Tag: ปัญหาความรัก
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
ผมพิมพ์เรื่องเกี่ยวกับปัญหาคนคู่ ปัญหาความรักไว้ค่อนข้างเยอะ และได้รับความเห็นเกี่ยวกับความทุกข์ เมื่อออกจากนรกคนคู่ไม่ได้มาหลายครั้ง
เป็นสภาพของ “คนในอยากออก” ซึ่งก็เป็นคนที่พลาดโดนกิเลสหลอกให้ไปมีคู่นั่นแหละนะ ตอนแรกหลายคนก็เข้าใจว่าจะต้องเป็นสุข อย่างน้อยๆก็สุขมากกว่าทุกข์ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก มันเป็นสภาพกล้ำกลืนฝืนทน ทนอยู่ไปทั้งรักทั้งชัง จะเลิกก็เสียดาย จะรักมันก็ไม่เต็มที่มันวันที่คบกันแรกๆ มันมีความรังเกียจชิงชังอยู่ด้วย
ส่วน “คนนอกอยากเข้า” นี่ก็เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น อยากได้อยากเสพเหมือนคนอื่นเขา เห็นคนอื่นเขาสร้างภาพว่ารักกัน แต่งงานกันแล้วมันจะเป็นสุข ก็คิดว่าไปว่าทั้งหมดของชีวิตคู่ต้องสุขแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ คู่อื่นเขาก็แสดงให้เห็นแค่ตอนสุขนั่นแหละ ตอนเขาทะเลาะกันเป็นทุกข์กัน เขาไม่ค่อยเอาออกมาพูดให้อับอายขายขี้หน้ากันหรอก
น้อยคนนักที่จะยอมเปิดเผยเรื่องราวชีวิตคู่ที่เจ็บช้ำ เพราะคนเรามักจะอยากมองอยากรับรู้แต่เรื่องที่สวยงาม แล้วกดข่มความทุกข์ไว้ แน่นอนว่ามันจะกดข่มได้แค่ประมาณหนึ่ง จึงมีคนจำนวนหนึ่งออกมาประกาศความจริงว่าชีวิตคู่มันห่วย แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งเลือกที่จะเก็บงำความจริงไว้ ปล่อยให้ชีวิตรักเป็นภาพสวยๆ ที่มีดอกไม้บานเต็มทุ่งท่ามกลางหุบเขาอะไรแบบนั้น
ทีนี้คนนอกที่ศึกษาจนรู้เห็นตามความเป็นจริงว่ามีแต่ทุกข์หรือโอกาสที่จะเกิดทุกข์นั้นสูงกว่า ก็จะทำให้ละหน่ายคลายความเห็นผิดว่าการครองคู่มีแต่สุขไปได้บ้างตามความรู้จริงนั้นๆ
แต่ก็มีคนนอกจำนวนมากที่อยากเข้ามามีชีวิตคู่เพราะความประมาท เช่นประมาทในผลของกรรม หลงคิดว่าตนเองนั้นเก่ง มีธรรมะ มีปัญญา เป็นคนดี แล้วจะสามารถพาชีวิตคู่ให้เจริญได้ ไม่ทำผิดพลาดเหมือนคู่คนอื่นหรอก แบบนี้คือโดนกิเลสหลอกซ้อนเข้าไปอีก คือหลงในเรื่องคู่ยังไม่พอ ยังหลงว่าตนจะต้องบริหารจัดการชีวิตคู่ให้สุขและเจริญสุดๆได้อีก
มันไม่มีอะไรยืนยันเลยว่าเป็นคนดี ทำดี แล้วชีวิตคู่จะดี ผลของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย(เรื่องที่ไม่สามารถคิดคำนวณได้) เราเคยทำกรรมชั่วมาแค่ไหนไม่รู้ แต่มันจะรู้เอาตอนได้รับผลนี่แหละ
ซึ่งผลของมันก็แสดงให้เห็นแล้ว กับคนที่อยู่ในสภาพของคนในอยากออก จริงๆ พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นผู้ที่ประมาทมาก่อน เคยตัดสินใจผิดพลาดมาก่อน หรือด้วยเหตุอะไรก็ตาม ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็เคยเชื่อว่ารักนั้นจะต้องสวยงาม แต่ในความจริงคือมันไม่สุขสมหวัง หรืออาจจะสุขอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ไม่สุขอีกหลายช่วงก็เป็นได้ เอาเป็นว่าถ้าออกได้ก็เป็นสุขกว่านั่นแหละ
การแก้ปัญหาตอนยังโสดนั้นยังง่ายเพราะมีตัวแปรน้อย กิเลสก็น้อย แต่ถ้ามาแก้ปัญหาตอนมีคู่แล้ว ตัวแปรนั้นมาก กิเลสก็มากกว่าด้วย ไหนจะกิเลสตัวเองที่โตขึ้น …คู่ครอง ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติ วุ่นวายไปหมด คนเดียวก็เอาตัวรอดจากกิเลสยากอยู่แล้ว ยังต้องประมาณคนในครอบครัวอีก
ใครว่าการมีคู่คือทางพ้นทุกข์จะลองก็ได้นะ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยแนะนำให้ใครไปมีคู่นะ ท่านไม่ได้บอกว่านั่นคือทางพ้นทุกข์ ซึ่งหากต้องการพิสูจน์สัจจะก็ถือเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ไปลองชิมทุกข์ จนกระทั่งถึงนรกทั้งเป็นสำหรับบางคน แต่ได้เป็นทุกข์แน่นอน..อันนี้รับประกัน
ส่วนความสุขแท้หรอ? ไม่มีหรอก มีแต่สุขลวงๆที่ตนเองปั้นขึ้นมา ซึ่งวันหนึ่งผลของกรรมจะแสดงให้เห็นเองว่าสุดท้ายแล้วก็โดนกิเลสหลอก อีกชาตินึงละ ว้าาา… แย่จัง~(อันนี้ยังดี บางคนโดนหลอกไปหลายชาติเลย จะตายแล้วก็ยังหลงอยู่)
เสียเวลาชีวิตไปตามความหลง หลงน้อยก็พ้นได้ไว หลงมากไปมีลูกมีหลาน คุณเอ๋ย ยาวเลยทีนี้ เวลาจะใช้เพื่อธรรมะไม่มีหรอก เพราะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ มีลูกหนึ่งคนเขาว่าจนไป 20 ปี มันก็มัวแต่หาเงินอย่างเดียวนั่นแหละ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปหาธรรม
ดังนั้นคนในก็ให้หยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสใช้หนี้กรรมไป เผื่อวันนึงทำดีจนเห็นผล เขาจะปล่อยให้พ้นคุกคนคู่นี้ ส่วนคนนอกที่อยากเข้าก็ศึกษาให้มันเห็นจริงก่อน ค่อยๆดูไป อย่าพึ่งรีบไปเข้าคุกนัก เพราะเข้าแล้วมันออกไม่ง่าย คุกที่ชื่อครอบครัวนี่มันเหมือนบ่วง ที่ทั้งแน่น ทั้งเหนียว ทั้งหนัก…
แก้ทุกข์ ไม่แก้สุข จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงไปแก้ถึงเหตุแห่งทุกข์
แก้ทุกข์ ไม่แก้สุข จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงไปแก้ถึงเหตุแห่งทุกข์
เวลาที่เราเจอกับปัญหาความรัก หลายคนมุ่งแต่จะแก้ทุกข์ที่เกิดขึ้น แสวงหาหนทาง หาความรู้ในการดับทุกข์ ทั้งที่จริงแล้วการจะแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์เหล่านั้น ก็ต้องกลับมาแก้ว่าเราไปติดสุขในอะไร
ตอนที่คนเราตกหลุมรักใครสักคน น้อยคนนักที่จะปรึกษาคนอื่นว่าจะดีไหม จะเห็นอย่างไร ถ้าจะปรึกษาก็คงจะปรึกษากับผู้ที่เห็นด้วยเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็เป็นเพียงแค่สายลมเบาๆที่ผ่านหูไป โดยเฉพาะถ้าให้คนที่กำลังตกหลุมรักไปปรึกษากับพระ หรือผู้ที่ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ เขาย่อมไม่ยินดีที่จะรับฟังทางพ้นทุกข์เหล่านั้นอย่างแน่นอน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าการมีคู่นั้นเป็นทางแห่งทุกข์แต่คนก็ยินดีที่จะรับทุกข์นั้นเพราะหลงว่าในทุกข์นั้นยังมีสุข และเห็นว่าสุขที่มีนั้นมากกว่าทุกข์นั่นเอง
สรุปว่าตอนที่เรากำลังสร้างปัญหานี้ขึ้นมานั้น เราไม่ค่อยปรึกษาใครหรอก แต่ตอนที่รักนั้นมีปัญหา ชีวิตคู่มีปัญหา เป็นทุกข์ ทุรนทุราย คร่ำครวญ รำพัน จะเป็นจะตาย กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็มักจะแสวงหาทางออก ซึ่งหนทางยอดนิยมทางหนึ่งของคนไทยก็คือหันหน้าเข้าหาศาสนา
แล้วยังไง? ทีนี้คนก็มุ่งแต่จะแก้ทุกข์ที่เกิดพยายามแสวงหาผู้วิเศษ ที่มีอิทธิฤทธิ์ช่วยให้ทุกข์ของตนคลายได้ “ เป็นความเชื่อที่จะเปรียบไปแล้วก็เหมือน ไปหาคนอื่นมาเช็ดขี้ของตัวเอง “ รังเกียจขี้เหม็นๆ ของตัวเอง โดยไม่รู้ว่าขี้มันก็เกิดจากอาหารที่กินเข้าไปนั่นแหละ กินอะไรเข้าไปมันก็ขี้ออกมาอย่างนั้น แล้วก็มุ่งประเด็นว่าจะทำอย่างไรขี้ถึงจะหอม ถึงจะออกมาสะอาด เหมือนกับคนที่ทำชั่วแล้วหวังให้ผลออกมาดี ซึ่งไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้เลย
ปัญหาของตัวเองสร้างขึ้นมาเอง ก็ต้องแก้เอาเอง จะไปโยนปัญหาของตัวเองให้คนอื่นแก้นั้นไม่ได้ ความเห็นแก่ตัวไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ การพึ่งตนเองต่างหากคือทางพ้นทุกข์ ขยันสร้างทุกข์มาเท่าไหร่ก็ต้องแก้เท่านั้น ตอนสุขก็เออออไปกับกิเลสไม่เอาธรรมะ แต่พอทุกข์แล้วจะมาเอาธรรมะไปล้างทุกข์ แต่ไม่ยอมล้างกิเลส หวงกิเลส แล้วมันจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร?
ความทุกข์ทั้งหลายมีอาหาร ไม่ใช่ไม่มีอาหาร เพียงแต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นอาหารของความทุกข์เหล่านั้น ก็คงจะไม่มีใครเข้าไปรู้ใจคนอื่นได้ นอกจากคนที่กินอาหารนั้นเอง ต่อให้ครูบาอาจารย์เก่งแค่ไหนก็แนะนำได้แค่ภาพรวม แต่คนที่รู้ว่าอาหารของทุกข์นั้นคืออะไร คนนั้นคือผู้ที่เป็นทุกข์เองเท่านั้น
การเกิดของความทุกข์นั้นก็เกิดจากความหลงสุข หากเราไปหลงสุขหลงเสพ หลงติดหลงยึดในอะไร ก็จะต้องทุกข์เพราะเรื่องนั้น ดังนั้นจะแก้ทุกข์ก็ต้องลงไปแก้ที่ความติดสุข แล้วทีนี้ปัญหาก็คือคนที่เป็นทุกข์จากความรัก กลับไม่อยากทิ้งความสุขเหล่านั้น ไม่อยากแม้แต่จะไปข้องแวะในอาณาเขตแห่งความสุขเหล่านั้น เป็นพื้นที่หวงห้ามที่ถูกปกป้องอำพรางไว้ด้วยขุนพลกิเลสใหญ่น้อย ที่มีกำลังแกร่งกล้า เพราะกิเลสนั้นฝึกตนให้หลงมาหลายภพหลายชาติ
ผู้ที่กิเลสหนา จิตอ่อน ปัญญาน้อย เพียงแค่ถูกกิเลสจ้องหน้าก็เข่าอ่อน ล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว อยากพ้นทุกข์แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปแตะว่าสุขเพราะอะไร ทำให้เหตุของปัญหาเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องลึกลับ เป็นเหมือนเมืองลับแล เป็นพื้นที่หวงห้ามที่ถูกพรางให้ไม่ปรากฏบนแผนที่โลก เหมือนกับมันไม่เคยมีอยู่ในจิตใจ เพราะไม่เคยคิดจะไปค้นหา ไปวิเคราะห์ ไปพิจารณาว่า เรานี่ติดสุขในอะไร สิ่งนั้นมันสุขตรงไหน สุขแบบไหน ทั้งยังไม่ยินยอมให้ใครเข้าไปลุกล้ำพื้นที่เหล่านั้น เรียกได้ว่าหวงกิเลส กิเลสของฉัน ความสุขของฉัน ตัวตนของฉัน บางครั้งถึงกับยกไว้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามตีความ ห้ามเข้าถึง ห้ามหาความหมาย แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงอาการที่หลง ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่ชัดแจ้งในสมุทัย
สรุปแล้ว การแก้ปัญหาความรักก็ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก ไม่ต้องไปปรึกษาใครให้มันเวิ่นเว้อวุ่นวายเสียเวลากันมากมายหรอก แค่ศึกษาวิธีล้างกิเลส แล้วไปค้นว่าสร้างสุขลวงอะไรขึ้นมาก็ทำลายอั้นนั้นแหละ ทุกข์ก็จะดับไปเองแต่ถ้าไม่ชัดเจนในสุขลวงเหล่านั้น ไม่ทำให้สิ่งลึกลับนั้นถูกเปิดเผยให้รู้แจ้ง ก็จะต้องจมกับความทุกข์และความเศร้าหมองตลอดไป
– – – – – – – – – – – – – – –
2.10.2558
อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์
อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์ : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงแก้ไปถึงเหตุแห่งทุกข์
ความทุกข์ที่เกิดจากความรัก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนส่วนหนึ่งหันเข้าหาศาสนา เพื่อที่จะคลายทุกข์เหล่านั้น พวกเขาจึงเลือกธรรมะมาใช้เป็นเครื่องมือกำจัดทุกข์
แต่กระนั้นคนที่ทุกข์จากความรักส่วนมาก ไม่ได้ต้องการที่จะดับทุกข์ให้หมดสิ้น เขาเพียงแค่ต้องการให้ทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่นั้นได้จางคลายลง เปรียบเหมือนคนที่โดนปืนยิง แต่ไม่ต้องการผ่าเอาหัวกระสุนที่ฝังในออก เพียงแค่ต้องการให้รักษาทั่วไปแล้วเย็บแผลให้ดูหายเป็นปกติ นั่นหมายถึงเขาไม่ได้ต้องการแก้ปัญหาทั้งหมดของความรัก เพียงแค่ต้องการแก้ทุกข์เท่าที่เป็นอยู่เท่านั้น
เขาเหล่านั้นเป็นทุกข์ แต่กลับไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็น “ความอยาก” ว่าเป็นความทุกข์ ไม่เห็นหัวกระสุนที่ฝังในอยู่นั้นคือปัญหา และเขาก็ไม่ได้อยากจะเห็นทุกข์ ไม่ได้อยากเห็นธรรม เขาแค่เพียงไม่อยากเป็นทุกข์ อยากจะหลุดพ้นจากทุกข์ในขณะนั้น โดยไม่ได้ต้องการทำลายเหตุแห่งทุกข์
ซึ่งทุกข์จากความรักเหล่านี้แท้จริงแล้ว ก็เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลส มันมีเหตุ และสามารถดับเหตุของมันได้ จึงเป็นทุกข์ที่เลี่ยงได้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกข์เช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิต
หาธรรม ให้ช้ำคลาย
การเข้าหาธรรม ด้วยความบีบคั้นของทุกข์จากความรักนั้น เกิดจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ว่าถ้าเข้ามาหาธรรมแล้วใจจะสงบขึ้น มีปัญญาขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้ว ทุกข์เหล่านั้นสามารถดับลงไปเองได้แม้จะไม่ได้ทำอะไรกับมัน ตามวงจรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่การดับเช่นนี้เป็นลักษณะทั่วไปของโลก เป็นสามัญ แต่เมื่อดับแล้วก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ เพราะเหตุยังไม่ดับนั่นเอง
คนทั่วไปมักจะใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องเพื่อช่วยในการออกจากความทุกข์ การใช้ธรรมะก็เช่นกัน เราสามารถนั่งสมาธิ เดินจงกรม เพื่อหยุดความฟุ้งซ่าน หรือถ้าแบบทั่วๆไป ก็ออกไปเที่ยว หากิจกรรมทำ หางานทำให้เรื่องมันเปลี่ยนจะได้ลืมๆความทุกข์ไป วิธีเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในลักษณะของ “สมถะ” คือการใช้อุบายเข้ามาบริหารจิต ให้เกิดความจางคลายจากสภาพหนึ่งๆ
การใช้ธรรมะเป็นทางเลือกก็เป็นโอกาสที่ดีที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เดินเข้ามาศึกษาธรรมะ ซึ่งก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ตามขอบเขตของผู้ที่ต้องการศึกษา หรือจะใช้ธรรมะแค่คลายทุกข์ไปวันๆก็ตามแต่จะประสงค์
หาหมอ แต่ไม่ยอมรักษา
คนที่เลือกใช้ศาสนา ใช้ธรรมะในการคลายทุกข์จากความรัก น้อยคนนักที่จะยอมรักษาให้ถึงเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนมากก็ขอแค่ให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นคลาย พออาการดีขึ้นก็รีบหนีออกจากความดูแลของหมอ(ผู้ผ่าตัดกิเลส) ไปเสพสุขในโลกต่อ เหมือนกับคนที่รักษาโรคแบบขอไปที หรือคนที่อาบน้ำกลัวเปียก
ในกรณีที่ใจป่วยรักษายังไงก็ไม่หาย อาจเพราะไม่กินยา(ไม่ปฏิบัติตาม) ทุกข์จึงไม่หาย บางทีกินยาผิด ไม่ตรงตามที่แนะนำ หรือเข้าใจผิดก็ทำให้ทุกข์ไม่หายไปอีก หรือที่ซวยกว่านั้นคือไปหาหมอผิด เช่น ท่านเหล่านั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติสู่การดับทุกข์ แต่หลงเข้าใจไปว่าตนเองนั้นสามารถดับทุกข์ได้ เป็นอาจารย์หมอขั้นนั้นขั้นนี้ แล้วก็ออกมารักษาคน หายบ้างไม่หายบ้าง แต่ที่แน่ๆคือไม่มีวันหายอย่างถาวร และทุกข์จากความรักเช่นนี้ แม้ไม่รักษามันก็จะหายไปเอง ตามธรรมชาติ อาจจะทำให้หลงเข้าใจผิดว่ามันหายไปก็ได้…แต่ถ้ารักษาผิด ไม่ทำลายถึงเหตุแห่งทุกข์สักวันมันก็จะเกิดขึ้นมาใหม่
แท้จริงแล้วการที่คนเราไม่ยอมศึกษาให้ถึงเหตุแห่งทุกข์นั้นเกิดจากความหลง มันหลงในกิเลสจนหวงกิเลส รักกิเลส เสียดายกิเลส กลัวว่าจะมีคนมาล้วงลึก มาทำลายกิเลสของตัวเอง ไม่ยอมเผยธาตุแท้ของกิเลสให้ใครเห็นแม้แต่ตัวเอง เรียกว่ารักกิเลสมากกว่ารักธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่โดนกิเลสปั่นหัวจนหลงมัวเมา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
หมอที่ตาดีบางท่านเขาก็สังเกตเห็นอาการกิเลสกันได้ตามบารมีที่สะสมมา แต่การจะไปทัก หรือจะเข้าไปรักษานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ว่าเขาอยากจะให้รักษาไหม เขาอยากให้แนะนำไหม เขายังหวงกิเลส เขายังผลักไสธรรมะอยู่ไหม ถ้ายัง…ก็ต้องปล่อยเขาไปก่อน ไว้วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่งเขาเห็นทุกข์จนอยากทำลายเหตุแห่งทุกข์นั้นแล้วค่อยมาว่ากัน
ช้ำรัก แต่ไม่หยุดรัก
พอไม่ได้แก้ปัญหาที่เหตุ ไปแก้ที่ผล ไปดับทุกข์กันแต่ที่ผล พอความทุกข์นั้นจางลงไป แต่ความใคร่อยากไม่ได้ลด กิเลสไม่ได้ลดลง สุดท้ายก็จะเวียนกลับไปหาเหาใส่หัว ไปสร้างเหตุแห่งทุกข์ให้ตัวเองเพิ่ม ซึ่งมันจะไม่ทุกข์เท่าเดิม มันจะค่อยๆเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเหตุจากความหลงที่เพิ่มขึ้น วิบากบาปก็มากตามที่หลงติดหลงยึดไปด้วย ติดนานเท่าไหร่ก็สะสมไปเท่านั้นและสุดท้ายก็ต้องชดใช้เท่าที่ทำมาไม่ขาดไม่เกิน
นี่คือความเป็นโลก ความวนเวียนอยู่ในโลก เป็นโลกียะ เป็นวิถีของผู้หลงผิด ที่มัวเมาในสุขลวง หลงว่าสิ่งที่เป็นทุกข์เหล่านั้นว่าเป็นความสุขจริงๆ เขาจึงวิ่งเข้าใส่ความทุกข์ด้วยความยินดี เปรียบเหมือนกับคนที่วิ่งเข้าไปในกองไฟแล้วรู้สึกว่ามีความสุขและเข้าใจว่า “ชีวิตมันก็ต้องสุขๆ ทุกข์ๆ เช่นนี้แหละ” นั่นหมายถึงเขาก็จะต้องวนเวียนไปเช่นนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะเขายินดีในสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง
ดังนั้นการไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือความวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ เสียแรง เสียทรัพย์ เสียเวลา เป็นการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ตัวเองก็ทุกข์แล้วไม่ยอมแก้เหตุแห่งทุกข์ ยังต้องไปเบียดเบียนคนอื่นเพื่อหาทางคลายทุกข์ นั่นหมายถึงว่า การไม่พยายามศึกษาและปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ คือการเบียดเบียนที่แท้จริง เป็นการใช้ชีวิตไปในทางที่ผิด เป็นทางไปสู่นรก เป็นไปเพื่อความฉิบหาย เป็นไปเพื่อความทุกข์ชั่วกัลปาวสาน
– – – – – – – – – – – – – – –
30.9.2558
ทุกข์ของคนอยากมีความรัก
ทุกข์ของคนอยากมีความรัก
ก็คือ “ความอยาก” มีความรัก
= = = = = = = = = = =
ความอยากมีความรักนั้นเหมือนคำสาป
ทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด
ใครที่เผลอตัวเข้าไป ก็มักจะหลงทาง
ทั้งที่ทางออกนั้นก็คือทางเข้า แต่กลับมองไม่เห็น
พากันแก้ปัญหาความรักด้วยการแสวงหามาเติมให้เต็ม
ยิ่งแก้ก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งแก้ก็ยิ่งหลง ยิ่งแก้ก็ยิ่งไกล
หาคนนั้น หาคนโน้น ชอบแบบนั้น ชอบแบบนี้
ปรึกษาคนนั้น ปรึกษาคนนี้ ตามหาศิราณีไปทั่ว
พบรัก สมหวัง คบหา เลิกรา เป็นอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว…
วิธีแก้ปัญหาความรักมันก็ไม่ได้หายากอะไรมากมาย
มันก็แก้กันที่ “ความอยากได้อยากมี” เท่านั้นเอง
…
การแก้ปัญหาความอยากได้รับความรัก
ไม่ได้ง่ายเพียงแค่กดข่มใจให้ “ไม่อยาก”
แต่เป็นการค้นให้ลึกลงไปถึงรากของปัญหา
คือเรา “อยาก” ได้รับอะไรจากความรัก
เราอยากได้ อยากมี อยากเสพอะไร
เราต้องการสิ่งใดหนอ ที่ทำให้เราต้องลำบาก
ที่ทำให้เราต้องทนทุกข์กับการแสวงหาความรัก
– – – – – – – – – – – – – – –
16.4.2558