Tag: ตัวเวรตัวกรรม
วิธีป้องกันนารีพิฆาต(เท่าที่รู้)
จะว่ากันถึงวิธีการที่จะกันตัวเองร่วงลงไปถึงขั้นลงหลักปักฐานแต่งงานแต่งการ สำหรับชายที่ตั้งใจประพฤติตนเป็นโสด ต้องการแสวงหาทางเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมให้กับตนเอง ก็จะมาแบ่งปันเท่าที่ได้ศึกษามา
สรุปกันง่าย ๆ ก่อนว่า ถ้าจะกันให้ได้ 100 % นั้นก็ต้องล้างกิเลสในหมวดความอยากมีคู่ให้เกลี้ยง ถ้าเกลี้ยงก็จบ แต่มันก็ไม่ง่าย จึงต้องมีลำดับการปฏฺิบัติ
1.จนเข้าไว้
พระพุทธเจ้าตรัสถึงชาดกตอนหนึ่งว่า ” หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรจะถือเอาได้ เมื่อนั้น ก็ใช้วาจาอ่อนหวานชักนำบุรุษไปได้ เหมือนชาวกัมโพชลวงม้าด้วยสาหร่ายฉะนั้น เมื่อใด หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง ไม่เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรถือ เอาได้ เมื่อนั้น ย่อมละทิ้งบุรุษนั้นไป เหมือนคนข้ามฟากถึงฝั่งโน้นแล้วละทิ้งแพไป ฉะนั้น” (กุณาลชาดก)
ความจนจะคัดผู้หญิงขี้โลภที่มุ่งหวังทรัพย์ของเราออกไปก่อน เรียกว่าตัดตัวเวรตัวกรรมออกไปได้เยอะ เขาอาจจะชอบเรา แต่เขาจะไม่ลงเอยกับเรา ความจนจึงเป็นเกราะชั้นต้น ซึ่งผู้ชายโดยมากมักจะทำตัวรวยเพราะสามารถดึงผู้หญิงมักมากเข้ามาหาตนได้เช่นนั้นเอง
จากประสบการณ์ ความจนจะกันได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายจะมีผู้ท้าชิงที่ไม่สนใจความจนความรวยหลุดมาได้อยู่ดี
2.ถือศีล ๕ ให้เข้ม
ศีลจะเป็นเกราะคุ้มกันอย่างดี คำว่า “เข้ม” ในการถือศีล คือมีการยกระดับของศีลให้ละเอียด เบียดเบียนน้อยลงไปเรื่อย ๆ เช่นข้อ ๑ ไม่ฆ่าแล้วก็ยังเลิกกินเนื้อสัตว์ สนับสนุนให้เลิกฆ่าเลิกกิน ก็จะคัดคนร้าย ๆ ออกไปได้เยอะ ข้อ ๒ ก็อย่าไปขโมยโอกาสของใครมา คือเจอหญิงแล้วอย่าออกอาการ แบบหมากระดิกหาง อย่าไปทำตัวเด่น แย่งความสนใจจากใคร ให้คนอื่นเขาเล่นบทของเขาไป
ข้อ ๓ คือไม่วิสาสะ คือไม่ทำตัวสนิทสนิมกับหญิงที่มีคู่อยู่แล้ว เพราะเขาจะชักนำผู้ท้าชิงหรือปัญหาอื่น ๆ เข้ามา ก็จะลดโอกาสพลาดได้เยอะ หญิงมีคู่นี่เขาจะรู้มาก เขาจะจับจุดอ่อนเราได้ไว เราจะพลาดได้ง่าย ข้อ ๔ คือไม่พูดหยอกล้อ ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่จีบเขา เพราะเป็นคำเพ้อเจ้อ ล่อลวง ข้อ ๕ ในระดับหยาบ ๆ ก็ไม่ไปที่อโคจรให้ต้องเจอคนที่จัดจ้านเกินไป
แม้ถือศีลได้แค่ควบคุมกาย ก็จะป้องกันได้มากแล้ว นับประสาอะไรกับศีลถึงใจ แต่เอาจริง ๆ ศีล ๕ ทั่วไปก็กันนารีพิฆาตไม่อยู่หรอก
3.หามิตรดี มีศีล ๘
จะเอาตัวรอดได้ ต้องมีพันธมิตร คือมิตรดี คอยช่วยยกระดับปัญญาและกำลังใจของเรา เพราะฐานคนโสดที่ปฏิบัติได้อย่างผาสุกจริง ๆ จะเป็นฐานศีล ๘ ขึ้นไป ศีล ๕ จะยังรุ่มร้อนจากไฟรักเผาใจอยู่
การคบมิตรดี คือคอยปรึกษา ถามปัญหา เกื้อกูล ช่วยเหลือ ตั้งใจปฏิบัติตาม เพื่อสร้างปัญญา กำลังใจและวิบากดีสะสมไปเรื่อย ๆ
ถ้าจะพอคบได้คือคนที่พยายามปฏฺิบัติตนเป็นโสด จะไม่ทำให้ตกร่วงไปมากกว่าฐานเดิม จะให้ดีคือคบหาคนที่เป็นโสดได้อย่างผาสุกจะทำให้เจริญขึ้น ส่วนคนที่หมกมุ่นในเรื่องคู่ หรือมีทัศนคติไปในทางที่ไม่เห็นโทษภัยในการมีคู่ ไม่ต้องไปคบ เพราะจะทำให้เสื่อมลงกว่าเดิม
4.รู้ทันมารยาหญิง
ถ้าเราโดนนารีพิฆาต หรือตกหลุมรักผู้หญิง แสดงว่าเราไม่ทันมารยาของเขา บางทีเขาไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่สวย เราก็ยอมตกหลุมนรกรักแล้ว
รูปสวยคืออาวุธอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่จะใช้ปราบผู้ชาย รูปคือสิ่งที่เห็น สวยคือ ดีงามตรงตามอุปาทานที่เรายึดไว้ เอาง่าย ๆ ก็ที่เขาโชว์รูปสวยกันทุกวันนี้นี่แหละ ไม่ได้มีสาระอะไรเลย นอกจากจะโชว์ “รูป” ของเขา ก็เป็นการหว่านแบบกว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจง อันนี้ด่านต้น ๆ มารยาหญิงยังมีอีกมาก
นิสัยดี คืออาวุธอีกอย่าง นิสัยคือสิ่งทีแสดงออก ดี คือดีงามตามอุปาทานที่เรายึดไว้ เขาก็จะแสดงสิ่งที่เขาว่าดีนั่นแหละ เดี๋ยวเราก็ตกหลุมลงไปเอง ไม่โดนคนนั้น ก็โดนคนนี้ โลกนี้มีผู้หญิงมากมาย เดี๋ยวมันจะต้องเจอนิสัยดีตรงใจมาลากลงหลุมไปสักคนนั่นแหละ
เราจำเป็นต้องรู้จักการรุกและรับของผู้หญิง รู้ว่าตอนนี้เขาเข้ามาแล้วนะ รู้ว่าตอนนี้เขากำลังต้อนเราเข้าคอกของเขานะ วิธีป้องกันก็ไม่มีอะไรมาก แค่ไม่เล่นไปตามเกมของเขา เดี๋ยวเขาหมดความมั่นใจ เขาก็ไปยุ่งกับคนอื่นแทนเรา ถ้าเราพลาดเขาก็จะยิ่งรุก รับ ล่อ หนักข้อขึ้น มันจะพันใจ หลุดยากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ความอ่อนของผู้หญิงคือธาตุที่อันตราย โดยค่ารวม ๆ ผู้ชายคือความแข็ง ผู้หญิงคือความอ่อน สิ่งที่ผู้หญิงส่วนมากถนัดที่สุดคืออ่อน ออดอ้อน อ่อนแอ ออเซาะ พึ่งพิง ไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่น โลเล และยอมแพ้ กระตุ้นต่อมอัตตาของผู้ชายที่เป็นสายแข็ง หลงกลเขา เหมือนไปเจอลูกแมวน่าเอ็นดูแล้วไปเก็บมาเลี้ยง
สุดท้ายจะแพ้เขา ตรงที่เขาทำเป็นแกล้งยอมแพ้นี่แหละ เราก็จะหลงไปว่าเป็นผู้ชนะ ที่ไหนได้ ตกหลุมตามแผนเขาเป๊ะ ๆ
ข้อนี้พักไว้แค่นี้ ถ้าจะขยายจริงมันจะยาวมากกกกกก ย่อไว้เท่านี้แล้วกันครับ
5.รู้ทันตัวเอง
ก็รู้จักกิเลสตัวเองนั่นแหละ ให้ศึกษากิเลสตัวเอง หลงติดหลงยึดอะไร เรื่องไหน ประเด็นไหนที่ทำให้อยากมีคู่ หรือประเด็นอะไรที่ทำให้รู้สึกใจอ่อน พลาดพลั้งได้ หรือเห็นด้วย เห็นดีกับความพลาดท่าเสียทีด้วยลีลาต่าง ๆ
จับได้ก็พิจารณาเหตุของมันให้ชัด ๆ แม่น ๆ เจาะลงไป อยากได้อยากเสพอะไร จับให้ชัดประเด็น เป็นเรื่อง ๆ ทีละเรื่อง แล้วก็ใช้ธรรมที่ศึกษามา ปรับใจให้มันถูก โดยปกติแล้วจิตมันจะไปตามกิเลส ต้องใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์มาเทียบ มันจะเห็นส่วนเกิน นั่นคือกิเลสที่ต้องกำจัด การกำจัดคืออบรมจิตให้เห็นโทษชั่ว ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความไม่มีสาระหรือตัวตนของสิ่งนั้น อุดรูรั่วไปเรื่อย ๆ สักวันปัญญามันจะเต็มของมันเอง ถ้ารู้จักตัวเองหมด จะป้องกันมารยาหญิงทั้งหมดได้
…ถือว่าเรื่องนี้พิมพ์แบบ sketch กันไปก่อน ร่างกันไว้คร่าว ๆ แต่คิดว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับหนุ่ม ๆ ทั้งหลายครับ ผู้หญิงก็อ่านแล้วไปปรับใช้กันเอา มีประเด็นไหนสนใจก็ถามเพิ่มได้ครับ
เขามาชอบ บัณฑิตก็ยังเฉย ส่วนคนเขลา อยู่เฉย ๆ ก็ไปชอบเขา
การตรวจสอบความเจริญในการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง คือลดการเสพลงได้อย่างผาสุก เรื่องความรัก เรื่องคู่ก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติได้เจริญ ความกระหายใคร่อยากในเรื่องเหล่านี้จะลดลง
แม้ในฐานศีล ๕ ที่กำลังพัฒนาตนเอง ก็จะไม่มีอาการอย่างคนทั่วไป คือจะไม่ไปไล่จีบเขา ไม่ไปหว่านเสน่ห์ ไม่ไปเกี้ยวพาราสี หรือไม่ไปพยายามล่อลวงใครมาให้เป็นคู่
เพราะจะมี “หิริ” อยู่ในใจ คือรู้สึกว่ามันเป็นบาป มันผิด มันไม่เจริญ แต่ใจจะยังอดไม่ได้ ยังอยากอยู่ข้างใน แต่จะพยายามควบคุมอาการไม่ให้ไปเบียดเบียนผู้อื่นนัก
คนที่มีฐานศีล ๕ ที่กำลังพัฒนาไปสู่ความเจริญ จะมีความละอายต่อการไปจีบหรือไปล่อลวงเขา การจะมีคู่ของคนที่อยู่ในสภาวะนี้คืออยู่ ๆ ก็ไปชอบเขาเอง แล้วก็ลงเอยกันไปแบบไม่หวือหวา
ส่วนคนที่ต่ำกว่าศีล ๕ หรือถือศีลแบบกระท่อนกระแท่น ถือศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ อาบน้ำกลัวเปียก ถือศีลแบบยึดเป็นวินัย ก็มักจะมีส่วนพร่องไปตามปัญญาที่ไม่เต็มรอบ
ดีไม่ดีก็ไปทำตามแบบปุถุชน หรือคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรือไม่ได้ตั้งใจลดกิเลสเลย คือแม้จะอ้างว่าถือศีล ๕ เป็นพระอริยะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ “จริง” ตามนั้น คำพูดนี่ใครก็พูดได้ เล่นคำ เล่นภาษากันไป แต่ถ้าในสภาวะจริง มันก็ต้องมี “ใจ” เป็นองค์ประกอบด้วย
เช่น ใจจะรู้สึกผิดบาปละอายต่อการไปจีบเขา ไปล่อลวงเขา อย่างพระโสดาบันนี่จะไม่โกหกแล้ว ไม่ไปบอกใครหรือล่อลวงใครว่า ” มีคู่สิไม่ทุกข์เท่าไหร่หรอก หรือถึงมีก็ยังสามารถทำใจให้ทุกข์น้อยได้ ” คำพูดล่อลวงพวกนี้จะไม่มีหลุดออกจากปากหรือจากใจเลย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันทุกข์มาก แต่มันอดรนทนไม่ไหว มันอยากมี ถึงจะมีก็มีด้วยใจสังวร
เพราะรู้ว่าสิ่งที่เจริญกว่านี้ยังมี ผาสุกกว่านี้ยังมี เพราะมีสัตบุรุษที่ทำตนเป็นตัวอย่าง แสดงธรรมที่เลิศกว่า ประเสริฐกว่า พอรู้ว่ามีดีกว่า แต่ใจมันยังเอาไม่ไหว ถึงจะไปมีคู่ก็ใช่ว่าจะยินดีในการมีคู่เต็มร้อย ใจมันจะละอาย มีหิริอยู่ตลอด จะครองรักไปอย่างคนคุก สำรวม เจียมตัว เพราะรู้ว่าตนยังไม่เจริญ ตนยังทำไม่ได้ และรู้ว่าคนที่เจริญกว่าตนยังมี
คนที่ต่ำกว่าศีล ู๕ และไม่มีคุณวิเศษของสาวกที่ครบพร้อม จึงปฏิบัติตนเหมือนคนทั่วไป ไปรักเขา ชอบเขา จีบเขา ล่อลวงเขา ป้อล้ออยู่นั่น ไม่มีความละอายแก่ใจ เจอคนพวกนี้ให้ห่างไว้ แม้จะโฆษณาว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เจริญในธรรม หรือมั่นคงเพียงใด แต่ความจริงข้างในนั้นยังเน่าเหม็นมากอยู่
ส่วนบัณฑิตนี่ไม่ต้องเล่าให้ยุ่งยาก ไม่ไปจีบใครเขา และใครมาจีบ มาชอบ มาอ่อย ก็ไม่หวั่นไหวด้วย ใส่พานมาเสิร์ฟก็ไม่กิน เพราะมีสิ่งดีกว่าให้เสพ สุขสบาย ผาสุกกว่าเอาชีวิตไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องความรัก ก็คือไม่ต้องมีความรัก ไม่ต้องมีคู่ให้ปวดหัว
เป็นสภาพที่ไม่ต้องทน เพราะเข้าใจทุกอย่าง ทั้งเข้าใจตัวเองและเข้าใจโลก ที่สำคัญคือเข้าใจเรื่องกรรม ก็เราทำกรรมมา เราก็ต้องรับ สมัยก่อนเราก็ไปจีบเขา เราก็ต้องรับ แล้วสมัยก่อนนี่มันกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่รู้ ไปจีบ ไปล่อลวงเขามากี่ร้อยล้านคนแล้ว ชาตินี้จะต้องเจอคนมาจีบ มาวุ่นวาย ก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะเข้าใจความเป็นไปของกรรม
ใช้กรรมแล้วมันก็จบดับไป เราไม่ได้ก่อกรรมชั่วใหม่ ไม่เห็นจะต้องทุกข์ใจอะไร ก็มีแต่จะดี จะเจริญไปเรื่อย ๆ
ส่วนคนเขลานี่ไม่ต้องให้ใครมาจีบเขาหรอก อยู่เฉย ๆ เขาก็แส่หา ทำอาการระริกระรี้ เดี๋ยวไปจีบคนนั้นทีคนนี้ที ดีไม่ดีจีบหลาย ๆ คนพร้อมกันอีก
คนรู้ธรรม รู้กรรมจริงนี่ไม่ต้องไปจีบใครให้ปวดหัวหรอก ชั่วที่ทำสะสมไว้มันมีเยอะ เดี๋ยวตัวเวรตัวกรรมเขาก็จะมาทวงอยู่ดีนั่นแหละ ทั้งทัก ทั้งอ่อย ทั้งป้อยอ ฯลฯ ป้องกันให้ทันแล้วกัน อย่าไปตกเป็นเหยื่อของกิเลสมาร ที่มาล่อให้เราหลงว่าคู่ครอง คู่รักเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามี
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
โจทย์ของคนโสดที่ต้องการชีวิตที่ผาสุก
ถ้าคนทั่วไปมีคนถูกใจเข้ามา เขาก็จะลองพูดคุย ลองคบหากัน ถ้าถูกใจจริงๆ ก็จะเพิ่มความสัมพันธ์กันต่อไป แต่สำหรับคนโสดที่อยากจะหนีออกจากวนเวียนของคนคู่นั้น ยาก…กว่า..ที่.คิด
ทันทีที่เราตั้งใจว่าจะโสด เพื่อความผาสุกที่ยิ่งกว่า ไม่ใช่โสดเพื่อรอเสพ โสดเพราะไม่มีให้เสพ หรือโสดให้ท่า คือโสดจริงๆ โสดไปจนตายเลย มีความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่าโสดนี่แหละดี เราจะอยู่เป็นโสดตลอดไป ซึ่งแน่นอนว่าในขั้นนี้เรียกว่ามีความเห็นที่ถูกตรงแล้ว คือมีสัมมาทิฏฐิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีสัมมาสมาธิ เพราะยังเป็นเพียงแค่ความเห็น แต่ยังไม่มีธรรมะนั้นจริงในใจ คือยังอยู่ในขั้นเดินมรรค แต่ยังไม่ได้ผล
เมื่อเราตั้งจิตว่า เราจะโสด ฟ้า(ผลของกรรม) จะส่งโจทย์ เข้ามาทดสอบความจริง ทดสอบธรรมะของเราว่าแท้หรือไม่ และเป็นแบบฝึกหัดให้เราเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามไปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่จะพ่ายแพ้ เพราะกิเลสนี่มันร้ายกว่าเรามาก ในสภาพที่ธรรมะของเรายังไม่เจริญเต็มที่ การจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราคาดว่าจะแพ้นั้น ไม่ใช่แนวทางที่ดีเลย ดังนั้นเราจึงมาชวนกันหนี! หนีจากตัวเวรตัวกรรม หนีจากโอกาสที่จะได้เสพสมใจกิเลส
เมื่อตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะอยู่เป็นโสด เราจะเจอโจทย์ที่โหดตามธรรมที่ควรของเรา ใครที่ยังติดความงามอยู่ ฟ้าก็จะส่งสาวสวยหนุ่มหล่อมา เขาจะเข้ามาในชีวิตเราแบบเนียนๆ เหมือนมาทางด่วนไม่ต้องฝ่ารถติดยังไงอย่างนั้น แล้วเราจะทนได้ไหม เราจะผ่านไปได้ไหม ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หนีก่อน อย่าเพิ่งเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จอย่างเดียว
ถ้าเราผ่านด่านความงาม (กาม) ก็จะมาเจอกับโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะมีใครสักคนที่อัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา และทำให้เรารู้ว่าถ้าเราไปครองคู่เขา เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ตลอดชีวิต ถ้าหนักๆ ก็เรียกว่าทั้งหน้าตาดี ทั้งมีฐานะ มีความรู้ มีหน้าที่การงานดี ฯลฯ เข้ามาใกล้ชิด พาให้คิด พาให้เพ้อฝัน ณ จุดนี้เรายังจะโสดไหวอยู่รึเปล่า อุดมการณ์ของเรายังหนักแน่นอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็หนี!
ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันเช่น เราเคยคบกับคนหน้าตาดีมา เราก็หน้าตาดีและมีฐานะ เราอาจจะไม่อยากเสพสองสภาพแรกสักเท่าไหร่เลยผ่านมาได้ง่ายๆ แต่ถ้าเรามาเจอกับคนดีล่ะ คนดีที่เขามีชีวิตดีๆ พยายามทำดี พร้อมทั้งอุดมไปด้วยลาภ สักการะต่างๆ เราจะทนไหวไหม เขาก็เป็นคนดีนะ นิสัยดีนะ มีธรรมะด้วย เราจะหวั่นไหวไปร่วมหัวร่วมหางกับเขา หรือเราจะหนี!
สุดท้ายแม้เราเป็นคนที่ไม่สนใจหน้าตา ลาภ ยศ ความดี ฯลฯ อะไรเลยก็ตาม แต่ถ้าเรามาเจอคนที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อที่จะบรรลุมรรคผลเหมือนเราล่ะ เขาจะเดินไปทางเดียวกับเราเลยนะ เราจะรับเขาเข้ามาในชีวิตของเราไหม เราจะเลิกพึ่งตนไปพึ่งเขาหรือไม่ หรือเราจะหนีห่างออกมาในระยะที่สมควร ไม่เกินเลยไปกว่าเพื่อน
ถึงจะบอกว่าหนี … แต่ในความจริงมันก็ยากจะหนีพ้น เพราะโจทย์จะเข้ามากระทุ้งกระแทกกระทั้นให้กิเลสนั้นออกอาการ คนปากหนักใจแข็งที่ไม่คิดว่าจะรักใครอีกก็อาจจะหวั่นไหวได้ เราหนีไปที่ไหนเขาก็จะตามไป ถึงคนหนึ่งไม่ตาม แต่ก็จะมีอีกคนหนึ่งตามมา จะมีคนเข้ามาใกล้ชิดเราอยู่เสมอ เราหนีเข้าป่า ก็จะมีคนเข้ามาหาในป่า เราหนีเข้าวัด เราก็จะเจอกับคนแบบนั้นในวัด เอาเป็นว่าไปไหนก็จะเจอ นั่นเพราะเรานั่นแหละที่เป็นตัวดึงดูดเขาเข้ามา เป็นผลของกรรมของเราเองที่จะเข้ามาทดสอบความแท้ ของความโสดของเรา
ดังนั้นในการปฏิบัติก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก เพราะยากนักที่ลูกหนูจะสู้กับสิงโตได้ ถึงจะใกล้ตัวก็ควรวางใจให้ห่างเอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้สู้ ถ้าวันหนึ่งเราเติบโต เรามีอินทรีย์บารมีแก่กล้า ก็ต้องกลับมาเผชิญหน้าสู้กันเพื่อพิสูจน์มรรคผลกันอยู่ดี
ใครที่ไม่แน่ใจก็ยังไม่ต้องรีบพิสูจน์กันมาก เพราะโดนลากลงนรกกันมาเยอะแล้ว ถึงจะบวชเป็นพระแก่พรรษา มีลูกศิษย์มากมาย เขาก็จับสึกเอาไปเป็นคู่ได้ ถ้าเราไม่ใช่ของแท้แล้วไปพัวพันเข้ามากๆ นี่เขาลากลงนรกเลยนะ พอคนหลงแล้วนี่มันหลงเลย มันถอนตัวยาก กว่าจะเห็นโทษของกิเลสนี่ก็ไม่ง่าย ดีไม่ดีตีกลับเห็นกิเลสว่าเป็นของดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่าการมีคู่นั้นดี รู้อย่างนี้เรามีคู่ไปตั้งนานแล้ว จะมาทนโสดอยู่ทำไม! มันตีกลับไปแบบนี้ก็ได้นะ
– – – – – – – – – – – – – – –
21.7.2559
วิธีป้องกันเนื้อคู่ (เพื่อการหลุดพ้นจากการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติ)
วิธีป้องกันเนื้อคู่ (เพื่อการหลุดพ้นจากการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติ)
เนื้อคู่ หรือที่เข้าใจกันโดยมากว่าเป็นผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่ครอง แม้จะเป็นสิ่งที่ทางโลกต่างแสวงหา แต่ในทางธรรมแล้วการมีคู่ครองกลับเป็นเรื่องที่ควรห่างไกล ไม่ควรแสวงหา ไม่ควรหลงไปเสพ
แม้ธรรมะนั้นก็มีหลายระดับ ในระดับที่ยังไม่พ้นไปจากความหลงติดหลงยึดก็จะพิจารณาหาแต่ประโยชน์ของการมีคู่ พยายามหาช่องทางในการมีคู่ให้ได้โดยไม่ผิดบาป หรือแม้กระทั่งการชี้ชวนให้ผู้อื่นเห็นว่าการมีคู่เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งก็ใช่สำหรับคนที่ยังไม่เอาจริงเอาจังในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ เพราะยังยินดีในเรื่องคู่ครอง ยังอยากเสพสุขอยู่ในสภาพนั้น ๆ ไม่ยอมพราก ไม่ยอมจากไปไหน แม้ปากจะพร่ำบอกว่าเป้าหมายของชีวิตคือหลุดพ้น คือนิพพาน แต่กลับยินดีที่จะมีคู่ครองซึ่งเป็นบ่วงถ่วงธรรม ผู้ที่แสดงธรรมใด ๆ หรือชี้ชวนให้คนไปยินดีในการครองคู่ ผู้นั่นย่อมไม่ใช่ผู้ที่จะพาคนไปพ้นทุกข์ได้เลย และในบทความนี้เราจะมาขยายวิธีที่โลกไม่คิดจะสอน นั่นคือวิธีป้องกันเนื้อคู่
…เกริ่นก่อน
เนื้อคู่ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่สามารถเข้ามาทำให้จิตใจนั้นหวั่นไหวได้ง่าย ซึ่งอาจจะไปในทางชอบหรือทางชังก็ได้ มักจะเอื้อให้เกิดการทำกรรมที่มีน้ำหนักมาก จะชั่วก็ชั่วมาก จะดีก็ดีมาก แต่มักจะถูกครอบงำด้วยความหลง
เมื่อเราได้เริ่มศึกษาธรรมะอย่างแท้จริง จะพบว่า ไม่มีประโยชน์ใดเลยที่เราจะมีคู่ ทั้งในทางโลกและในทางธรรม ทางโลกก็พาให้หลงวนอยู่ในโลกธรรม ทางธรรมก็ล่าช้าเสื่อมถอย ผู้ที่เริ่มเห็นทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมจะพยายามหาทางออก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะตัดสินใจอยู่เป็นโสดได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะพลังของกิเลส ความอยาก ความหลงติดหลงยึดนั้นจะคอยฉุดเราลงนรกอยู่เสมอ
และตัวแทนของวิบากกรรมที่จะมาฉุดเราลงนรกก็คือเนื้อคู่หรือคู่เวรคู่กรรมนี่เอง การที่เราจะออกหรือรอดพ้นจากบ่วงได้นั้น เราต้องรู้ชัดในใจก่อนว่า คนนี้แหละที่เขาจะมาทำร้ายเราได้แนบเนียนที่สุด ทำร้ายเราด้วยความรัก ความเมตตา ความเกื้อกูล และความดีงาม ที่จะทำให้เราหลงติดหลงยึดในตัวเขาไปอีกหลายภพหลายชาติ และคนนี้เองที่เราจะทำร้ายเขาได้มากที่สุดเช่นกัน หากเรายังรับเขาเข้ามาเป็นคู่อีก เราก็จะทำให้เขาหลงรักเรา คิดถึงเรา หึงหวงเรา ทะเลาะกับเรา โกรธเรา พยาบาทเรา จองเวรจองกรรมกับเราไปอีกหลายภพหลายชาติเช่นกัน นั่นหมายถึงเราจะต้องมาเจอกันและหลงรักกัน และครองคู่กันจนทำร้ายกันไปในนามแห่งความรักแบบนี้โดยไม่รู้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน
…วิธีป้องกันเนื้อคู่
เนื้อคู่คือผู้ที่มีเวรมีกรรมผูกกันมา จนมักจะต้องมาลงเอยรักใคร่กันในชาตินี้จนถึงขั้นเป็นแรงผลักดันให้แต่งงานครองคู่กัน แน่นอนว่าเหตุแห่งความรักความหลงนั้นคือกิเลส ถ้าดับกิเลสได้ ต่อให้มีเนื้อคู่มาอีกร้อยอีกพันคนก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ในเมื่อเรายังดับกิเลสไม่ได้ เจอแค่คนเดียวก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว นับประสาอะไรกับเป็นร้อยเป็นพัน มันก็แพ้ทั้งหมดนั้นนั่นเอง
วิธีเอาตัวรอดแบบเข้าใจง่าย ๆ คือตั้งใจเป็นโสดตลอดชีวิต ซึ่งในความจริงแล้วมันทำได้ยากมาก จึงขอเสนอวิธีการคัดเอาตัวเนื้อคู่ที่สร้างปัญหามากออกไปก่อน โดยใช้ศีลมาเป็นตัวคัดกรอง การคัดด้วยศีลนั้นไม่ได้หมายความว่าให้เอาศีลไปใช้กับเขา แต่หมายถึงให้เราปฏิบัติศีลนั้น แล้วผลของศีลนั้นจะไปคัดกรองคนเอง คนที่ไม่คัดกรองด้วยศีลจะได้พบกับเนื้อคู่ตามเวรตามกรรมแบบเต็มน้ำเต็มเนื้อ เขามีกิเลสมาเท่าไหร่ ก็ต้องรับเท่านั้น นั่นหมายถึงต้องทุกข์ ต้องลำบาก ต้องมีภัยแปรผันไปตามกิเลสของคนที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต
การป้องกันเนื้อคู่แบบหยาบ … คือการใช้ศีล ๕ เข้ามาฝึกปฏิบัติ พร้อมงดเว้นอบายมุข การเที่ยวเล่น มุ่งบันเทิง มัวเมา เล่นพนันหวยหุ้น คบคนชั่ว และทำตัวขี้เกียจ เราควรจะงดเว้นเสียให้หมดในเบื้องต้น เพราะหากเรายังไม่มีศีล ๕ และเมาอบายมุขอยู่นั้น เราก็จะมีโอกาสพบกับคนที่ศีลเสมอกัน คือเนื้อคู่ในระดับต่ำกว่าศีล ๕ พร้อมด้วยอบายมุขทั้งหลาย นั่นหมายถึงทุกข์มากจนถึงทุกข์แสนสาหัส แม้จะดูดีในเบื้องต้นแต่ท้ายสุดแล้วผู้ไม่มีศีลย่อมพากันถึงความพินาศแน่นอน
การป้องกันเนื้อคู่แบบกลาง … พอเรามีศีลขั้นต้นมาได้แล้ว ก็จะพ้นเนื้อคู่แบบหยาบ ๆ ชั่ว ๆ แต่ก็ยังจะหนีไม่พ้น เพราะจะมีแบบที่ดีกว่าเข้ามาอีก ซึ่งเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้พ้น โดยใช้ฐานศีล ๘ เข้ามาคัดกรอง นั่นคือในส่วนของกามคุณ เช่นเราจะไม่แต่งตัวแต่งหน้าให้ดูดีเกินไป ไม่อวดความงามให้ใครเห็น จนถึงขั้นทำสิ่งที่ตรงข้าม คือทำให้ไม่งามเอาเสียเลย ในบางเรื่องที่พอจะทำไหว ซึ่งการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่การสร้างภาพให้เป็นเช่นนั้น แต่ต้องสร้างจิตใจไม่ให้ไปยินดีในความงามที่จะเป็นเหยื่อล่อให้เนื้อคู่ที่บ้ากามเหล่านั้นเข้ามาได้ การที่ใจเรายังยินดีในความงามของตน นั่นเพราะลึก ๆ เราอยากให้คนเห็นคุณค่าในความงามนั้น พอมีคนที่เราถูกใจมาเห็นคุณค่าลวงที่เราล่อไว้นั้น เราก็จะพลาดพลั้งเสียทีให้กับเนื้อคู่ได้
การป้องกันเนื้อคู่แบบละเอียด … ถึงเราจะมีศีล ๕ ไม่ทำตัวให้ดูเด่น ไม่ทำตัวให้น่าหลงใหล ไม่ประดับตกแต่งให้ดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหนีพ้น หลายคนอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ชอบคนดี รักคนเลว แต่งงานกับคนรวย” นั่นหมายถึงหากเรายังมีเงินมีทองอยู่ ก็ยังดึงดูดเนื้อคู่เข้ามาได้อยู่ดี ในแบบละเอียดนี้หมายถึงการไม่หลงติดหลงยึดในโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข หากเรายังลุ่มหลง มัวเมา ยังกอดเก็บสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นก็จะเป็นประตูให้เนื้อคู่เข้ามาได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันเราก็ควรจะรักษาโลกธรรมไว้ในขีดที่พอเหมาะ เช่นลาภ ฐานะ ความร่ำรวย ก็ให้แก้ด้วยการประหยัด อดออม การสละออก การแบ่งปัน ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย เป็นต้น ส่วนโลกธรรมข้ออื่น ๆ ก็อย่าไปแสวงหามันมาก ให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น
การป้องกันเนื้อคู่โดยสมบูรณ์ …. ถึงเราจะพยายามป้องกันโดยสร้างกำแพงศีลมาคัดเนื้อคู่ที่กิเลสหนาพาให้ทุกข์ได้มากขนาดที่ตั้งกำแพงว่าอบายมุขก็ไม่เอา ความงามก็ไม่มี แถมฐานะยังดูไม่หรูหราอีก ถึงขนาดนั้นก็จะยังมีเนื้อคู่ที่สามารถทะลุกำแพงศีลเหล่านั้นมาได้อยู่ดี คือแม้เราจะไม่หล่อไม่สวยไม่รวย ไม่มีเหตุที่ไปล่อตาล่อใจใดๆ แต่เขาก็จะมาหลงรักให้เราหลงใหลเขากลับได้อยู่นั่นเอง
การใช้ศีลกั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มา เขาจะมาเหมือนเดิมเพียงแต่จะเข้าถึงเราไม่ได้เพราะเจอกำแพงศีล แต่ถ้าเราไม่ล้างความหลงติดหลงยึดในความอยากมีคู่ เรานั่นแหละที่จะทำลายกำแพงศีลทั้งหมดนั้นแล้ววิ่งไปจับมือเขาพุ่งลงนรกเสียเอง
ดังนั้นหากเราจะป้องกันการไปครองคู่กับเนื้อคู่โดยสมบูรณ์ ก็ต้องทำลายความอยากมีคู่ในตนเสีย เพราะความอยากมีคู่ของเรานี่เองคือสิ่งที่จะดึงดูดเขาเข้ามา การทำลายความอยากนั้นทำได้โดยใช้หลักอริยสัจ ๔ คือต้องกำหนดรู้ว่าความอยากมีคู่เป็นทุกข์ ต้องรู้เหตุแห่งความอยากมีคู่นั้น รู้ว่าจะต้องดับเหตุแห่งความอยากมีคู่นั้น โดยใช้วิธีปฏิบัติสู่การดับความอยากมีคู่ ซึ่งการจะเรียนรู้ในปฏิบัติสู่การทำลายความอยากมีคู่ได้นั้น จะต้องมีเงื่อนไขหนึ่ง คือต้องพบกับมิตรดีเสียก่อน มิตรดีจะเป็นผู้ชี้ทางว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะสามารถหลุดพ้นจากความอยากนั้นได้ ถ้าเราไม่เจอมิตรดี ไม่เจอผู้ที่รู้ธรรมะในการออกจากความอยากมีคู่ แต่พลาดไปเจอกับผู้ที่หลงมัวเมาอยู่ในการมีคู่ ก็จะพากันหลงไปทั้งผู้สอนและผู้เรียน
แม้เจอมิตรดีคนเดียวก็สร้างพลังให้กับการทำลายความหลงติดหลงยึดในการมีคู่ได้แล้ว ถ้าเจอมิตรดีเป็นหมู่ใหญ่ก็จะยิ่งสร้างกำลังใจและกำลังปัญญาที่จะผลักดันให้เจริญได้มากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการพ้นทุกข์ ดังนั้นหากเราอยากหลุดพ้นเรื่องไหน ก็ต้องพยายามเข้าหากลุ่มที่เขาพากันหลุดพ้นเรื่องนั้น แล้วเกาะกลุ่มนั้นไว้เป็นหลักยึดในการปฏิบัติ ดังในบทสวดที่ว่า “สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” คือเอาหมู่สงฆ์(คนที่ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์) เป็นที่ยึดอาศัย
…ทำความเข้าใจและยอมรับเรื่องคู่เวรคู่กรรม
เนื้อคู่ที่เข้ามา ไม่ว่าจะดีจนเราลุ่มหลงมัวเมาหรือร้ายจนเราชิงชังรังเกียจเคียดแค้นอาฆาต ก็สุดแล้วแต่กรรมที่เราทำมา เราทำมาเท่าไหร่อย่างไร เราก็ต้องรับผลกรรมเท่านั้น เนื้อคู่ที่เข้ามานั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของการกระทำที่เราเคยทำไว้เท่านั้น
แม้ว่าเราจะชิงชังรังเกียจกรวดน้ำคว่ำขัน ก็ไม่สามารถลบแรงของกรรมเก่าได้ ซึ่งกรรมใหม่คือการรังเกียจก็จะเพิ่มการจองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก รวมกับกรรมเก่าที่เคยทำร่วมกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ซึ่งต้องทยอยรับผลทุกชาติ ก็จะทำให้ต้องเจอกับคนแบบเดิม ๆ กันไปจนกว่าจะหมดผลของกรรมนั้น
ถ้าเรามีศีลมากพอ เราก็จะไม่ชักชวนเขาทำบาปได้เท่าระดับศีลของเรา ถ้าเราหลุดพ้นจากความอยากมีคู่ เราก็ไม่ต้องชักชวนเขาร่วมบาปในการเป็นคู่อีก ถ้าเราหลุดพ้นจากความหลงติดในตัวบุคคล เราก็จะมีแต่กุศลอย่างเดียว ไม่มีบาปใด ๆ ที่เราจะทำเพราะมีเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยอีกเลย และจะคงเหลือไว้เพียง ความเมตตา เกื้อกูล หวังประโยชน์แก่เขาเท่านั้น เป็นสภาพที่ไม่ต้องระวังว่าจะดูดดึงจนเกินไป หรือผลักไสจนห่างเหิน เพราะถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นใด ๆ แล้ว ก็จะเหลือเพียงจิตที่แววไวต่อกุศลเท่านั้น
และจะพัฒนาต่อจนกลายเป็นพาเนื้อคู่นั้นลดกิเลส ลดความยึดมั่นถือมั่น เพื่อป้องกันการจองเวรจองกรรมกันในระดับข้ามภพข้ามชาติ ซึ่งสรุปความทั้งหมดลงตรงที่ว่า เราต้องเอาตัวเองให้รอดจากการควบคุมของกิเลสให้ได้ก่อน และหลังจากนั้นค่อยช่วยผู้อื่น จึงจะพากันพ้นภัย อยู่กันอย่างผาสุก ไม่เบียดเบียนกัน เกื้อกูลกันด้วยความมั่นคงที่ยั่งยืน
– – – – – – – – – – – – – – –
18.5.2559