Tag: สเปค

รักจริงที่หลอกลวง เมื่อเขาไม่ได้รักเธอจริง และเธอเป็นเพียงสิ่งสนองตัณหาของเขา

February 12, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,380 views 0

รักจริงที่หลอกลวง เมื่อเขาไม่ได้รักเธอจริง และเธอเป็นเพียงสิ่งสนองตัณหาของเขา

จริงหรือที่ว่าเขารักเรา? จริงหรือที่ว่าเราคือคนที่เขาหมายจะร่วมชีวิตด้วย? จริงหรือที่เขาจะมั่นคงและดีกับเราตลอดไป? ถ้าความรักที่เขาอ้างว่าจริงแท้ตามที่ได้แสดงออกมาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องหลอกลวงตั้งแต่ต้นล่ะ จะเป็นอย่างไร?

เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเป็นสิ่ง “จำเป็น” สำหรับชีวิตของเขา หรือเป็นเพียงแค่สิ่งสนองตัณหา ที่จะมาบำเรอความอยากของเขา แน่ใจแล้วหรือว่าต้องเป็นเราเท่านั้น หรือว่าจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถบำบัดความใคร่อยากของเขาได้ เพียงแค่เราบังเอิญอยู่ในความคิดของเขาตอนนั้นเท่านั้น ซึ่งจริงๆ อาจจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรา ถึงจะไม่มีเรา เขาก็ไปหาคู่ของเขาอยู่ดี

เขาอาจจะมีอุบายหลายอย่างที่ล่อลวงให้เราหลงว่าเราคือสิ่ง “จำเป็น” สำหรับชีวิตของเขา ตั้งแต่การพรรณนาพร่ำเพ้อถึงความดีงามของเรา พูดคำหวานซึ่งว่าเขารักเราและเราจำเป็นกับชีวิตเขามากแค่ไหน หรือเราเป็นคนที่เขาเฝ้ารอมานานแสนนานเพียงใดก็ตาม

คนเราเมื่ออยากได้อยากเสพสิ่งใดแล้ว ก็มักจะใช้ความพยายามในการแสวงหาสิ่งนั้นมาเสพมาครอบครองตามที่ใจตนเองอยาก บางคนอาจจะรอได้ไม่นาน บางคนอาจจะรอได้เป็นสิบยี่สิบปีหรือทั้งชีวิต แต่นั่นไม่ได้แสดงถึง “ความจำเป็น” ของเราที่มีต่อเขาแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแค่สภาพของความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) ของเขา ที่ใคร่อยากจะเสพคนแบบเรา หน้าตาแบบเรา รูปร่างแบบเรา เสียงแบบเรา นิสัยแบบเรา ฯลฯ

ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า “สเปค” หรือคนในฝัน จึงไม่มีจริงในความจริง แต่มีจริงในความลวง คือโดนกิเลสลวง ว่าฉันชอบแบบนั้นแบบนี้ ขาว สวย หมวย ฯลฯ อะไรก็ว่ากันไปตามแต่ที่ตนมีอุปาทาน หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งน่าได้น่ามี เพราะเอาเข้าจริงๆ ถึงจะตั้งสเปคไว้ แต่ถ้ามีดีกว่าที่ตั้งไว้ ก็อาจจะเปลี่ยนไปหาคนใหม่ได้เหมือนกัน อย่างที่คนมากมายนอกใจคู่ของตน

สรุปคือสเปคนั้นคือตัวบอกอุปาทานของคน ว่าหลงติดหลงยึดในสิ่งใดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าได้เสพสิ่งที่หลงติดหลงยึดแล้วจะพอใจเช่นนั้นตลอดไป เพราะกิเลสของคนนั้นโตได้ เมื่อได้เสพสิ่งหนึ่งจนชินชาก็มักจะไปหาสิ่งที่มากกว่ามาเสพ ต้องสวยกว่าเดิม ต้องเด็ดกว่าเดิม ฯลฯ มีความอยากมากขึ้นไปตามความหลงว่าสิ่งใดเป็นสุข คล้ายกันกับอาการที่เราไม่หยุดแสวงหาของอร่อยใหม่ๆ มากิน

ถ้าการที่เขาเข้ามาในชีวิตของเราเพราะอยากเสพ หน้าตา รูปร่าง เสียง นิสัย ฐานะ ชื่อเสียง สิ่งเหล่านั้นยังเป็นสิ่งที่พอเห็นและสังเกตได้ง่าย แต่ยังมีภาวะของกิเลสเชิงซ้อนคือไม่ได้อยากเสพอะไรในตัวเรา แต่ต้องการมีตัวเราเพื่อเสพภาพลักษณ์ดีๆ ในชีวิตของเขา เช่น อยากเล่นบทพระเอกนางเอก อยากแสดงตนเป็นคู่ครองที่ดี อยากเล่นบทพ่อแม่ลูก อยากเป็นคนที่มีคุณค่า สามารถดูแลคู่ครองได้ บำเรอความสุขให้คู่ของตนได้ นี่กิเลสมันซ้อนมาแบบนี้เลย คือภาพลักษณ์จะเป็นคนดีมาก ไม่สวยก็ไม่ว่า หุ่นไม่ดีก็ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรก็ไม่เป็นไร ขอให้ฉันได้เป็น “คนดี” ที่ดูแลเธอได้ นี่มันเสพความดีของตัวเองอยู่(อัตตา) โดยใช้คู่ครองมาเป็นตัวบำบัดความอยากนั้นๆ

และในความซ้อนนี้ก็เหมือนกันกับกรณีทั่วๆไป คือจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสวยเลิศเลอ หรือดีมากเป็นพิเศษ ขอแค่ใครสักคนให้ฉันได้แสดงความสามารถในการเป็นคู่ครองที่ดีก็พอ ดังนั้นคู่ครองคนนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเรา จะเป็นใครก็ได้ที่ให้เขาได้แสดงบทพระเอกนางเอก ถึงเขาจะไม่เจอเรา เขาก็ไปจับคู่กับคนอื่นเสพดราม่าในชีวิตอยู่ดี

แม้เขาจะแสดงออกว่าเรานั้น “จำเป็น” ต่อชีวิตเขาเพียงใดก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะจำเป็นกับเขาจริงๆ อาจจะเป็นใครก็ได้ที่มายืนแทนที่เรา ถึงจะไม่มีเราอยู่ในโลกนี้ เขาก็จะไปหาคนมาบำเรอกาม บำเรออัตตาของเขาอยู่ดี เรานั้นเป็นเพียงแค่เหยื่อของกิเลสที่หลงไปตามวาทะของคนผู้มัวเมาด้วยตัณหาและอุปาทาน และหลงว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นของจริง

แค่เขาหลงมัวเมาในตัวเองก็โง่งมงายพออยู่แล้ว นี่เราดันหลงไปเชื่อคำของคนที่มัวเมาในกิเลสอีก มันก็โง่มากไปกว่าเขาอีก สุดท้ายก็ชวนกันเมาตัณหาอุปาทาน หลงว่าเป็นของจริง หลงว่าเป็นสุข กลายเป็นสิ่งสนองตัณหาของกันและกัน สร้างเวรสร้างกรรมผูกกันด้วยความหลงว่าสิ่งเหล่านั้นน่าใคร่น่าเสพ มันก็ชวนกันโง่เท่านั้นเอง

ที่หนักกว่าก็คือรู้ทั้งรู้นะว่าเขาไม่ได้รักเราจริงหรอก เขาไม่ได้ซื่อสัตย์มั่นคงขนาดนั้น แต่ก็ไปตกลงปลงใจกับเขา เพราะอยากได้อยากเสพในสิ่งที่เขามีเขาเป็น นี่กิเลสมันร้ายแบบนี้ มันชิงกันเป็นเหยื่อเป็นผู้ล่าสลับกันไปมา เธอมาเสพตัวฉันก็ได้ เพราะฉันก็จะเสพในสิ่งที่เธอมีเหมือนกัน สรุปก็กอดคอลากกันไปนรกด้วยความสวยงามแบบ happy ending ตามที่โลกเข้าใจ (คบหา/แต่งงาน)

จะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วความรักที่หวังจะครอบครอง ได้ใกล้ชิด ได้เสพสมสู่อะไรกันก็ตาม สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความรักหรอก เป็นแค่ความหลงที่ฉาบทาด้วยนิยามสวยๆ โดยให้ชื่อว่า “ความรัก” เพื่อให้ตนได้เสพอย่างตะกละมูมมามโดยไม่ต้องรู้สึกผิด และไม่มีใครกล่าวหาว่าผิดจารีตในสังคม

ให้ “ความรัก” เป็นเพียงฉากบังตาที่เอาไว้บังความจริง จากความหลงที่ลวงกันจนมัวเมา ปิดบังกิเลสที่สกปรกโสมมในจิตใจไว้ในนามของความรักเท่านั้นเอง

…เขาอาจจะบอกว่ารักเราจริง แม้เขาจะรู้สึกเช่นนั้นจริง แต่ความรักนั้น…ไม่ใช่ความจริง

– – – – – – – – – – – – – – –

9.2.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งนี้คือความรัก

February 10, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,806 views 0

แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งนี้คือความรัก

แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งนี้คือความรัก : อย่าเพิ่งบอกว่ารัก ช้าไว้ก่อน ยั้งไว้ก่อน รอไปก่อน ให้โอกาสกันเรียนรู้จักรักให้ดีเสียก่อน

ก่อนที่ความสัมพันธ์จะผูกมัดกันมากขึ้นด้วยสัญญาใดๆ ก็ตาม และก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป แน่ใจแล้วหรือว่านั่นเป็นคุณค่าที่เราต้องการอย่างแท้จริง ทิศทางที่จะเปลี่ยนไปนั้นคือนรกหรือสวรรค์ลวงกันแน่ เรามาเรียนรู้จัก “ความรัก” กันให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะสายเกินไป จนยากจะแก้ไข

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเป็นความรักนั้น มันเป็นความรักจริงๆ มันเป็นความบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ใช่ความหลง ไม่ใช่มารยาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองอยากได้อยากเสพ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ปนเปื้อนด้วยขยะคือกิเลส

มีหลายเหตุผลที่ทำให้คน “หลง” ไปว่านั่นคือ “ความรัก” เช่น ความใกล้ชิดกันที่มากเกินไป ความเหงาที่อยากหาใครสักคนเข้ามาคลายเหงา ความใคร่ที่อยากหาใครมาบำเรอ ความอยากมีคุณค่าที่จะหาใครสักคนมาสะท้อนคุณค่าของตน ความขี้เกียจที่อยากจะเกาะใครสักคนไปชั่วชีวิต และอีกหลายสาเหตุจนกระทั่งถึงความหลงที่เข้าใจว่าเราจำเป็นต้องมีคู่ก็ตาม

แล้ววันหนึ่งบังเอิญมีใครคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต ซึ่งเขาจะเป็นใครก็ไม่รู้ แต่ตรงตามสเปค(ตรงตามกิเลส) ของเราพอดิบพอดี เราก็เลยหลงเข้าใจว่าคนนั้นใช่แน่ๆ นี่คือความรักแน่ๆ ทั้งที่จริงแล้ว อาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถมาแทนที่คนคนนี้ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันหรือมากกว่า ถ้ายังมีความรู้สึกแบบนี้ มันไม่ใช่ความรักอย่างแน่นอน

และการปักมั่นว่าต้องเป็นคนนี้ “ต้องคนนี้เท่านั้นที่ฉันจะรักไปจนตาย แม้ความตายก็ยังพรากความรักของฉันไปจากเธอไม่ได้” แบบนี้ก็ไม่ใช่ความรักเช่นกัน แต่เรียกว่า “ความยึดมั่นถือมั่น” หรืออุปาทาน เป็นลักษณะหนึ่งของกิเลส ที่หลงติดหลงยึดในการเสพสิ่งนั้นๆ อย่างไม่ยอมปล่อยวาง ซึ่งกิเลสไม่ใช่เรื่องดีที่พาเจริญอย่างแน่นอน ดังนั้นการปักมั่นก็ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน

แล้วอย่างไหนจึงจะเรียกว่าความรัก? ใครก็ได้ก็ไม่ใช่ความรัก… ใครก็ไม่ได้ต้องคนนี้เท่านั้นก็ไม่ใช่ความรัก…เรามาเรียนรู้ระหว่างทางก่อนจะไปเรียนรู้ “ความรักที่แท้จริง” กัน

เราสามารถทดสอบสิ่งที่เราเข้าใจว่ามันเป็น “ความรัก” ได้ด้วยการ ”รอและให้โอกาส” …ถ้าเป็น ความใคร่อยากเสพ มันจะไม่รอ มันจะเพิ่มความสัมพันธ์ท่าเดียว มันต้องได้เสพมากขึ้น ต้องสุขมากขึ้น ความกระสันอยากให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปมากขึ้นนั่นแหละคือ “ความอยาก (ตัณหา)” แม้จะมีสารพัดข้ออ้างให้ความสัมพันธ์คืบหน้าที่น่าฟังและน่าเชื่อถือปานใดก็ตาม แต่ถ้ารอไม่ได้ ไม่ยอมรอ เอาสารพัดสวรรค์ลวงมาหลอก มันก็รีบไปนรกเท่านั้นแหละ

การให้โอกาสคืออะไร คือให้โอกาสทั้งตัวเราและเขาได้เรียนรู้ผู้อื่น การให้โอกาสเป็นอีกสิ่งที่จะทดสอบ “ความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน)” ความรักที่แท้จริงต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่ทุกข์เป็นไม่มี” เราไม่ควรมีความทุกข์ใดๆ เพื่อจะมีความรักเลย ถ้าความรักนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ความรัก มันคือการเบียดเบียน,ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นจะไม่ยอมให้โอกาส ไม่ยอมพรากจากสิ่งที่ตนปักมั่น หากสิ่งที่ตนยึดมั่นนั้นพรากออกไปเอง ก็จะพยายามดึงกลับมา ไม่เป็นอิสระ ต้องผูกมัดกันอยู่เช่นนั้น แต่การให้โอกาสนี้ควรอยู่ในกรอบของการไม่ละเมิดศีลเท่านั้น

ผ่านเรื่องตัณหาและอุปาทานหรือความอยากและความยึดโดยย่อมาแล้ว ทีนี้เราก็จะมาทำความรู้จักความรักที่แท้จริงกัน…

ความรักที่แท้จริง นั้นคือรักที่ไม่มีความเบียดเบียนใดๆ เลย เป็นรักที่มีแต่การเกื้อกูล หวังประโยชน์แก่กันและกันโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ

ขยายเพิ่มกันไปอีกคือรักที่ปราศจากตัณหาและอุปาทาน เป็นอิสระจากกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่มักจะเกิดในความรักลวงๆ ที่เราเรียกกันว่า “ความหลง

เมื่อเราได้ศึกษาเรียนรู้ “ความรัก” เพื่อแยกแยะ “ความหลง” ออกไปได้แล้ว เมื่อเรามั่นใจ แน่ใจว่าความรู้สึกที่เรามีนั้นคือรักที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เราก็ค่อยมอบสิ่งที่มีคุณค่าแท้เหล่านั้นให้คนที่เรารักก็ยังไม่สาย เป็นเพชรเม็ดงามที่เรา พยายามเจียระไนให้บริสุทธิ์สมบูรณ์ที่สุด เหมือนคนที่พยายามขัดเกลาจิตใจตนเองเพื่อที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้คนที่เขานั้นรักและห่วงใย

มาถึงตรงนี้ยังมีใครยินดีที่จะรอและให้โอกาสอีกบ้าง… ตัณหาจะไม่รอ อุปาทานจะไม่ยอมพราก และมันจะไม่ยอมสยบต่อธรรมะ ไม่ยอมรับว่ามันคือศัตรูตัวร้าย ไม่ยอมรับว่ามันคือสิ่งสกปรกและความเลวทรามในจิตใจของเราหรอก มันพร้อมที่จะออกมาปฏิวัติเสมอ มันจะเสนอหน้าออกมาโกหกและบิดเบือนความจริงว่ามันต่างหากคือสิ่งดีงาม

ผู้ที่ศรัทธาในความรักที่แท้จริง จะต้องผ่านสงครามเพื่อปราบมารกิเลส เพื่อที่จะนำสันติสุขมาสู่คนที่ตนรัก ไม่ใช่ไปพากองทัพกิเลสมาถล่มคนที่ตนรัก

…มาจนถึงวันนี้ เรารู้จักความรักของเราดีจริงหรือยัง?

– – – – – – – – – – – – – – –

8.2.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

นรกคนสวย

August 27, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,915 views 0

นรกคนสวย

นรกคนสวย

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เพราะใช่ว่าความสวยที่มีจะทำให้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเสมอไป และคนที่มีความสวยตั้งแต่กำเนิดเกิดมาก็ใช่ว่าจะพอใจในความสวยที่ตนมีกันทุกคน ยังต้องหลงวนเวียนไขว่คว้าหาวิธีที่จะพัฒนาหรือคงสภาพของความสวยนั้นไปตลอดกาล

ในบทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องความทุกข์ หรือนรกของความสวยงามในมุมของผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่เกิดมาก็มีทุกข์พิเศษแถมมามากกว่าเพศชายอยู่หลายประการ จึงขอยกเรื่องนี้มาเขียนในเฉพาะมุมทุกข์ของผู้หญิง

นรกของคนสวย…

ในสังคม ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหม ก็ต้องมีหญิงงาม แต่ถึงอย่างนั้นคำว่างามในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน บางยุคต้องอ้วนบ้าง บางยุคต้องผอมเอวคอด บางยุคต้องหน้าตาแบบนั้นแบบนี้ เป็นความงามที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามกิเลสของคน

ชีวิตของคนสวยไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ความมีเสน่ห์นั้นก็ทำให้ชีวิตยากลำบากหรือเป็นภัยได้เหมือนกัน เหมือนกับมีแม่เหล็กติดไว้ที่ตัว จะดูดอะไรต่อมิอะไรมาติดตอนไหนก็ได้ โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ชายที่มีกิเลสเข้ามาหา ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้าหาผู้หญิงสวยก็มักจะหลงในรูป อยากเสพรูป เอาง่ายๆคืออยากจะได้แค่ความสวยนั้นแหละ ความสวยก็จะดึงคนมีกิเลสเหล่านี้เข้ามาพัวพันใกล้ๆตัว สร้างทุกข์ สร้างปัญหา สร้างความลำบากใจกันไป

คนที่สวยมากๆ ก็จะมีแต่คนเข้ามาในชีวิต อยากคุยด้วย อยากคบหา อะไรก็ว่ากันไป ทั้งมาแบบทีเล่นทีจริงและแบบจริงจัง จนถึงกระทั่งแบบที่เป็นภัย …แรกๆมันก็คงจะดี เพราะมีคนมาชอบ แต่พอเยอะๆเข้าก็เริ่มไม่ไหว เพราะต้องมาคอยตอบคำถามซ้ำๆเดิมๆ ถ้าไม่ตอบไม่รักษาน้ำใจก็กลัวเขาจะว่าหยิ่งเดี๋ยวความนิยมจะลดลง ด้วยความที่ตัวเองก็ติดภาพลักษณ์ ติดสรรเสริญ ติดโลกธรรม ว่าต้องดูดี ก็เลยต้องทำใจรักษามารยาทไปพร้อมๆกับรักษาสภาพความสวยของตนจึงกลายเป็นทุกข์ที่หนีไม่ได้ต้องยอมข่มยอมทนรักษาภาพความสวยต่อไป

ความสวยยังมีค่าบำรุงรักษาที่มาก ต้องจ่ายไปทั้งเงิน ทั้งเวลา ดังเช่นการซื้อเครื่องสำอางมากมายมาแต่งหน้าแต่งตา ใช้เวลาอยู่นาน เขียนแล้วเขียนอีก โดยทำไปเพื่อรักษาความสวยงามให้คงสภาพเดิม และยังมีกระบวนการรักษาความสวยหรือพัฒนาความสวยอีกมากมาย เช่น เข้าสปา ทำผม ผ่าตัด ฯลฯ ผู้หญิงที่หลงในความสวยจะต้องทุกข์จากตรงนี้อีกจุดหนึ่ง เพราะต้องหาปัจจัยมาบำรุงบำเรอตนโดยไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองสวยไปเพื่ออะไร บ้างก็ว่าเพื่อความมั่นใจ บ้างก็ว่าเพื่อให้คนสนใจ บ้างก็ว่าใช้ในการทำงาน บ้างก็ว่าสังคมเขาก็ทำกัน ก็เป็นเหตุผลที่ที่กิเลสใช้เป็นคำที่หลอกใจตัวเอง ทำให้คนสวยหลงวนเวียนอยู่กับความสวยของตน ทั้งๆที่สามารถเอาเวลาและเงินเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย

….กิเลสที่ผลักดันความสวย

หนึ่งในรากแห่งกิเลสของความสวย แท้จริงแล้วคือความอยากมีคู่ เหมือนกับสัตว์ทั่วไปที่ต้องทำให้ตัวเองโดดเด่นเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมาสนใจ ความเป็นสัตว์เหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่เต็มที่ในคนเหล่านั้น และพัฒนาความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้นเมื่ออยู่ในรูปของคน

เมื่อคนอยากมีคู่ ก็เลยต้องทำให้ตัวเองสวยเด่น เพื่อที่จะคัดเลือกเอาคู่ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นคนที่พอจะปรนเปรอกิเลสของตนเองได้ โดยส่วนหนึ่งก็ต้องมาสนองต่อทุนแห่งความสวยของเธอเหล่านั้นให้ได้ก่อน และสนองต่อให้ได้ถึงกิเลสในอนาคตของเธอ

ในความเป็นจริงแล้ว คนสวยมีอยู่มากมาย แต่ผู้ชายที่เพียบพร้อมที่จะบำรุงกิเลสของคนสวยเหล่านั้นได้ มีอยู่ไม่มากนัก คนสวยบางคนที่เข้าใจว่าตัวเองโชคดี ก็จะมีโอกาสได้รับผู้ชายหนึ่งคนที่พร้อมจะดูแลปรนเปรอบำรุงบำเรอกิเลสของเธอเข้ามาในชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า เขาเองก็มีกิเลสของเขาเหมือนกัน และเธอเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะปรนเปรอกิเลสของเขา เรียกได้ว่าเป็นเหยื่อของกันและกันนั่นเอง

สุดท้ายถึงจะมีคนมาให้เลือก จนกระทั่งตกลงปลงใจแต่งงาน ก็อาจจะคบกันไปไม่ได้นาน เพราะว่าจุดขายของเธอคือความสวย ผู้ชายที่เข้ามาจะเสพความสวยของเธอได้ประมาณหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่งความอยากเสพในรูปของเขาเหล่านั้นจางคลายลงไป เมื่อถึงเวลานั้นความสวยที่มีจะไร้ค่าไปในทันที เหลือแต่ความจริง เหลือแต่คุณค่าแท้ในคนที่เคยสวยในสายตาของผู้ชายคนนั้น หากเธอยังมีจิตใจที่ดี ก็ยังจะพอคบกันไปได้ แต่หากเป็นผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ก็อาจจะเป็นเหตุให้มีอันเลิกรากันไป ส่วนเหตุผลในการเลิกรานั้นก็เป็นปลายทางของกิเลสจะเอามาตัดสินถูกผิดกันคงไม่ได้

ส่วนคนสวยที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หาคู่ไม่ได้สักที ทั้งๆที่ตัวเองก็อยากมี แต่เนื่องจากมีต้นทุนคือความสวยมาก ก็จะมีอัตตาก้อนหนึ่งที่ตั้งไว้ดั่งกำแพงว่าเธอจะต้องเจอกับคนแบบนั้นแบบนี้ เรียกง่ายๆว่าสเปคสูง เพราะโดยทั่วไปคนสวยก็จะมีคนให้เลือกมากมาย มาตรฐานของเธอก็จะขยับสูงไปเรื่อยๆ ตามคนที่เข้ามา เป็นเรื่องธรรมดาของกิเลสที่มีความต้องการมากขึ้นไปเรื่อยๆเรียกได้ว่า นอกจากจะไม่ขายต่ำกว่าทุนแล้วยังเพิ่มราคาประมูลขึ้นไปเรื่อยๆ

ทีนี้พอมีให้เลือกมาก ก็เลยยังไม่เลือก เพราะหมายมั่นว่าฉันจะต้องเจอสิ่งที่ดีกว่านี้ เยี่ยมกว่านี้ มากกว่านี้ เพราะทุกวันๆก็มีคนมาต่อคิวรออยู่แล้ว จนเวลาผ่านไปถึงกระทั่งวันที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า ความสวยของเธอเริ่มจะจางหายไป และไม่สามารถทำให้มันกลับมาได้ กำแพงที่สูงชันจะค่อยๆ เตี้ยลง สเปคหรือข้อเรียกร้องของเธอจะลดน้อยลงตามไปด้วย จากที่เคยขอผู้ชาย หล่อ รวย ก็อาจจะเหลือแค่ รวย หรือไม่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่มีความพร้อมจะดูแล จนกระทั่งขอให้เป็นแค่ผู้ชายก็เป็นได้ เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถมกันไปเลย

การมีสเปคที่น้อยลงนั้น สวนทางกับกิเลส เพราะการมีข้อจำกัดน้อยลงนั่นหมายความว่ากิเลสมากขึ้น มากจนยอมทำลายข้อจำกัดของตัวเองลงไปเพื่อให้ได้เสพสมในการมีคู่ จากที่เคยเป็นคนมีศีลมีธรรม ก็อาจจะยอมเวียนกลับไปเป็นคนไร้ศีลธรรม เพื่อแลกกับการมีคู่ ยอมใช้ความสวยหรือร่างกายที่เหลืออยู่แลกกับใครสักคนที่คิดว่าจะมาคอยดูแลในอนาคต ความกลัว ความคาดหวัง ความกังวลต่างๆ จะทำให้คนสวยเหล่านี้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะความสวยค่อยๆพรากจากเธอไป และโอกาสที่จะได้มาซึ่งคู่ที่เพียบพร้อมก็จะทยอยลอยหลุดไปด้วย

แม้ว่าคนสวยจะยอมลดสเปคลงมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้คู่ที่จะดูแลกันไปตลอดได้ เพราะด้วยวิบากแห่งความสวย ก็มักจะดึงคนมีกิเลสที่ยังหลงในรูปของความสวยมาอยู่ใกล้อยู่ดี การลดกำแพงของตัวเองลง ไม่ได้หมายความว่าจะเจอคนที่ดีขึ้น แต่หมายถึงเปิดโอกาสให้คนชั่วได้มีโอกาสเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น

การตกลงเป็นคู่กัน ไม่ได้หมายความเขาคนนั้นจะคงสภาพเดิมได้ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าคนมีกิเลสก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และความสวยที่มีนั้นก็ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมีกิเลส เพราะความสวยไม่ใช่ความดี แต่ก็เป็นรูปของกิเลสที่ส่งผลมาจากการที่เราได้สั่งสมความอยากสวยเอาไว้ เมื่อมีความอยากสวย เราก็ไปเสริมเติมแต่งให้มันสวย ใช้เวลาไม่นานนักมันก็สวยได้ ถึงแต่งไม่สวยก็ไปผ่าตัดให้มันสวย สิ่งเหล่านี้คือกิเลสที่สั่งสมก่อให้เกิดภพ เกิดชาติของความสวย เกิดมาเป็นคนสวยได้ แต่ก็เป็นคนสวยที่เต็มไปด้วยวิบากกรรมของกิเลส เป็นคนสวยที่มีแต่ทุกข์ ต้องประสบแต่ความพลัดพรากไม่สมหวังอยู่เรื่อยไป เพราะความสวยเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากความดี

…สวยจากความดี

ความสวยที่เกิดจากความดีนั้นสร้างได้ในชาตินี้ไม่ต้องรอในชาติหน้าเหมือนกัน เป็นความสวยที่สร้างมาจากความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือการมีพรหมวิหาร ๔ จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นความสวยงามทางนามธรรม แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่สวย แต่ก็จะมีคนอยากเข้าใกล้ อยากคบหา น่ารู้จัก น่าอยู่ด้วย เป็นความสวยที่ข้ามพ้นรูปของความงามในความคิดของคนทั่วไป

เมื่อมีความเป็นพรหมอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นแบบไหนก็สามารถที่จะเป็นที่รักใคร่ คนนิยมชมชอบ มีมิตรสหาย มีสังคมรอบข้างที่ดีได้ โดยยังมีผลต่อเนื่องไปยัง ภพ ชาติ ถัดไปด้วยคือทำให้เป็นผู้มีโภคทรัพย์มาก คือมีทั้งร่างกาย ฐานะ ปัจจัย สังคม สิ่งแวดล้อมดี เป็นความงามที่เจริญไปตามธรรม ไม่ใช่สวยงามจากการปรุงแต่งของกิเลส ซึ่งเป็นทุกข์ โทษ ภัย วนเวียนกลับไปกลับมาไม่รู้จบ

– – – – – – – – – – – – – – –
27.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์