ขาดแฟนชีวิตเจริญ ขาดมิตรดีชีวิตไม่เจริญ
ขาดแฟนชีวิตเจริญ
เป็นส่วนเกินไม่มีก็ได้
ขาดมิตรดีชีวีฉิบหาย
เจริญก็ไม่ได้ไม่พ้นโลกีย์
– – – – – – – – – – – – – – –
ขาดแฟน
แฟน คู่รัก คู่ครอง ฯลฯ แท้จริงแล้วเป็นความสัมพันธ์ที่ “ไม่มีความจำเป็นในชีวิต” ถึงไม่มีก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติ และถ้ามีแล้วนอกจากจะสามารถขวางทางเจริญ ยังสามารถฉุดกันลงนรกได้อีกด้วย กว่าจะถึงวันแต่งงานบำเรอกิเลสกันไปเท่าไหร่ เลี้ยงกิเลสโตกันไปขนาดไหน แม้ว่ามันจะดูน่าใคร่น่าเสพในทางโลกีย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือทุกข์ล้วนๆ
เหตุผลหนึ่งในการหาแฟนหรือคู่ครองที่คนมักจะซ่อนเอาไว้ก็คือ “การสมสู่” ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เพื่อนที่ดีไม่สามารถทำให้กันได้ เพราะการระบายอารมณ์ การให้เป็นที่พึ่ง การปรึกษาปัญหาชีวิต การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า หรือแม้กระทั่งการง้องอน เพื่อนที่ดีก็สามารถทำหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้ได้ครอบคลุมทั้งหมด
แต่การจะให้เหตุผลว่าหาคู่ครองเพื่อมาบำเรอความใคร่ เอามาบำบัดความอยากในกามอารมณ์ มันก็ดูจะตรงเกินไปสักหน่อย คนเราก็เลยโอนคุณสมบัติบางอย่างของเพื่อนเพื่อมาให้น้ำหนักทางฝั่งแฟน ลดความสัมพันธ์ของเพื่อนมาเพิ่มคุณค่าให้กับแฟน สร้างระยะว่านี่เพื่อน นี่แฟน เพื่อนได้แค่เท่านี้ แฟนต้องขนาดนี้ และเว้นอาณาเขตพิเศษไว้ให้แฟน จึงกลายเป็นเหตุผลอันชอบธรรมในการหาแฟนหรือคู่ครองในที่สุด(สามารถพิสูจน์ข้อคิดเห็นนี้ได้โดยถือศีลการเว้นการสมสู่ตลอดชีวิต แล้วจะเห็นพลังของกิเลสว่ามีจริง)
เหตุผลอีกข้อก็คือ หลงผิดว่ามนุษย์ต้องมีคู่ ต้องแต่งงาน ต้องสืบพันธุ์ การมีคู่เป็นคุณค่า เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่สมควรทำ เป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิต ฯลฯและยังมีเหตุผลยิบย่อยอีกมากมายเช่น อยากมีไว้แก้เหงา, อยากมีคนเอาใจ, อยาก…ฯลฯ
– – – – – – – – – – – – – – –
ขาดมิตรดี
หากว่าชีวิตของเรานั้นไม่มีมิตรดี ไม่ได้คบหาหรือรู้จักคนที่ปฏิบัติดี จะไม่มีทางที่ชีวิตจะไปสู่ความเจริญได้เลย แม้จะเจริญไปได้ ก็หนีไม่พ้นวิถีโลก ไม่พ้นโลกีย์ วนเวียนอยู่ในโลกีย์ แม้จะมีธรรมะก็เป็นธรรมะในขั้นโลกีย์ เป็นคนดีแบบที่โลกเขาสมมุติเอา แม้จะได้รับการเชิดชูเป็นศาสดา ก็เป็นเพียงศาสดาโลกีย์ ทำความดีในวิสัยของโลกีย์ วนอยู่เพียงเท่านั้น
วิถีโลกีย์คือความวน ไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็วนลงไปต่ำสุด ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นความวนได้เพราะมีกิเลสเป็นเหตุ ไม่ว่าจะจนหรือรวย จะฉลาดหรือโง่ จะทำดีหรือทำชั่ว ถ้าไม่มีมิตรดี ก็ไม่มีวันที่จะปฏิบัติสู่การหลุดพ้นจากความเวียนวนนี้ไปได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ก่อนจะเห็นมรรคได้นั้น ต้องมีมิตรดีเป็นอันดับแรก ถ้าเปรียบมรรคดังดวงตะวัน มิตรดีก็เป็นดังแสงแรกที่จะเห็นเมื่อตะวันนั้นกำลังจะโผล่ขึ้นมา นั่นหมายถึงว่า ถ้าไม่มีมิตรดี ก็ไม่ต้องปฏิบัติมรรคเลย เพราะผิดแน่นอน ปฏิบัติไปก็ผิด เรียนไปก็ผิด ทำอะไรก็ผิด
ย้ำลงไปอีกในอวิชชาสูตร ท่านได้กล่าวว่าคนจะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ต้องเริ่มต้นจากการคบหาสัตบุรุษหรือมิตรดีที่พาเจริญ มิตรดีในที่นี้คือผู้ที่รู้ธรรม รู้ทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ แล้วเรียนรู้จากสัตบุรุษเท่านั้นจึงจะพ้นทุกข์ เพราะความรู้ของศาสนาพุทธนั้นคิดเอาเอง อ่านเอาเอง ปฏิบัติเอาเองไม่ได้ ถึงจะ คิด อ่าน หรือขยันปฏิบัติแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีภูมิเก่าก็จะมีแต่หลงเท่านั้น บางครั้งหลงไปด้วยว่าตนมีภูมิ หลงซ้ำซ้อนกันไปอีกหลายชั้น หลงถึงขั้นสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ก็มี
สรุปคือ ถ้าชีวิตไม่เจอมิตรดี ไปเจอมิตรลวง หรือเจอกับมิตรหลง นอกจากจะไม่มีวันพ้นทุกข์แล้ว ยังเพิ่มความหลงในโลกีย์ซ้อนเข้าไปอีก สร้างทุกข์หนักเข้าไปอีก ในทางกลับกันถ้าเจอมิตรดี หมั่นเข้าหา สนทนา ศึกษาและปฏิบัติตาม ก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยลำดับ
ข้อสังเกตในเบื้องต้นว่าคนไหนมิตรดี คนไหนที่ควรคบ ก็ให้ดูที่ศีล พระพุทธเจ้าตรัสศีลเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมจะไม่ทิ้งศีล อาศัยศีลเป็นเครื่องนำความเจริญ ไม่ถือศีลอย่างยึดมั่นถือมั่น แต่ก็จะไม่ถือศีลอย่างลูบๆคลำๆ เหยาะแหยะ ทำทีเล่นทีจริง โดยจะสามารถเข้าถึงศีลได้ตามบารมี ๕ ๘ ๑๐ จนถึง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของพุทธ
– – – – – – – – – – – – – – –
1.10.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)
เพื่อนพากันทำบาปได้แค่ประมาณหนึ่ง คู่ครองพากันทำบาปได้ง่ายกว่า
ยกตัวอย่างให้ชัดกันในเรื่องสมสู่ เพื่อนดีนี่ไม่มีเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่คู่รักทั่วไปก็มักจะหมกมุ่นในเรื่องนี้กันมาก เรียกว่าสร้างบาปแก่กันได้มากมายเลยในช่วงชีวิตหนึ่ง
จริงๆมันเป็นเรื่องชั่วนะ แต่เราแค่เห็นผิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ชั่ว สมมุติว่าโดนหลอกสมสู่แล้วทิ้งขว้างเลิกกันไป แล้วอดีตคู่รักพยายามแก้ตัวโดยการไปทำทานกราบไหว้พระทุกวัดทั่วประเทศไทย คิดว่าความชั่วนั้นจะหายไปไหม และเราจะหายโกรธไหม ไม่หายหรอก… ทำชั่วอะไรไปมันก็ชั่วอยู่แบบนั้นแหละ
จริงๆมันก็ชั่วประมาณนั้นแหละ แค่ครั้งเดียวทำทานขนาดไหนมันก็แก้ไม่ได้ แล้วนี่ทำจนถึงวันนี้จะสะสมชั่วมาขนาดไหน กิเลสมันบังความจริงหมดแหละ มันหลอกว่าเป็นสุข เป็นสิ่งดี เป็นคุณค่า
เห็นไหม…เป็นเพื่อนกันทำบาปแก่กันได้ไม่เท่าแฟนหรอก
…เป็นเพื่อนกันไปเถอะดีแล้ว อย่ามากกว่านั้นเลย
คือกามระหว่างผัวเมีย มันบาปยังไง คือเอากันตอนเป็นผัวเมียไม่ผิดศีล5 ครับ ไม่ได้ไปเอาใครมาแทรกเติมไปก้เต็มที่ได้ไม่ใช่เหรอ (ตามที่เข้าใจและได้ยินมา คำถามอยากรู้ความต่าง เป็นกับไม่เป็น ผัว เมีย )
มันผิดไปจากทางพ้นทุกข์ครับ ถ้าถือเอาศีล ๕ นั้นเป็นเบื้องต้นก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นเบื้องต้น แต่ในบริบทของชาวพุทธที่ต้องการไปสู่ความผาสุกสูงสุดคือการหลุดพ้นจากกิเลส ก็ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ขัดขวางทางเจริญ สังเกตได้จากเมื่อขยับไปศีล ๘ การสมสู่จะถูกชี้ให้ชัดทันทีว่าบาป
ถ้าถือเอาตามหลักพุทธหรือแก่นพุทธจริงๆ ก็ถือว่าว่ายังบาป แต่ก็ไม่ได้ชั่วขนาดนั้น คือมีความชั่วประมาณหนึ่ง เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นประมาณหนึ่ง ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจว่าปฏิบัติในฐานศีล ๕ มันก็พ้นจากชั่วได้ประมาณหนึ่ง ไม่ได้พ้นจากบาปจากชั่วทั้งหมด