Tag: ไม่ชอบคนที่มาจีบ
การจัดการกับความชิงชังรังเกียจ ในคนที่เข้ามาจีบ
ความเกลียดก็คือความไม่ชอบที่สะสมจนมีดีกรีที่เข้มข้นขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่รำคาญ ไปจนถึงอาฆาตมุ่งร้าย การสะสมความชัง คือการสะสมบาปให้ตัวเอง ให้ระลึกไว้ว่า ยิ่งโกรธ ยิ่งเกลียดใคร ก็ยิ่งสร้างบาป สร้างขยะ ผลักจิตวิญญาณของตนเองให้จมลงสู่ความเป็นคนพาลลึกยิ่งขึ้นโดยลำดับ
ถ้าเกลียดมาก มันก็ผูกมาก มันคือสภาพคู่ของรักและชัง มันจะเป็นเครื่องพาวน พาหลง เดี๋ยวก็เป็นฝ่ายจีบ เดี๋ยวก็เป็นฝ่ายถูกจีบ หลงเล่นอินกับบทบาทวนไปวนมาแบบนี้ไม่รู้จบเพราะความเสพในรสของความชอบความชัง การจะออกจากอารมณ์ติดลบที่ขุ่นมัวเหล่านี้ก็มีเพียงการปฏิบัติไปสู่ความเป็นกลางของจิต คือไม่ชอบ และไม่ชัง
ความชังนั้นมีรสสุขในคนโง่ เคยเห็นไหมที่คนเขาไม่ชอบใคร แล้วเขาตั้งวงนินทาว่าร้ายกัน ดุเด็ดเผ็ดมัน นั่นแหละ ความชังมันมีรสให้คนหลงเสพ หลงว่าชังแล้วเป็นสุข ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การโกรธ เกลียด ชิงชัง ให้ร้าย นินทา ไม่ใช่วิถีที่จะพาให้ใครไปพ้นทุกข์ได้เลย
การยับยั้งความชัง คือไม่ให้อาหารมัน คือไม่สร้างความชังเพิ่ม ไม่ต้องไปชักชวนใครให้ไปชังเขาเพิ่ม ให้รับรู้ตามจริงว่าเขาก็เป็นคนแบบนั้น เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น แล้วก็เลิกยุ่งไป ห่างไป หรือถ้าเขาดูจะเป็นคนใจกว้างพอที่เราจะพูดบอกได้ ก็ลองพูด ลองแจ้งเขาว่าที่เขาทำนี่มันเบียดเบียนเราอย่างไร มันทำให้เราต้องระวัง เป็นอยู่ไม่ผาสุกอย่างไร ก็ปรับภาษาเอาตามที่เหมาะ แต่ถ้าพูดไม่ได้หรือพูดแล้วไม่ดีขึ้น ก็ให้ทำตัวเองให้ดี ถือศีลให้มากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าอยากห่างไกลคนผิดศีล ก็ให้มีศีล ดังนั้นถ้าอยากห่างไกลคนมาจีบ ก็ตั้งตนเป็นคนโสดให้มันมั่น ๆ แน่น ๆ พยายามลดสิ่งที่จะดึงดูดเขา เท่าที่จะทำไหว โดยภาพรวมแล้ว ในเรื่องคู่ชู้สาว กามจะเป็นกิเลสที่เด่นชัดขึ้นมา ดังนั้นการแต่งตัวให้เหมาะสม ไม่แต่งเติมความสวยงาม ไม่แสดงความสำคัญว่าตนงามหรือดูดี ไม่มัวเมาในร่างกายของตน คนธาตุเดียวกันย่อมจะดึงดูดกัน เราก็เปลี่ยนตัวเองไปเป็นธาตุที่เจริญขึ้น สูงขึ้น ถ้าปฏิบัติศีล ๕ อยู่ก็พยายามขยับขึ้นไปศีล ๘ จะพ้นภัยมากขึ้น เพราะมันก็จะแตกต่างกันไปโดยธรรม ไม่เข้ากัน ไม่เหมาะกัน เดี๋ยวเขาก็จะหายไป
การพิจารณาออกจากความชัง คือการพิจารณาประโยชน์ของการที่เขามาจีบที่มีต่อตัวเรา เช่น เราก็จะได้หัดล้างอัตตา ได้ล้างความน่ารังเกียจในใจเรา ซึ่งมันแอบเหม็นเน่าอยู่ในใจเรา แล้วเราไม่ยอมล้าง การเข้ามาจีบของเขาก็เป็นเพียงแค่เครื่องกระทุ้ง เหมือนมือที่มาเปิดถังขยะเปียก ที่หมักหมมเหม็นเน่ามานาน กลิ่นเหม็นที่คลุ้งหรือความทุกข์ไม่ได้มาจากคนเปิด แต่มาจากการหมักขยะเปียกหรืออัตตาของเรานั่นแหละ
พิจารณาโทษของความชังของเรา ว่าจะทำให้เกิดทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่อตนเองอย่างไรบ้าง เช่น ชังเขาไป เราก็ไม่เจริญ เราจะยิ่งต่ำลงไปอีก และในมุมของการพิจารณากรรม การชังยังสร้างวิบากร้ายผูกเวรผูกกรรมกับเขาไว้อีก ต้องเจอแบบนี้อีกหลายภพหลายชาติจะเอาอีกหรือ? ทุกข์ซ้ำ ๆ นี่มันสุขอย่างไร?
พิจารณาไตรลักษณ์ว่า ที่เขามาจีบนี่มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมาแล้วเดี๋ยวก็ไป เขาไม่จีบไปถึงชาติหน้าหรอก อย่างเก่งก็ได้แค่ตามจีบแค่ชาตินี้ ก็ทน ๆ เอา แล้วการจะไปยึดให้มันเที่ยงคือให้มันผาสุกแบบตลอดเวลานี่มันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตมันจะเป็นอะไรก็ได้ มีคนมาจีบก็ได้ ไม่มาจีบก็ได้ มันจะเป็นทุกข์เพราะว่ามันยึดสภาพที่เป็นสุข ยึดสวรรค์ และให้เข้าใจว่าเขามาจีบนี่เขาเป็นทุกข์นะ ไม่ใช่เราต้องเป็นทุกข์ ที่เราทุกข์เพราะเรายึด แต่ถ้าเราไม่ยึดว่าจะมาจีบหรือไม่มา ยังไงก็ได้ ก็เหลือแค่เขาที่เป็นทุกข์ เพราะเขาอยากได้เรา เขาก็ต้องเสียเวลาเสียสมองไปปรุงเรื่องไร้สาระมาจีบเรา อันนี้ก็น่าเห็นใจเขา เราก็ต้องเมตตาเขา ใจกว้างให้มาก ๆ ให้เข้าใจเขา ยอมรับความจริงว่าเป็นกรรมที่เราทำมา เราก็ต้องชดใช้ โดยผ่านสิ่งที่เขาแสดง เรากระทบแล้วเราก็รับทราบ เห็นใจ เข้าใจ วางใจ เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก็ยึดไว้เป็นตัวตนหรือเป็นสุขเป็นทุกข์ของเราไม่ได้เลย จะไปกำหนดว่าเจอแบบนี้ฉันจะรักเท่านี้ หรือเจอแบบนี้ฉันจะเกลียดเท่านั้น มันก็ไม่มีวันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แม้อยากจะยึดมั่นถือมั่น แต่มันก็จะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเราจะโกรธเกลียดชังชิงแค่ไหน สุดท้ายมันก็จะสลายหายไปอยู่ดี เหตุการณ์เป็นแค่สมมุติ บาปหรือความชิงชังเป็นของจริง
เราก็ต้องขยันพิจารณาธรรมที่ได้ฟังและศึกษามานี่แหละซ้ำ ๆ ไม่เข้าใจก็ไปอ่าน ไปฟัง ไปถามใหม่ แล้วเอามาประมวลผลให้เหมาะกับกิเลสตัวเอง วันหนึ่งถ้าปัญญาถึงรอบ วิบากที่กั้นไว้หมด ขยันตักออกเดี๋ยวมันก็หมดของมันเอง แต่ถ้าไม่เอากิเลสออก มันก็เหม็นเน่าอยู่อย่างนั้น เขามาจีบทีไรก็ขุ่นข้องหมองใจไปทุกที
5.2.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ถูกเพื่อนร่วมงานที่มีครอบครัวอยู่แล้วมาตามจีบ คุกคาม ฯลฯ ต้องทำอย่างไร?
การจีบกันนั้นเป็นการเบียดเบียนอย่างหนึ่ง ไม่ทำให้หลง ก็ทำให้โกรธ น้อยคนที่จะรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย คนจีบเขาก็หวังจะให้หลงรักเขานั่นแหละ ทีนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบการจีบหรือการเข้าหาในลักษณะต่าง ๆ มันก็เลยกลายเป็นความอึดอัด สุดท้ายก็สะสมกลายเป็นความโกรธเกลียด เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สรุป การจีบไม่สร้างประโยชน์ใด ๆ กับใครเลย จะสร้างแต่ผลอันเป็นความมัวเมา หดหู่ เศร้าหมองในท้ายที่สุด
ถ้าคนทั่วไป ไม่ค่อยเจอกัน มันก็ไม่เท่าไหร่ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานมาจีบนี่มันก็อาจจะทำตัวลำบาก เพราะเกรงใจบ้าง กลัวบ้าง ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นหัวหน้ามีตำแหน่งสูงกว่ายิ่งไปกันใหญ่ คนที่เขามีความกำหนัด ใคร่อยาก เขาก็แสดงท่าทีลีลาต่าง ๆ เพื่อยั่วเย้า หรือเกี้ยวพาราสีเป็นธรรมดา แน่นอนว่าเขาต้องมุ่งหวังผลคือได้เสพสมใจ เขาก็ใช้ทุกวิถีทางที่เขามีนั่นแหละ เข้ามาเป็นกรอบมาบีบให้เราอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดต่าง ๆ
ในการเสพสมใจของเขานั้นเป็นไปได้หลายระยะ ตั้งแต่เราออกอาการเมื่อเขาแซว จนถึงขั้นเรายอมตกเป็นของเขา แม้เขาจะมีครอบครัวแล้วก็ตาม การสาสมใจนั้นเกิดขึ้นเพราะมีการตอบสนองเป็นอาหาร กิเลสจะมีกิเลสเป็นอาหาร ดังนั้นถ้าเราควบคุมอาการไม่ได้ ก็หมายถึงเรายังไปให้อาหารกิเลสเขาอยู่ คนที่ยังยั่วขึ้นอยู่ ก็ยังเป็นเหยื่ออยู่ดีนั่นเอง
การปฏิบัติก็เริ่มจากเบาไปก่อน คือถ้าลองพูดคุยกันได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น มันเป็นโทษ มันเบียดเบียนอย่างไร ถ้าประเมินแล้วว่าพูดแล้วไม่อันตราย ก็พูด บอกเตือนสิ่งดีมันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่มั่นใจในการควบคุมสติของตัวเองก็ให้หาเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรม ไว้ใจได้ มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนหรือมาช่วยแก้ปัญหา แต่ถ้ายิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งเละก็ลองอ่านต่อไป
สิ่งที่ต้องทำคือพิจารณาประโยชน์ของตนเองให้มาก ว่าเราจะสามารถทำงานอยู่อย่างผาสุกต่อไปได้จริงไหม หากเรายังอยู่กับคนที่เขามีความอยากมีคู่ขนาดที่ยอมผิดศีลนั้น บางงานนั้นมีคุณประโยชน์ก็จริง มีผลตอบแทนมากก็จริง แต่สิ่งที่แลกไปบางทีมันก็ไม่คุ้ม คือได้ประโยชน์นิดหน่อย ได้เงินจำนวนหนึ่ง ได้กุศลเล็กน้อย แต่เขาก็จะเอาสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละมาล่อเรา ให้เราหลงไปตามสิ่งที่เขาล่อลวง ถ้าเราเมากับโลกธรรมที่เขาล่อลวงไว้ เราก็หลงต่อไป ยังเป็นมิจฉาชีพ เพราะมอบตนในทางที่ผิด รับใช้คนผิดศีล แต่ถ้าเราไม่ได้ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เราจะมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น
พระพุทธเจ้าให้ห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต ชีวิตจึงจะอยู่ผาสุก คนที่เขามีคู่อยู่แล้ว แล้วยังมาตามจีบ หรือทำท่าทีหมาหยอกไก่กับคนอื่น อันนี้เขาก็ผิดศีลของเขาอยู่แล้ว เขานอกใจไปแล้ว เขาต่ำกว่าศีล ๕ นะ คนไม่มีศีล คบไว้ไม่เจริญหรอก คนไม่มีศีลก็คือคนพาลนั่นแหละ เพราะเดี๋ยวก็ทำบาป เดี๋ยวก็ทำชั่ว เดี๋ยวก็พาให้เราเดือดร้อน
เข้าหาบัณฑิต คือเข้าหาหมู่มิตรที่ปฏิบัติดี มิตรดีจะช่วยเพิ่มกำลังใจและกำลังปัญญา จะมีพลังในการต้านความชั่ว ต้านคนผิดศีล จะเป็นอยู่ผาสุกต้องเลือกกลุ่มในการร่วมใช้ชีวิต ให้เป็นกลุ่มมีศีลธรรม เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนสู่ความพ้นทุกข์ กุญแจที่จะไขรหัสสู่ความสำเร็จของคำถามนี้คือการเข้าหาบัณฑิตนี่แหละ ก็เข้าหา ปรึกษา เป็นลำดับ มันจะมีปัญหาขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็แก้ไปเรื่อย ๆ โดยพึ่งพาปัญญาของมิตรดี ปัญหาก็จะคลายไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าคลุกอยู่กับหมู่คนพาลมันก็มีแต่เรื่องแบบนี้แหละ เรื่องชู้สาว เรื่องผิดศีล ดีไม่ดีเขาลวงเราไปข่มขืนอีก ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ คนพาลนี่เขาอัตตาจัดมาก เขามีความอยากเอาชนะจัดมาก ๆ ยิ่งเราทำแข็งข้อ เขาก็ยิ่งสู้ ยิ่งทำตัวเป็นดีแสนดีดั่งนักบวช เขายิ่งอยากปราบเรา อยากพิชิตเรา แล้วก็ใช่ว่าเราจะไปสอนเขาได้นะ บางทีเขาไม่ได้เราด้วยการยอมของเรา เขาก็ใช้กำลังอำนาจของเขาบีบเราให้เราต้องจำนนได้เลย ดีไม่ดีเขาฆ่าเราปิดปากด้วย คบคนพาลมีแต่เสีย เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทรัพย์ เสียชีวิต
แต่หมู่มิตรดีนี่ก็ต้องเลือกนะ ไปเข้าสำนักผิดหนีเสือปะจระเข้อีก กลายเป็นว่าหลงไปในหมู่นักปฏิบัติธรรมเมากาม ปฏิบัติธรรมหาคู่ มันจะไม่พ้นเรื่องบาปที่น่าปวดหัวเหล่านี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าพรากประโยชน์ตนเพื่อผู้อื่นแม้มาก หมายถึง ต้องยึดประโยชน์ตัวเองไว้เป็นหลักก่อน ต้องเอาตัวเราพ้นทุกข์ให้ได้ก่อนแล้วถึงจะไปช่วยคนอื่น แม้คุณประโยชน์ในการช่วยคนอื่นนั้นจะดูเหมือนมีคุณมากก็ตามที เหมือนกับเรือร่ม เราก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ถึงจะไปช่วยคนอื่น เราว่ายน้ำไม่เป็น ไม่มีอุปกรณ์ ไปช่วยคนอื่นมันก็จะพากันตายเปล่า ๆ มันไม่เหมือนการเสียสละนะ การเสียสละ คือเรามี แต่เราสละสิ่งนั้นให้ อันนี้ประโยชน์ตนเรายังไม่มี เรายังพาชีวิตเราเองไปพ้นทุกข์ยังไม่ได้เลย แล้วเราจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
ในความเห็นของผม ถ้าต้องคลุกอยู่กับกลุ่มคนผิดศีลเป็นประจำ ผมไม่อยู่หรอก เขาจะพาเราฉิบหาย แต่ถ้ามันมีภาระมาก มันออกไม่ได้ ก็ลองปรึกษาขอความช่วยเหลือกับผู้ใหญ่ในที่ทำงานที่มีศีลธรรม ถ้าเขาช่วยจัดการจนคลี่คลายก็พอทนอยู่ไปได้ แต่ถ้าอยู่แล้วโดดเดี่ยวไม่มีหวัง ไม่มีมิตรดี ไม่สามารถทำให้เจริญขึ้นได้ ก็ลองพิจารณางานอื่น ๆ ดู อย่างน้อยเราก็เจริญขึ้นเพราะพ้นจากมิจฉาอาชีวะอีกหนึ่งเรื่อง
3.2.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์