คู่มือคนโสด
การตั้งจิตเป็นโสด เกิดมาชาติใดก็ขออย่าได้มีคู่ครองอีกเลย ทำได้จริงไหม? ทำอย่างไร?
การตั้งจิตเป็นโสด เกิดมาชาติใดก็ขออย่าได้มีคู่ครองอีกเลย ทำได้จริงไหม? ทำอย่างไร?
มีคำถามเข้ามาว่า “ตั้งอธิฐานจิตอย่างไรให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นโสดหมดพันธะเรื่องคู่ครอง” ก็จะตอบกันไปตามที่รู้ ซึ่งการตั้งจิตเป็นโสดนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ เข้าถึงผลได้ คือทำจิตให้เป็นโสดได้ แต่จะข้ามภพข้ามชาติหรือไม่อย่างไรก็ลองอ่านกันต่อดู
การตั้งจิตเป็นโสด
ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า และ “ผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต” ก็เป็นคำยืนยันในทิศทางปฏิบัติที่เจริญ ดังนั้น การตั้งจิตตั้งใจว่าจะอยู่เป็นโสด ก็ถือเป็นความเจริญทางหนึ่งที่ผู้ศรัทธาพึงปฏิบัติ การตั้งจิตเป็นโสดนั้น คือการตั้งใจไว้ว่าตนเองจะประพฤติกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในธรรมที่พาให้เป็นโสด ไม่ส่งเสริมในสิ่งใด ๆ ที่จะพาให้มีคู่ ดังนั้น คนที่ตั้งจิตเป็นโสดจะต้องคอยตรวจสอบกายวาจาใจของตนว่ากิจกรรมเหล่านั้น เป็นไปเพื่อส่งเสริมความเป็นโสด หรือเพิ่มความหลงมัวเมาในความเป็นคู่
การจะอยู่เป็นโสดได้นั้น จำเป็นต้องมีตัวอย่างที่ดี มีคำสอนที่เป็นหลักชัย เพราะตัวอย่างที่ดีจะเป็นกำลังใจและคำสอนที่ดีจะเป็นปัญญาพาให้ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ ฝ่าฟันผ่านการหลอกหลอนของกิเลสได้
เมื่อคนตั้งใจจะเป็นโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นโสดได้อย่างที่ใจตั้งไว้ จะมีมารเข้ามาเพื่อทำให้ใจนั้นล้มเลิก ล้มเหลว มารนั้นคือกิเลสของเราเอง แต่จะผ่านเข้ามาผ่านการกระทบสิ่งต่าง ๆ ในโลก เช่นเจอคนที่ชอบ คนที่ชอบเขามาคุยด้วย คนที่ชอบมาบอกรัก คนที่ชอบมาขอคบหา คนที่ชอบมาขอแต่งงาน ฯลฯ อะไรทำนองนี้ ก็เป็นโจทย์ที่จะคอยผลักให้ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ ล้มเลิกที่จะพัฒนาตนให้ก้าวข้ามความอยากมีคู่ได้
การตั้งใจประพฤติปฏิบัติตนเป็นโสดในคนโสดนั้น ก็ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ คือตั้งใจ และหาครูบาอาจารย์ที่จะคอยช่วยแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนในประเด็นที่ได้ประมาทไป หาหมู่มิตรดีที่มีพลังในการช่วยในการต่อสู้กับความอยากมีคู่ ต้องสร้างองค์ประกอบที่ตนเองจะสามารถประสบความสำเร็จได้ง่าย เหมือนนักรบที่รู้จักชัยภูมิในสงคราม เมื่อเขารู้ว่าควรจะตั้งทัพตรงไหน บุกจากตรงไหน ป้องกันตรงไหน ก็จะชนะศึกนั้นได้ไม่ยาก ก็เหมือนกับคนที่ตั้งใจจะเป็นโสด ก็ต้องรู้จักหลักว่าควรจะรบและรับอย่างไร ควรจะมีพันธมิตรเป็นใคร ควรจะอยู่ห่างใคร จึงจะประสบผลสำเร็จ
ทั้งนี้การประพฤติตนให้อยู่เป็นโสดนั้น จะสอดคล้องกับการถือศีล 8 ดังนั้น ถ้าจะให้ปฏิบัติไม่ยากไม่ลำบากนัก ก็ควรจะปฏิบัติศีล 5 ให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่ผิดศีลมาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีกำลังไปสู้กับมารที่แกร่งกว่า การถือปฏิบัติศีล 8 ไปพร้อม ๆ กัน จะช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้กับกิเลสได้มากขึ้น ยิ่งทำศีล 8 ได้ดีเท่าไหร่ อัตราการรอดพ้นก็สูงขึ้น
การตั้งจิตเป็นโสดในคนคู่
การปฏิบัติตนเป็นโสดในคนที่มีคู่ครองจะยากและซับซ้อนกว่าคนโสด และจะยากขึ้นไปอีกเมื่อมีลูก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทั้งนี้การปฏิบัติตนเป็นโสดนั้นในสภาพคนคู่นั้น คือการปฏิบัติที่จิต ทำในใจตนเอง เพราะการดูแลคู่ครองและการดูแลลูกนั้น ก็ยังเป็นหน้าที่ ยังเป็นมงคลชีวิตที่ควรกระทำอยู่ดี แล้วจะทำอย่างไรที่ต้องแบกหน้าที่ไปด้วย ตั้งจิตเป็นโสดไปด้วย?
โจทย์ ในการตั้งจิตเป็นโสดของคนคู่จะมีมากขึ้นตามตัวแปรที่เพิ่มขึ้น มันจะผูกจะพันวกวนไปมาตามปริมาณของตัวแปรมีมากนั้น ๆ ยิ่งมีคนมาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งยุ่งยากมากเท่านั้น คนมีคู่ที่จะตั้งจิตเป็นโสด จึงต้องจัดการกิเลสหลาย ๆ เรื่องที่เข้ามาทำให้จิตใจขุ่นมัว เพื่อที่จะมุ่งเป้าให้ชัดในการจะกำจัดกับความหลงในการมีคู่
เหตุของการมีคู่ คือกิเลสที่หลงสุขไปกับการมีคู่ เป็นไปได้ทั้งสองทางคือฝั่งกามและอัตตา กามคือการเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อัตตาคือความอยากได้สมดั่งใจตน ได้สมตามที่ตนเชื่อถือ เช่น เชื่อว่ามีความรักแล้วชีวิตจะสมบูรณ์แบบ ฯลฯ
ความหลงสุขในกามและอัตตานี่เอง ที่ดึงคนให้หลงเข้าไปเสพ ตรึงคนให้วนเวียนอยู่ ออกไม่ได้ เราจะต้องทำความชัดเจนในใจในแต่ละประเด็นว่าเราหลงติดหลงยึดอะไร ถึงได้ยอมเป็นทุกข์อยู่จนถึงทุกวันนี้ ทำไมถึงได้เลือกเขามาเป็นคู่ ทำไมถึงได้สร้างลูกคนนี้คนนั้นขึ้นมา แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นมามันมีเหตุ เราต้องดับเหตุตัวนั้น อันนี้เรียกว่าส่วนอดีต เป็นสิ่งที่ต้องชำระ เพราะหากระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วยังมีอาการชอบหรือชัง ก็ยังเรียกว่าผูกพัน ไม่พ้นจากความเป็นคู่ไปได้ เรียกว่าการตรวจเวทนาในอดีต หนึ่งในองค์ประกอบของเวทนา 108 ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะต้องทำเมื่อจะปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์
ส่วนของปัจจุบัน ก็ต้องตรวจใจว่าในแต่ละกรรมกิริยา แต่ละการกระทบที่เกิดขึ้น ที่เขาพูด ที่เขาทำ แล้วกระทบใจเรา เรายังหลงชอบหลงชังอยู่ไหม ยังปลื้มใจ ดีใจ ภูมิใจอยู่ไหม หรือไปทางชิงชังรังเกียจ ทั้งสองทางเรียกว่าทางโต่งสองด้านของจิตที่ไม่พาพ้นทุกข์ เมื่อเรากระทบกับเหตุการณ์ เราก็ต้องจับอาการ จับเวทนา ว่ามันไปทางทิศไหน ชอบหรือชัง ทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ และตรวจต่อไปว่าสุขทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากเราหลงในอะไร เพราะความจริงคือมันไม่มีสุขและไม่มีทุกข์ด้วย (ในกรณีเป็นการพูดกระทบ มอง แสดงอาการ ฯลฯ ไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย หรือการเยียวยารักษา) แต่เป็นเราเองที่เติมสุขทุกข์เหล่านั้น ลวงจิตของเราเอง เราก็ตรวจหาความหลงของเราที่ทำให้เกิดอาการของจิตเหล่านั้น แล้วใช้ธรรมะที่ได้เรียนมาจากครูบาอาจารย์ หรือถ้าไม่มาไม่ไปก็ไปสอบถามปรึกษาอาจารย์หรือมิตรดี ก็จะทำให้ผ่านพ้นได้เร็วขึ้น
เมื่อจิตกำจัดความหลงในคู่ครองได้โดยลำดับ จะรู้ตัวว่าเริ่มพ้นจากการที่ต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่ คือไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เราก็จะไม่หลงชอบหลงชัง หลงสุขหลงทุกข์ตามเขา เราก็ปกติของเรา นิ่งเหมือนทะเลสาบไร้ลม ไม่มีแม้คลื่นใด ๆ ที่เกิดการกระเพื่อมหรือขยับแม้เล็กแม้น้อย อันนี้คือเรามีอิสระในจิตเราแล้ว เราไม่ถูกครอบงำโดยเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะพบว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเขาอยู่ ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเราไม่ได้พึ่งพาเขา ไม่ได้หลงเขา ไม่ได้เอาใจไปฝากไว้ที่เขา แต่เอาไว้ที่ตัวเอง ไว้กับตัวเอง เป็นความโสดในจิต
การตั้งใจเป็นโสดก็คือทำใจให้เป็นโสด ไม่หลง ไม่พึ่งพิง ไม่ตกอยู่ในอำนาจของเขา เป็นอิสระ ถ้าทำได้แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเคย และการทำหน้าที่คู่และผู้ปกครองจะดีขึ้น เพราะไม่มีอคติลำเอียง ชีวิตคู่จะเป็นอยู่ผาสุกขึ้นเพราะเราจะไม่ไปเอาอะไรจากเขา ที่เหลือก็ทำดีให้มาก ๆ เพิ่มศีลขึ้น ขยันฟังธรรม ทำความเข้าใจเรื่องกรรมว่าไปผูกเขามาแล้วก็ต้องรับกรรม ถึงเวลาถ้าเขาจะปล่อยเรา เดี๋ยวก็จะมีสัญญาณเอง เช่น เขามีคนอื่น, เขาอยากเลิกเอง, เขาตาย … เราก็แค่รับความเป็นจริงในเหตุการณ์นั้นตามจริง คือเขาจะไปเราก็ปล่อย คนใจเป็นโสดนี่เขาไม่ยึดคู่อยู่แล้ว พร้อมวาง พร้อมเลิกเสมอ แต่ไม่โลภมากที่จะรีบเลิก แล้วก็ไม่กลัวจนเกินไปจนไปเสริมกิเลสคู่ พอปล่อยเสร็จเราก็เป็นโสดแล้ว ก็อยู่ไป ทำดีไปตามภูมิ ไม่เสียเวลาต้องแสวงหาใหม่ เพราะถ้าจิตเป็นโสดจะไม่แสวงหาใคร
คนที่มีลูก ก็ต้องพิจารณาเรื่องลูกด้วย ให้ละหน่ายคลายความหลงรักลูก เพราะลูกนี่แหละ คืออีกหนึ่งเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอยากมีคู่ เพราะอยากมีลูกเลยต้องหาคู่ เพราะหลงว่าลูกจะดี ต้องมีคู่ดี เรื่องมันเลยยุ่ง เพราะจริง ๆ ไม่ได้ติดคู่ครองมาก แต่ติดลูก เวลาล้างกิเลสไปมันจะติด ค้างแบบงง ๆ เหมือนจะไม่ติดไม่ชอบไม่ชังคู่ แต่จะไม่ผ่องใส จะต้องล้างความหลงในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทำเปื้อน(หลง)มาเท่าไหร่ ต้องล้างให้สะอาดทั้งหมดเท่านั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้
การตั้งจิตเป็นโสดข้ามภพข้ามชาติ
การตั้งจิตเป็นโสดในชาติหน้านั้นเป็นการตั้งความหวังในเรื่องของอนาคต แต่ก็สามารถทำในชาตินี้ได้ ก็คือการตรวจใจว่าถ้าในอนาคต มีคนเข้ามาแบบนั้นแบบนี้ ในเงื่อนไขนั่นนู่นนี่ เราจะเผลอใจไปไหม ก็ตรวจตนเองไป เอาเหตุการณ์ข้างนอกที่มีนั่นแหละ มาตรวจว่าเรายังมีจิตยินดีในการมีคู่ของคนนั้นคนนี้อยู่รึเปล่า ดูหนังดูละครแล้วยังเคลิ้มไปกับเขารึเปล่า การตรวจเวทนาในอนาคตคือตรวจสิ่งที่ยังไม่เกิดจริง โดยใช้จิตปัจจุบันเป็นตัวอ้างอิง
เช่นบางคนแค่นึกถึงว่าจะมีคนแบบนั้นแบบนี้เข้ามา ก็เป็นสุขแล้ว แค่คิดก็เป็นสุข อันนี้เป็นลักษณะของการฝันไปในอนาคตแต่เป็นสุขในปัจจุบัน การตรวจกิเลสก็เช่นกัน คือใช้องค์ประกอบที่มีแนวโน้มจะเกิดในอนาคตมาตรวจความหวั่นไหวในปัจจุบัน แล้วขยันตรวจซ้ำกับเหตุการณ์ในอดีต ล้างความหลงติดหลงยึดที่พาให้เกิดชอบหรือชังไปตามลำดับ(มรรค) และยืนยัน “ผล” ด้วยความจริงที่ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่จะล่อลวงไปให้หลงมีคู่ใด ๆ ในปัจจุบัน
ตรวจเวทนา คือความชอบความชัง ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต นี้วนไปวนมา จนมั่นใจแล้วไม่ว่าจะมาแบบไหนก็ไม่หวั่นไหว จิตไม่ไหลไปตามกิเลส ไม่เคลิ้มไปตามเรื่องชวนฝัน ก็เป็นใช้ได้ ยิ่งมีตัวยืนยันในปัจจุบันเลยจะยิ่งชัดในใจตนเองว่า “ไม่แพ้”
ถ้าใจตั้งมั่นแม้มารยกทัพมากระทืบ ใจก็ยังไม่หวั่นไหว ก็ยืนยันได้เลยว่าอนาคตไม่แพ้แน่นอน นั่นหมายความว่าสิ่งนี้แหละ จะติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ แต่….
ถึงแม้ว่าเราจะทำจิตให้เป็นโสดได้ดังนี้แล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะการันตีว่าเกิดชาติหน้าเราจะไม่หลงไปมีคู่ ขนาดพระพุทธเจ้าที่มีบุญบารมีสูงสุดในโลก ยังต้องไปมีคู่ ข้อนั้นเพราะอะไร นั่นก็เพราะแรงกรรมมันมากกว่า ท่านมีกรรมที่ต้องรับ เราเองก็เช่นกัน ล่อหลอกมอมเมาคู่มาเท่าไหร่ เป็นตัวอย่างให้คนหลงไปมีคู่มาเท่าไหร่ เคยเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนยินดีในการมีคู่มีครอบครัวมาเท่าไหร่ เราต้องรับกรรมนั้นแน่ ๆ แต่…
ถึงแม้เราจะต้องรับกรรมเหล่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ร้ายขนาดที่จะต้องหลงมัวเมาไปตลอดชาติ กรรมนั้นรับแล้วก็หมดไปเป็นส่วน ๆ แม้กรรมชั่วเราทำมา แต่กรรมดีเราก็ทำมาเช่นกัน และถ้าทำกรรมดีขนาดพ้นจากความหลงในการมีคู่ด้วย ดังเช่นพระพุทธเจ้า เวลาจะออกจากครอบครัว จะมีพลังในการออกได้ทันที เช่นเดียวกับพระมหากัสสัสสปะ พอคิดจะเลิก ก็เลิกได้ทันที จิตจะไม่หวั่นไหว และคู่ครองจะรั้งไว้ไม่ได้ พอกรรมหมดอำนาจ วิบากคลายก็สามารถหลุดออกมาได้ทันที จะมีองค์ประกอบที่จะไม่มีใครขัดหรือรั้งไว้ได้
หลุดพ้นในแบบที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะคนทั่วไปที่เขาไม่เคยทำมา ไม่เคยสะสมกรรมดีระดับหลุดพ้นคู่มา แม้เขาพบธรรมะ แต่ใจเขาจะไม่อยากออก มันจะออกยาก จะผูกพัน หรือไม่ก็คู่รั้งไว้ ผูกไว้ มันจะสะบัดออกยาก แม้อยากออกก็ไม่มีปัญญาจะออก ไม่ก็เวียนกลับไปหลงมัวเมาเหมือนเดิม อันนี้คือตัวอย่างของความต่างระหว่างผู้ที่สะสมภูมิธรรมในการหลุดพ้นจากคู่มาข้ามภพข้ามชาติกับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาเลย ให้สังเกตตอนตั้งใจปฏิบัติจะมีความยากง่ายที่ต่างกัน บางคนแค่คิดก็ทำได้เลย บางคนนี่ฟังพระพุทธเจ้าก็แล้ว ฟังอาจารย์ก็แล้ว ฟังเพื่อนก็แล้ว นั่งสมาธิฝึกสงบใจก็แล้ว ตั้งสติหลุดฟุ้งซ่านก็แล้ว ก็ยังอยากไปมีคู่อยู่นั่นแหละ มันก็จะมีวิบากกรรมต่าง ๆ กันไปตามที่ทำมา
สุดท้ายคนที่มี “ทุนเก่า” หรือ “บุญเก่า” ที่ประพฤติตนเป็นโสดมาข้ามภพข้ามชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าตนทำมามาก ปฏิบัติมามาก ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะบังเอิญ หรือเพราะไม่มีคนมาจีบ ฯลฯ แต่ได้มาเพราะตั้งใจปฏิบัติสะสมผลข้ามภพข้ามชาติ โดยสภาพก็จะมีทั้งกำลังจิตที่เข็มแข็งและปัญญาติดตัวมาด้วย
นี้คือสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของการตั้งจิตเป็นโสดข้ามภพข้ามชาติ เหมือนกับคนรวย จะไปที่ไหน ๆ ก็เบิกเงินใช้ได้ไม่ยาก คนที่ตั้งใจปฏิบัติก็เช่นกัน ถ้าทำมามาก ไปเกิดที่ไหน ๆ ก็จะไม่เดือดร้อนมาก ซึ่งการจะสะสมผลเหล่านี้ ก็จะทำกันที่ “ปัจจุบัน” เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ตั้งใจจะเป็นโสดทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ก็จะต้องทำปัจจุบันให้จิตเป็นโสดมั่นคงยั่นยืนถาวรไม่เวียนกลับ ฯลฯ ให้ได้ แล้วสั่งสมกุศลด้วยการบำเพ็ญ ทำตนเป็นตัวอย่าง เผยแพร่ธรรมที่ตนมีจริง ก็จะเป็นทุน (กุศลกรรม) ที่จะส่งผลให้ได้อยู่ผาสุกปลอดภัยในอนาคต
6.3.2563่
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
วิธีตรวจสอบ ความเต็มรอบของการปฏิบัติตนเป็นโสด
หลักฐานอันหนึ่งที่จะเอามาเทียบกับสภาวะตนเองได้นั่นก็คือ ข้อความในอนุตริยสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นเลิศยอดที่สุดในโลก กับสิ่งยอดแย่ที่คนโลกีย์หลงแสวงหา
ในหัวข้อ “ลาภานุตตริยะ” ท่านกล่าวถึงการได้ลาภในโลกหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งการได้มีลูกและได้คู่ครอง
แล้วท่านก็ตรัสสอนต่อไปว่า “ลาภแบบนี้มีอยู่ แต่ล้วนเป็นลาภเลว”
ก็เอาจิตตัวเองนี่แหละไปเทียบ ถ้าปฏิบัติจนถึงผล ความเห็นจะแนบเป็นเนื้อเดียวกับพระพุทธเจ้าโดยไม่มีแม้ขอบเผยอขึ้นมาเลย เนียนกว่าแปะเทปแล้วละลายเป็นเนื้อเดียวกันเสียอีก เพราะถ้าเห็นถูกมันจะเป็นจิตเดียวกันแบบไม่มีข้อแม้เลย
แต่ถ้าคนยังไม่ถึงผล มันจะมีสารพัดข้อแม้และเงื่อนไข จะมีคำแย้งในหัวขึ้นมาเช่น “แต่ว่า…” หรือก็ไม่เชื่อจริง ๆ หรอกว่าเป็นลาภเลว หรือก็ไม่คิดว่ามันจะเลวขนาดนั้นหรอกมั้ง จิตมันจะไม่น้อมเข้าตามธรรมนี้ มันจะมีความไม่ชัดเจน เกิดความขุ่นข้อง ขัดเคือง หมองใจ ไม่ยินดี จะไม่สดชื่น ไม่สดใส ไม่ร่าเริงในธรรม คือไม่อยากรับรู้ความเห็นเช่นนี้นั่นแหละ
จริง ๆ ก็มีอีกหลายสูตร เช่น นั่งข้างงูพิษ ก็ยังดีกว่านั่งคุยกับผู้หญิงสองต่อสอง เป็นต้น คนที่สภาวะเต็มรอบจะเห็นภัยตามนั้น รู้ภัยตามที่พระพุทธเจ้าว่า แม้จะไม่ชัดในปริมาณของโทษ แต่จะชัดในแนวทางของพิษภัย
ผมก็ใช้วิธีเหล่านี้แหละตรวจสอบใจไปเรื่อย ๆ ศึกษาไปก็เห็นตามท่านจริง ๆ เพราะถ้าทำผิดไปจากที่ท่านว่า มันจะเกิดความเสียหายขึ้นมา แม้จิตเราจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันจะมีวิบากเกิดขึ้น สร้างความลำบากให้ชีวิตอยู่เหมือนกัน
แล้วแบบที่เขาหลงไปว่ามีลูกดี มีเมียดี มีผัวดี นี่ไม่ต้องห่วงเลย ก็แช่อยู่แถว ๆ นั่นแหละ จมอยู่กับลูกดี คู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหน ตราบที่เขายังมีความเห็นเหล่านั้นอยู่
ศัตรูชีวิตก็คือสตรี
ศัตรูชีวิตก็คือสตรี
ความเจ้าชู้ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ก็เป็นภัยแก่ความผาสุกทั้งสิ้น หลายครั้งที่ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับคนที่คนรักไปมีชู้ แล้วเขาก็แก้ปัญหาในทางที่ผิด คือแก้ด้วยความโกรธ แค้น อาฆาต มุ่งร้าย ทำลาย ฯลฯ คือมีแต่พากันให้เป็นทุกข์ ตัวเองก็ทุกข์เพราะโทสะ คนอื่นก็ทุกข์เพราะผลแห่งการบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะชวนกันมาศึกษาว่า เรื่องเหล่านี้ควรจะแก้ไขอย่างไรหนอ? ชีวิตจึงจะเป็นสุข ลองมาอ่านความตอนหนึ่งจากพระไตรปิฎกกัน
“บัณฑิตจะพึงวางใจอย่างไรได้ว่า หญิงนี้เรารักษาไว้ดีแล้ว วิธีที่จะป้องกันรักษาหญิงผู้มีหลายใจ ไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่าหญิงเหล่านั้นมีอาการคล้ายก้นเหวที่เรียกกันว่าบาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น
เพราะเหตุนั้นแหละ ชนเหล่าใดไม่เที่ยวคลุกคลีกับมาตุคาม(ผู้หญิง) ชนเหล่านั้นมีความสุขปราศจากความโศก ความประพฤติไม่คลุกคลีกับมาตุคามนี้เป็นคุณนำความสุขมาให้ บุคคลผู้ปรารถนาความเกษมอันอุดมไม่พึงทำความเชยชิดสนิทสนมกับมาตุคามเลย (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗“สมุคคชาดก” ช้อ ๑๒๙๙)
ในชาดกตอนนี้ท่านว่า ไม่มีหรอกที่จะรักษาผู้หญิง(ผู้ชาย) ที่หลายใจ เราจะวางใจไม่ได้เลย เพราะหญิงหรือชายหลายใจเหล่านั้นไม่เคยพอ ไม่เคยเต็ม ดังเนื้อเพลงฮิตสมัยก่อนว่า “เติมใจเธอไม่เคยเต็ม เติมใจเธอไม่เคยพอ” คนหลายใจก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอแบบนี้ จะทุ่มโถมทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม เพราะกิเลสนั้นคือความเสพไม่เคยอิ่ม คนที่ประมาท ชะล่าใจ ไว้ใจ ว่าตนเองเอาอยู่ ตนเองควบคุมได้ รักษาไว้ได้ คนที่ประมาทอย่างนี้ก็ต้องพบกับทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในย่อหน้าที่สองยังสรุปไว้อย่างหนักแน่นว่า คนที่ไม่ไปยุ่งหรือวนเวียนอยู่กับผู้หญิง คนเหล่านั้นจะมีแต่ความสุข ไม่มีเศร้าหมอง ถ้าดำรงชีวิตไม่คลุกคลีกับผู้หญิงจะนำความสุขมาสู่ชีวิต คนที่หวังจะมีชีวิตผาสุกอย่างยิ่งยวด ไม่ควรไปสนิทสนมกับผู้หญิงเลย
ถ้าอ่านรู้แล้วสึกว่า มันอะไรกันนักกันหนากับผู้หญิง จะยกเนื้อหาเพิ่มเติมให้ศึกษา คือตอนที่แม่ที่เลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะมาตั้งแต่ยังเด็ก จะมาขอบวช แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงอนุญาต ขอแล้วขออีก น้ำตานองหน้า โกนหัว นุ่งผ้าฝาด เดินจนเท้าพองมาขอ ท่านก็ยังไม่ให้บวช จนพระอานนท์ต้องตื้อแล้วตื้ออีก จนพระพุทธเจ้ายอมแบบมีข้อแม้ คือนักบวชหญิงต้องปฏิบัติคุรุธรรม 8 ประการ ตลอดชีวิต เป็นข้อธรรมที่หนัก และทำได้ยาก ทำลายอัตตาผู้หญิงแบบสุด ๆ ผู้หญิงที่ยอมทำตามเท่านั้นจึงจะให้บวชได้
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าได้สอนว่าถ้ารับผู้หญิงเข้าบวชมาในศาสนา อายุศาสนาจะสั้นลงเท่าหนึ่ง เช่น จาก 1,000 ปี ก็เหลือ 500 ปี ท่านเปรียบไว้เช่นว่า “เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน” สุดท้ายพระพุทธเจ้าสรุปว่าคุรุธรรม 8 ประการนั้นแหละ จะเป็นตัวกั้นไม่ให้เสื่อม เหมือนกับทำขอบสระให้ใหญ่พอที่จะกั้นไม่ให้น้ำไหลออกได้ ดังนั้นความเสื่อมจะเกิดน้อยที่สุด เท่าที่นักบวชหญิงทั้งหลายยังถือปฏิบัติคุรุธรรม 8 ประการ
เรื่องเหล่านี้นี่เอง คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เห็นโทษภัยแม้เล็กแม้น้อยที่มีในผู้หญิง และยังมีอีกหลายสูตรเกี่ยวกับความเป็นภัยของผู้หญิง ดังนั้น ผู้ชายอย่างเราก็ควรจะรักษาตนให้เป็นโสด ไม่คลุกคลีกับผู้หญิงโดยไม่จำเป็น ชีวิตก็จะเป็นอยู่ผาสุก ห่างไกลบาปกรรมและการทำสารพัดเรื่องชั่วได้นั่นเอง
19.2.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในความรัก
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในความรัก
ความรักนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเป็นทุกข์ ร้อนรน กระวนกระวาย เมื่อคนเกิดความรัก ก็เหมือนเขาถูกมนต์สะกดของกามเทพ ให้หลงใหล มัวเมา ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องความรัก ความจริงแล้วสิ่งที่ลวงคนให้หลงไปกับความรักก็ไม่ใช่อะไรนอกจากกามราคะและอัตตาเท่านั้นเอง
ในมุมมองของธรรมะ ความรักไม่ใช่สิ่งที่สวยงาม ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทุ่มเทเพื่อให้ได้มา เป็นเพียงสิ่งที่ควรจะทุ่มทิ้งไป แต่ในมุมโลกียะความรักนั้นเหมือนกับเป้าหมายในชีวิตที่หลายคนเฝ้าฝันที่จะได้มาครอบครอง ทุ่มกายเทใจแลกมันมา ท้ายที่สุดก็จะได้มาแค่ทุกข์ ทุกข์ และทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้าสอนว่า ในความรักนั้น มีเพียงแค่ทุกข์ ไม่มีอะไรปนอยู่นอกจากทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีความดีงามอะไร มีแต่ความทุกข์ล้วน ๆ นี่คือมุมมอง ที่เห็นผ่านสายตาของผู้ที่หมดกิเลส จึงได้เห็นความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่คนจะเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ ในเมื่อความรักนั้นทำให้เขาเหล่านั้นตาบอดอยู่
เมื่อความรักเกิด ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นทันที ความอยากได้อยากครอบครองก็เกิดขึ้น ความอยากเติบโตขึ้นเท่าไหร่ ความทุกข์ก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ความหวง ความโกรธ ก็จะแรงเป็นเงาตามตัว มีใครบ้างที่เกิดความรักแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีหรอก เพียงแต่เขาจะรู้รึเปล่าว่านั่นคือ อาการของทุกข์ ความกระวนกระวายใจ ความคิดถึง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทุกข์ที่รบกวนจิตใจ แม้จะดูเหมือนเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากจะให้มีเสี้ยนตำฝังในเท้า เดินไปก็เจ็บไป ความรักก็เช่นกัน เมื่อเกิดขึ้นย่อมทำให้เกิดความอยาก ความใคร่ ความกระสัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้จิตอยู่ไม่เป็นสุข วิ่งวนไปวนมาแต่เรื่องความรัก หาวิธีให้ได้มาเสพ ให้ได้สุขมากขึ้น หมกมุ่นอยู่กับความคันในใจเหล่านี้เรื่อยไป
แม้จะได้ความรักมาครอบครองแล้ว แต่ก็ใช่ว่ามันจะคงอยู่แบบนั้นตลอดไป มันอาจจะโตขึ้นเพราะมีกามราคะและอัตตาเป็นอาหาร มันอาจจะรู้สึกสุขเพราะได้เสพสมอารมณ์กิเลสอยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันจะหายไป ไม่ว่าความรักใด ก็ต้องเผชิญกับ “ความแก่” เป็นสภาพเสื่อมถอย เป็นขาลงของความรัก ความอ่อนแรง ไม่สดชื่น ความไม่ทันใจ ไม่ได้อย่างใจเหมือนก่อน ไม่เหมือนสมัยวัยรุ่น สิ่งเหล่านี้จะทำให้คนทุกข์เพราะผิดหวัง เพราะมันไม่สุขสมใจเหมือนก่อน แม้จะพยายามแค่ไหน มันก็ไม่สุขเท่าตอนรักกันใหม่ ๆ นี้คือสภาพแก่ หรือความชราในความรัก นั่นเพราะกิเลสมันไม่ใช่สิ่งเที่ยง ไม่ใช่ว่าเสพรสเดิมแล้วมันจะสุขเท่าเดิมตลอด มันต้องหารสใหม่ ๆ มาเติมเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้คู่รักต้องพยายามเติม พยายามบำเรอกันยิ่งขึ้น ๆ เพื่อที่จะหนีจากความแก่เหล่านี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง ทุกคนก็ต้องแก่ ความรักก็ต้องเสื่อม มันเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งจะพาให้คนผู้ยึดมั่นถือมั่นในความรักนั้นทุกข์และเศร้าหมองกันเลยทีเดียว
ก็อาจจะมีบ้างที่มีคนที่มีความสามารถในการบำเรอกิเลสอีกฝ่าย มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุขบำเรอให้ แม้จะพยายามทำให้ความเสื่อมของความรักนั้นเกิดช้าที่สุด แต่ความรักก็ยังหนีความเจ็บป่วยไปไม่ได้ คนสองคนไม่มีทางที่จะคิดเหมือนกันไปได้ตลอด มันจะมีเรื่องที่ทำให้เกิดการกระทบของความเห็นที่แตกต่าง แรกรักก็อาจจะยอมกันไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ฝ่ายหนึ่งยึดมั่นถือมั่นมาก ๆ ถึงกับไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้เกิดการทะเลาะกัน การทะเลาะกัน ผิดใจกัน ขุ่นข้องหมองใจกัน อาการเหล่านี้คือสภาพเจ็บป่วยในความรัก เป็นแผลใจ เป็นรอยด่าง เป็นสภาพเสื่อมแบบสะสม เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกข์ กังวล ระแวง หวั่นไหว เป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่ที่คนรักกันเลิกกันก็เพราะทะเลาะกันนี่แหละ ก็อาจจะมีบางคู่ที่จะเลิกกันไปเฉย ๆ เพราะไม่ได้ทะเลาะหรือผิดใจกัน แต่ที่เขาเลิกกันนั้น ก็เพราะว่าเขาเป็นทุกข์ เพราะทุกข์จากความรักมันมากกว่าการเลิกกัน เลิกกันมันเป็นสุขกว่า เขาก็เลิกกัน เพราะรักแล้วมันทุกข์ เขาเป็นทุกข์หนัก เขาก็ไม่อยากแบกมันไว้ เขาก็เลิก ส่วนที่ไม่เลิกก็ประคองกันไป เยียวยาแผลใจกันไป อยู่กันอย่างชิงชัง หวาดระแวง เป็นความอาฆาตแค้นสะสมไว้ในใจทีละน้อย ๆ จองเวรจองกรรมกันไปเรื่อย ๆ
สุดท้ายก็มาถึงความตายในความรัก มาถึงจุดที่มันต้องพราก เขาบังคับให้พราก ไม่จากเป็น ก็จากตาย ถ้าจากตายก็อาจจะทุกข์หนักมาก เพราะสูญเสียชัดเจน ก็น่าเห็นใจคนที่เข้าไปรัก รักใครแล้วเสียคนนั้นไป ก็เป็นทุกข์ รักมากทุกข์มาก ส่วนจากเป็นนี่ก็หลากหลายมิติ สารพัดบทละครที่วิบากกรรมจะสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นทุกข์ จะเล่นเป็นบทไหน ก็ต้องเป็นทุกข์ จะจบแบบชัดเจนก็ทุกข์ จบแบบไม่ชัดเจนก็ทุกข์ เพราะเขาจะให้พรากจากสิ่งที่รัก สุดท้ายจะเล่นได้รางวัลตุ๊กตาทองหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความยึดมั่นถือมั่นในความรัก ยึดมาก จริงจังมาก ทุกข์มาก
ไล่มาตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเรื่องความรัก ก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นที่เกิดขึ้น ทนทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วทุกข์ก็ดับไป ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ ไม่เห็นจะน่าได้น่ามีหรือน่าครอบครองตรงไหน มีทุกข์จะมีไปทำไม ก็เว้นเสียแต่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันก็กลับหัวกันกับเนื้อหาในบทความนี้แหละ อธิบายแบบกลับหัวได้เลย มันจะไปคนละทิศ ก็ไปทิศที่กิเลสชอบ ทิศที่กิเลสพอใจ แต่ไม่พ้นทุกข์ ก็ต้องพบกับทุกข์ในความเกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป
พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่าคนที่ไม่มีรัก ก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีความเศร้าโศก เป็นผู้ที่มีความสุข สรุปกันชัด ๆ “คนที่ไม่มีความรัก คือคนที่มีความสุข” เป็นสภาวะที่เข้าถึงได้ยาก แต่ก็เป็นความจริงที่ควรจะยึดอาศัยไว้เป็นเป้าหมาย ถ้าไม่พากเพียรปฏิบัติธรรมที่ถูกตรงอย่างจริงจัง ก็ไม่มีทางเข้าถึงสภาพที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงได้ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ธรรมะของท่านนั้น เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต เดาเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต(สาวกที่ปฏิบัติถูกตรง)
ดังนั้นผู้ที่มีความศรัทธาอย่างตั้งมั่น ก็จะเพียรพยายามศึกษาให้รู้จักทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียของความรัก จนก้าวข้ามพ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในความรัก ตลอดจนเรื่องทุกข์ใจอื่น ๆ ได้โดยลำดับ
13.2.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์