองทำตัวประหยัดขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่เราคิดว่าเขาจะมาหลงเราในจุดนั้น เขาหลงในอะไร เราก็ทำให้มันเจริญขึ้นด้วยศีล เพราะอย่างน้อยๆศีลจะกันคนไม่ดีออกจากชีวิตได้

แม้ว่าเราจะตั้งศีลที่สูง เช่น กินมังสวิรัติ กินมื้อเดียว ไม่แต่งตัวแต่งหน้า ไม่สมสู่ ไม่สะสม ไม่ฟุ่มเฟือย ทำทานเป็นประจำ ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เสพสิ่งไร้สาระ เข้าวัดฟังธรรม ถือศีลทำสิ่งดีเท่าที่กำลังของเราจะพอทำได้ ถ้าเขารักเราจริง เขาก็ควรจะรักที่เราเป็นคนดี ไม่ใช่รักเพราะเราหน้าตาดีมีฐานะ ไม่ใช่รักเราที่เปลือกหรือองค์ประกอบภายนอกของเรา

ฉันจะปล่อยวางความรักอย่างไร

การจะปล่อยวางได้นั้น ต้องรู้เสียก่อนว่าเรากำลังถืออะไรอยู่ ถ้าไม่รู้ว่าความรักของเรานั้นคืออะไร มันไปติดใจอะไร มันไปเสพสุขตรงไหน ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยวางความหลงหรือความรักเหล่านั้นได้เลย

การปล่อยวางไม่สามารถทำได้เพียงแค่คิดเอา กำหนดจิตเอา หรือทำเป็นลืมไปอย่างนั้น เราจะปล่อยวางได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่าเหตุแห่งการยึดมั่นถือมั่นนั้นคืออะไร แล้วทำลายเหตุเหล่านั้นด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ว่าการยึดในสิ่งเหล่านั้นเป็นทุกข์โทษภัยผลเสียอย่างไร การปล่อยวางจึงเป็นสภาพผลที่เกิดขึ้นจากการชำระเหตุแห่งทุกข์ที่ถูกตัวถูกตนด้วยปัญญาที่ทรงพลังมากกว่ากิเลส

เมื่อไม่เหลือเหตุที่จะต้องเข้าไปยึดมั่น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบกความทุกข์เหล่านั้นไว้ และปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยให้กิเลสออกไปจากความรัก สุดท้ายแล้วความรักนั้นยังจะคงอยู่ มีเพียงแค่กิเลสที่หายไป ความรักที่ปราศจากกิเลสนั้นงดงามจนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบ มันไม่มีการยึดมั่น ไม่มีการครอบครอง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตน

– – – – – – – – – – – – – – –

11.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)