ความรัก

Always ฉันจะยึดมั่นถือมั่นในรักนั้นตลอดไป

December 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,165 views 0

Always ฉันจะยึดมั่นถือมั่นในรักนั้นตลอดไป

Always ฉันจะยึดมั่นถือมั่นในรักนั้นตลอดไป

ความยึดมั่นถือมั่นในความรักที่ตนเองมีอย่างไม่เสื่อมคลาย แม้ว่าคนรักจะจากไปแล้ว หรือแม้เขาจะไม่รักเราแล้ว ก็ยังภักดีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง คือความโรแมนติกของความรักที่จะสร้างความฉิบหายให้แก่จิตวิญญาณไปชั่วนิจนิรันดร์

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นจากการได้ฟังเพลง always ของ Bon Jovi เนื้อหาของเพลงนั้นกล่าวถึงผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นในความรัก ยังหวังและรอคอยที่จะได้รักนั้นกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าในปัจจุบันสภาพคู่รักของเขานั้นจะพังทลายไปหมดแล้วก็ตาม

หากเราดูหนังรักสักเรื่อง การที่พระเอกเฝ้ารอคอยนางเอกแม้ว่าจะไม่มีหวังว่าเธอจะกลับมา ก็คงจะเป็นอะไรที่ทำให้หลายคนซาบซึ้งใจในความมั่นคงต่อความรัก ซึ่งเราจะรู้สึกดีกับมันก็ต่อเมื่อมันเป็นเพียงแค่ละครเท่านั้น

เมื่อความปักมั่นในความรักเกิดขึ้นในชีวิตจริงแล้ว หลายคนที่ได้พบเห็นผู้ผิดหวังในความรัก ยังเฝ้าบ่นพร่ำเพ้อ เฝ้ารอคอยว่ารักนั้นจะกลับมา จมอยู่กับอดีตที่เคยหวาน อยู่กับภาพฝันลวงๆ มีอาการอมทุกข์ เศร้าหมอง หดหู่ ฯลฯ เพียงแค่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวหรือพบเห็นก็รู้สึกทุกข์แล้ว

นับประสาอะไรกับตัวผู้ที่ยึดมั่นในความรักเหล่านั้น แน่นอนว่าเขาเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นความทุกข์ที่ซับซ้อนเพราะมันปนกับสุขลวงที่เขาสร้างขึ้น เหมือนกับคนที่เสพติดความเจ็บปวด (masochist) แอบสุขเพียงแค่ได้ฝัน แต่ต้องทุกข์เพราะไม่สามารถคว้าฝันมาได้แต่ถึงกระนั้นก็ยังยินดีที่จะเสพสุขลวงที่ต้องโดนฟาดด้วยทุกข์จริงเช่นนี้ตลอดไป

ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตเราไม่จำเป็นจมอยู่กับอดีตเลย ไม่จำเป็นต้องพยายามกอดเก็บสิ่งที่จากไปแล้ว แต่การที่เขายังจมอยู่กับอดีตนั้น เป็นเพราะติดในรสสุขของสิ่งนั้น จึงไม่อยากพรากจากไป แต่ถึงแม้จะไม่อยากถึงเวลาก็จะต้องจาก เมื่อไม่ได้เสพสมใจจึงออกอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตนยึดไว้ว่าจะเป็นสิ่งที่จะเรียกร้องให้คนรักที่จากไปกลับมา อาจจะเป็นการพยายามยืนยันว่าจะรักตลอดไป, การตามง้อตามเอาใจ, ทำทีเป็นประชดรัก, การทำร้ายตัวเอง, จะให้เขาสั่งให้ทำอะไรก็ยอม ฯลฯ ทั้งหมดก็เป็นเพียงการเรียกร้องให้เขากลับมาสนใจด้วยวิธีต่างๆกัน

ในกรณีของบทความตอนนี้คือการรอ รอและหาโอกาสที่จะกลับมาเสพสิ่งที่ตนเคยเข้าใจว่าเป็นสุขอีกครั้ง ถ้ายังไม่หมดความหวังว่าจะได้เสพ ยังไม่คลายความยึดว่าคนรักที่เป็นอดีตนั้นคือที่สุดของความรัก หรือยังไม่เกิดปัญญาเห็นว่าการรอเสพเช่นนี้เป็นทุกข์ ก็จะยังตั้งหน้าตั้งตารอเรื่อยไป อาจเพราะเข้าใจไปเองว่านี่คือรักแท้ นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ ทั้งที่จริงมันเป็นเพียงแค่ความยึดมั่นถือมั่น เพราะในความจริงสภาพของคู่รักที่เคยรักกันนั้นได้จบไปแล้ว ปัจจุบันมันไม่มีเหลือแล้ว มีแต่คนที่หลงคิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างในอดีต

……..

แม้สิ่งที่แสดงออกมาจะดูมั่นคงในความรักอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ความยึดมั่นถือมั่นไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะเก็บไว้ เราจึงไม่ควรศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น เพราะความจริงแล้วการที่มีความยึดมั่นถือมั่นในคนรักเช่นนี้ ก็จะเกิดการจองเวรจองกรรมกันชั่วนิรันดร์

เราอาจจะศรัทธาในการรักและเฝ้ารอคอยตลอดไป แต่นั่นคือการจองเวรจองกรรมกันไปอีกหลายภพหลายชาติ เพราะจิตได้หลงสุขหลงเสพกับคนลักษณะนี้ ในอนาคตเราก็จะหาคนคล้ายๆแบบนี้มาเสพ แม้ในชาติหน้าหรือชาติอื่นๆต่อไป เราก็จะหาสิ่งที่เราหลงมาเสพไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น

แน่นอนว่าการมี “ความอยาก” ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถูกสนองเสนอไป เมื่อเราอยากแต่ไม่ได้เสพสมใจอยากก็เป็นทุกข์ แม้ได้เสพสมใจอยากแต่ไม่นานก็ต้องถูกพรากไปในขณะที่ตนเองยังหลงสุขกับสิ่งนั้น หรือแม้จะเสพไปก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสุขอยู่เช่นนั้นตลอดไป เมื่อเสพบ่อยเข้ามันก็จะเบื่อ ทำให้ต้องหาสิ่งที่ยิ่งกว่ามาเสพมาสนองกิเลสตัวเองมากขึ้น ขยับกำลังของความอยากมากขึ้นไปอีก เมื่ออยากมากขึ้นก็ทุกข์มากขึ้น ก็ต้องแสวงหาสิ่งที่จะมาบำเรอความอยากเพื่อกำจัดทุกข์ให้มากขึ้น ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนเข้าไปอีก จึงเกิดเป็นเหตุการณ์ดังเช่นการนอกใจคู่ครองของตน ในตอนที่เขาคบกัน เขาก็รักกันจริงนะ แต่อยู่ไปมันสุขไม่พอเสพ ซึ่งก็อาจจะทนไปได้สักพักหนึ่ง แต่พอมันหิวโหยเข้ามากๆมันก็เลยต้องไปหากินข้างนอกเพิ่มเติม ซึ่งเกิดจากความอยากที่มันโตขึ้นนั่นเอง ซึ่งเมื่อเกิดการนอกใจกันแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่ตัดใจกันได้ง่ายๆนะ มันก็ทนกันไปทั้งรักทั้งแค้น จองเวรจองกรรมกันไปอย่างนั้นแหละ

เคยเห็นไหม คนที่เขาจีบกันนานๆ เฝ้ารอคอยกันได้นานๆ นั่นแหละสภาพที่เขาจองเวรจองกรรมกันไว้ ไม่ยอมไปไหนสักที มีคนตั้งมากมายก็ไม่ยอมไปรัก แม้อีกคนจะไม่สนใจก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายใจอ่อนแพ้กิเลสก็จบเกมเมื่อนั้น ก็ร่วมสร้างวิบากกรรมใหม่กันต่อไป

ถ้าเสพกันแล้วใจพอไม่มักมากก็ไม่มีปัญหามากนัก แต่เอาเข้าจริงถ้าคนเขารอเสพมาหลายภพหลายชาติ บางทีมันคาดหวังมากนะ มันจะกินอย่างตะกละตะกลาม คืออยากได้มากๆ หวังว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องดีสมกับที่ลงทุนรอคอยมานาน แต่พอได้คบจริงแล้วมัน “ดีไม่พอกับใจ” ก็มีหลายคู่ จีบกันนานๆ สุดท้ายก็เลิกกันง่ายๆก็หลายคู่ เลิกกันแล้วกลับมาคบกันอยู่กันได้ไม่นานก็หลายคู่ ส่วนที่คบกันอยู่ได้ก็สะสมความยึดมั่นถือมั่นกันต่อไป รอเวลาที่จองเวรจองกรรมกันต่อในชาตินี้และชาติต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น

การยึดมั่นถือมั่นแม้ในช่วงเวลาที่สั้น แต่ก็เป็นกรรมที่ทำลงไปด้วยเจตนา อันเป็นเหตุให้เกิดผลของกรรม เราจองเวรจองกรรมเขา คือรอที่จะได้มารักกันด้วยความจริงจังมากเท่าไหร่และนานแค่ไหน เราจะต้องพบกับทุกข์มากและนานเท่านั้น ทั้งในขณะที่เฝ้ารอคอยความรักก็ตาม หรือในตอนที่ต้องได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นๆก็ตามนั่นหมายถึงเราอาจจะต้องเกิดสภาพเช่นนี้อีกทั้งในชาตินี้และชาติอื่นๆต่อไป นับประสาอะไรกับคนที่เป็นคู่ชีวิตกันเพราะความอยากมี นั่นแหละคือสุดยอดของความยึดมั่นถือมั่นเลยทีเดียว

– – – – – – – – – – – – – – –

29.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เกลียดความรัก

December 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,411 views 0

greasy cafe – สิ่งเหล่านี้

เกลียดความรัก…

เพลงนี้อธิบายสภาพของอัตตา รักดี เกลียดชั่วได้ดี เป็นมุมมองของคนที่ผิดหวังที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคม

แต่เราต่างเกิดมา เพื่อให้คนคนหนึ่ง ทำร้ายและกลืนชีวิตเราไป” ท่อนนี้ของเพลงแสดงสภาพอกหักผิดหวัง มองโลกติดลบอย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆแล้วเรานั่นแหละที่เกิดมาเพื่อทำร้ายและกลืนชีวิตตัวเองและผู้อื่นด้วยความอยากได้อยากมีของเรา พอไปมีแล้วไม่ดีดันไปโทษคนอื่นอีก โยนบาปไปเรื่อยเลย….

คนโสดแบบนี้มีเยอะ แต่ก็ไม่เรียกว่าโสดอย่างเป็นสุขหรอก เพราะจิตใจสุมไปด้วยไฟแค้น ความรังเกียจ อาการผลักต่างๆ กิเลสยังมีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ แล้วยังมีความยึดดีเพิ่มด้วย สภาพจะออกมาดูแข็งๆ โสดแบบขุ่นๆ

แต่การจะออกจากการมีคู่แบบนี้ง่ายนะ ออกด้วยอัตตา เอาอัตตาไปล้างกามนี่แหละ แล้วค่อยล้างอัตตาอีกที จะมารักๆกันอยู่แล้วหลุดพ้นด้วยทุกข์นิดหน่อยนี่ไม่ง่าย สมัยนี้หายาก ยุคนี้มันต้องเจ็บกันแรงๆ โดนกันหนักๆ ถึงจะเข็ด

ยังหาเพลงสมัยนี้ที่ไม่รักไม่เกลียดไม่ได้สักที~

การแต่งงานคือเข้าสู่สงคราม

November 13, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,142 views 0

กรณีศึกษาจากกระทู้ในพันทิพ “ใครเคยมีประสบการณ์แย่ ๆ กับงานแต่งของตัวเองบ้างคะ มาแชร์กันหน่อย” ( http://pantip.com/topic/34427805 )

….เพื่อการเรียนรู้ที่มากขึ้น เราควรศึกษาเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของท่านอื่นที่เจอปัญหาในการแต่งงานตั้งแต่กระบวนการคบหา จัดงาน สร้างครอบครัว จนกระทั่งวัยชรา เพื่อให้เห็นปัญหาและความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง

การแต่งงาน ก็คือการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ นอกจากจะรบกับคู่แล้ว ยังต้องรบกับพ่อแม่พี่น้องญาติมิตรสหายของคู่ด้วย ซ้ำร้ายกว่านั้นอาจจะเจอทั้งศึกนอกศึกใน

….ก็เรียนรู้กันไป

ภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ (การขอแต่งงาน)

November 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,629 views 0

จากข่าวที่มีการขอแต่งงานที่มีคนดูมากกว่าล้านครั้ง : คลิปขอแต่งงานที่น่ารักมาก ขนมาทั้งญาติทั้งเพื่อน เซอร์ไพรส์สุดๆ

สมัยนี้เขาไม่ขอแต่งงานกันธรรมดาแล้ว มันต้องมีบันเทิง มีบท มีละคร เรียกง่ายๆว่ามีอบายมุขเข้ามาเป็นองค์ประกอบ

พร้อมคำสัญญาที่มีไว้เพื่อล่อหลอกให้ได้เสพอีกฝ่าย แน่นอนว่าตอนที่เขาใช้คำเหล่านั้นเขาก็อาจจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงคือสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่จริง

หลายคนดูไปก็ซึ้งไป …แต่เดี๋ยวก่อน ทุกเสี้ยววินาทีที่คุณซึ้ง คุณสุขจากการเสพเรื่องราวเช่นนี้ คุณก็ได้สะสมกิเลสไปแล้วเท่านั้น

ใครประมาทก็จะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ถ้าคนเห็นโทษเห็นภัยของวัฏสงสารแล้วจะขำไม่ค่อยออกถ้าตนเองยังเหลือความเห็นผิดเหล่านั้นอยู่

แม้เผลอไปยินดีเพียงเสี้ยวเดียวในจิตใจ นั่นคือยังมีอุปาทานอยู่ ก็ต้องกลับมาตรวจกันยกใหญ่ว่ายังเหลือความเห็นผิดในอะไร สิ่งใดที่ทำให้เกิดรสสุขลวงขึ้นเช่นนี้

เกิดสุขจากเสพก็เป็นกิเลสแล้ว เพิ่มกิเลส สะสมกิเลสใครก็ทำได้ แต่ล้างกิเลสนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ลองดูกันเองแล้วจะรู้ว่าการจะออกจากสิ่งที่ตัวเองหลงนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความรู้ที่พาล้างกิเลสได้จริง ถึงจะมีความรู้ก็ใช่ว่าจะล้างความเห็นผิดกันได้ง่ายๆ

คนที่บอกว่าตนเป็นโสด ไม่สนใจเรื่องคู่ ถ้ายังดูเรื่องราวเหล่านี้แล้วยังเกิดสุข ยังฝันตามเขาอยู่ ให้ทบทวนตัวเองใหม่ได้เลย อย่าประมาท เพราะกิเลสมันแอบโตแล้วมันเล่นเรากลับทีเดียวหงาย

แค่ล้างกิเลสยังต้องใช้เวลาหลายชาติ นี่ยังมายินดีในการเพิ่มกิเลสกันอีก ก็วนอยู่กับสุขลวงกันต่อไปละนะ

. . . . . . . . . . . .

คลิปนี้มีคนเห็นกว่า 2 ล้าน(ตอนนี้) ถ้ามีคนติดสุขตามสัก 1.5 ล้าน แสดงว่าได้กระตุ้นกิเลสแล้ว 1.5 ล้านคน*กิเลสของเขา

คนทั่วไปก็มองว่าเป็นกำไร แต่จริงๆคือความขาดทุน เพราะสิ่งที่ทำก็คือกรรม คือเราเป็นเหตุในการกระตุ้นกิเลสเขา เราทำเท่าไหร่เราก็ต้องรับผิดชอบเท่านั้น

ลองคิดดูว่าถ้าชาตินี้มีคนมายั่วกิเลสเราให้เราอยากแต่งงาน 1.5 ล้านครั้ง เราจะทนไหวไหม แต่มันไม่มาแบบนั้นหรอก มันจะทยอยมาชาติละนิดละหน่อย มาล่อลวงให้เราหลงไปตามกรรมที่เราทำไว้ ไม่ขาดไม่เกิน

อะไรที่มันไม่พาพ้นทุกข์ท่านให้ปิดไว้ ถึงจะรักกันหลงกันยังไงก็ให้ปิดไว้เงียบๆเท่าที่จะทำได้ เปิดเผยมามันจะไม่งาม เพราะสิ่งที่เปิดเผยนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะโง่จึงเปิดเผย เพราะโง่จึงหลงผิด

. . . . . . . . . . . .

บทความนี้คนมีศีลในระดับต่างกันจะมีความเห็นต่างกัน (*ศีลในทีนี้คือสามารถปฏิบัติได้อย่างปกติ มีศีลนั้นเป็นสามัญ มีปัญญารู้แจ้งในคุณของศีลนั้น)

1.คนไม่มีศีล มองเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็ทำได้ ไม่เห็นแปลก สุขจะตาย

2.คนฐานศีล 5 ก็ยังมองว่าสุขอยู่ รู้ว่าไม่ดีหรอก แต่ชาตินี้ขอมีคู่ก่อนแล้วกันนะ

3.คนฐานศีล 8 ในระดับมรรคจะมีความละอายถ้าตนรู้สึกยินดีในเรื่องมีคู่ ถ้าในระดับผลจะไม่มีความยินดีใดๆแล้ว

4.ศีลมากกว่านั้น เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ที่คนหลงเสพหลงสุขมัวเมากันไป เหมือนมองเด็กๆ เล่นดินเล่นทราย หยิบขี้หมาแห้งมากินแล้วหัวเราะมีความสุข