Tag: คู่เวรคู่กรรม
การตั้งจิตเป็นโสด เกิดมาชาติใดก็ขออย่าได้มีคู่ครองอีกเลย ทำได้จริงไหม? ทำอย่างไร?
การตั้งจิตเป็นโสด เกิดมาชาติใดก็ขออย่าได้มีคู่ครองอีกเลย ทำได้จริงไหม? ทำอย่างไร?
มีคำถามเข้ามาว่า “ตั้งอธิฐานจิตอย่างไรให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นโสดหมดพันธะเรื่องคู่ครอง” ก็จะตอบกันไปตามที่รู้ ซึ่งการตั้งจิตเป็นโสดนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ เข้าถึงผลได้ คือทำจิตให้เป็นโสดได้ แต่จะข้ามภพข้ามชาติหรือไม่อย่างไรก็ลองอ่านกันต่อดู
การตั้งจิตเป็นโสด
ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า และ “ผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต” ก็เป็นคำยืนยันในทิศทางปฏิบัติที่เจริญ ดังนั้น การตั้งจิตตั้งใจว่าจะอยู่เป็นโสด ก็ถือเป็นความเจริญทางหนึ่งที่ผู้ศรัทธาพึงปฏิบัติ การตั้งจิตเป็นโสดนั้น คือการตั้งใจไว้ว่าตนเองจะประพฤติกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในธรรมที่พาให้เป็นโสด ไม่ส่งเสริมในสิ่งใด ๆ ที่จะพาให้มีคู่ ดังนั้น คนที่ตั้งจิตเป็นโสดจะต้องคอยตรวจสอบกายวาจาใจของตนว่ากิจกรรมเหล่านั้น เป็นไปเพื่อส่งเสริมความเป็นโสด หรือเพิ่มความหลงมัวเมาในความเป็นคู่
การจะอยู่เป็นโสดได้นั้น จำเป็นต้องมีตัวอย่างที่ดี มีคำสอนที่เป็นหลักชัย เพราะตัวอย่างที่ดีจะเป็นกำลังใจและคำสอนที่ดีจะเป็นปัญญาพาให้ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ ฝ่าฟันผ่านการหลอกหลอนของกิเลสได้
เมื่อคนตั้งใจจะเป็นโสด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นโสดได้อย่างที่ใจตั้งไว้ จะมีมารเข้ามาเพื่อทำให้ใจนั้นล้มเลิก ล้มเหลว มารนั้นคือกิเลสของเราเอง แต่จะผ่านเข้ามาผ่านการกระทบสิ่งต่าง ๆ ในโลก เช่นเจอคนที่ชอบ คนที่ชอบเขามาคุยด้วย คนที่ชอบมาบอกรัก คนที่ชอบมาขอคบหา คนที่ชอบมาขอแต่งงาน ฯลฯ อะไรทำนองนี้ ก็เป็นโจทย์ที่จะคอยผลักให้ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ ล้มเลิกที่จะพัฒนาตนให้ก้าวข้ามความอยากมีคู่ได้
การตั้งใจประพฤติปฏิบัติตนเป็นโสดในคนโสดนั้น ก็ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ คือตั้งใจ และหาครูบาอาจารย์ที่จะคอยช่วยแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนในประเด็นที่ได้ประมาทไป หาหมู่มิตรดีที่มีพลังในการช่วยในการต่อสู้กับความอยากมีคู่ ต้องสร้างองค์ประกอบที่ตนเองจะสามารถประสบความสำเร็จได้ง่าย เหมือนนักรบที่รู้จักชัยภูมิในสงคราม เมื่อเขารู้ว่าควรจะตั้งทัพตรงไหน บุกจากตรงไหน ป้องกันตรงไหน ก็จะชนะศึกนั้นได้ไม่ยาก ก็เหมือนกับคนที่ตั้งใจจะเป็นโสด ก็ต้องรู้จักหลักว่าควรจะรบและรับอย่างไร ควรจะมีพันธมิตรเป็นใคร ควรจะอยู่ห่างใคร จึงจะประสบผลสำเร็จ
ทั้งนี้การประพฤติตนให้อยู่เป็นโสดนั้น จะสอดคล้องกับการถือศีล 8 ดังนั้น ถ้าจะให้ปฏิบัติไม่ยากไม่ลำบากนัก ก็ควรจะปฏิบัติศีล 5 ให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่ผิดศีลมาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีกำลังไปสู้กับมารที่แกร่งกว่า การถือปฏิบัติศีล 8 ไปพร้อม ๆ กัน จะช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้กับกิเลสได้มากขึ้น ยิ่งทำศีล 8 ได้ดีเท่าไหร่ อัตราการรอดพ้นก็สูงขึ้น
การตั้งจิตเป็นโสดในคนคู่
การปฏิบัติตนเป็นโสดในคนที่มีคู่ครองจะยากและซับซ้อนกว่าคนโสด และจะยากขึ้นไปอีกเมื่อมีลูก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทั้งนี้การปฏิบัติตนเป็นโสดนั้นในสภาพคนคู่นั้น คือการปฏิบัติที่จิต ทำในใจตนเอง เพราะการดูแลคู่ครองและการดูแลลูกนั้น ก็ยังเป็นหน้าที่ ยังเป็นมงคลชีวิตที่ควรกระทำอยู่ดี แล้วจะทำอย่างไรที่ต้องแบกหน้าที่ไปด้วย ตั้งจิตเป็นโสดไปด้วย?
โจทย์ ในการตั้งจิตเป็นโสดของคนคู่จะมีมากขึ้นตามตัวแปรที่เพิ่มขึ้น มันจะผูกจะพันวกวนไปมาตามปริมาณของตัวแปรมีมากนั้น ๆ ยิ่งมีคนมาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งยุ่งยากมากเท่านั้น คนมีคู่ที่จะตั้งจิตเป็นโสด จึงต้องจัดการกิเลสหลาย ๆ เรื่องที่เข้ามาทำให้จิตใจขุ่นมัว เพื่อที่จะมุ่งเป้าให้ชัดในการจะกำจัดกับความหลงในการมีคู่
เหตุของการมีคู่ คือกิเลสที่หลงสุขไปกับการมีคู่ เป็นไปได้ทั้งสองทางคือฝั่งกามและอัตตา กามคือการเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อัตตาคือความอยากได้สมดั่งใจตน ได้สมตามที่ตนเชื่อถือ เช่น เชื่อว่ามีความรักแล้วชีวิตจะสมบูรณ์แบบ ฯลฯ
ความหลงสุขในกามและอัตตานี่เอง ที่ดึงคนให้หลงเข้าไปเสพ ตรึงคนให้วนเวียนอยู่ ออกไม่ได้ เราจะต้องทำความชัดเจนในใจในแต่ละประเด็นว่าเราหลงติดหลงยึดอะไร ถึงได้ยอมเป็นทุกข์อยู่จนถึงทุกวันนี้ ทำไมถึงได้เลือกเขามาเป็นคู่ ทำไมถึงได้สร้างลูกคนนี้คนนั้นขึ้นมา แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นมามันมีเหตุ เราต้องดับเหตุตัวนั้น อันนี้เรียกว่าส่วนอดีต เป็นสิ่งที่ต้องชำระ เพราะหากระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วยังมีอาการชอบหรือชัง ก็ยังเรียกว่าผูกพัน ไม่พ้นจากความเป็นคู่ไปได้ เรียกว่าการตรวจเวทนาในอดีต หนึ่งในองค์ประกอบของเวทนา 108 ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะต้องทำเมื่อจะปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์
ส่วนของปัจจุบัน ก็ต้องตรวจใจว่าในแต่ละกรรมกิริยา แต่ละการกระทบที่เกิดขึ้น ที่เขาพูด ที่เขาทำ แล้วกระทบใจเรา เรายังหลงชอบหลงชังอยู่ไหม ยังปลื้มใจ ดีใจ ภูมิใจอยู่ไหม หรือไปทางชิงชังรังเกียจ ทั้งสองทางเรียกว่าทางโต่งสองด้านของจิตที่ไม่พาพ้นทุกข์ เมื่อเรากระทบกับเหตุการณ์ เราก็ต้องจับอาการ จับเวทนา ว่ามันไปทางทิศไหน ชอบหรือชัง ทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ และตรวจต่อไปว่าสุขทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากเราหลงในอะไร เพราะความจริงคือมันไม่มีสุขและไม่มีทุกข์ด้วย (ในกรณีเป็นการพูดกระทบ มอง แสดงอาการ ฯลฯ ไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย หรือการเยียวยารักษา) แต่เป็นเราเองที่เติมสุขทุกข์เหล่านั้น ลวงจิตของเราเอง เราก็ตรวจหาความหลงของเราที่ทำให้เกิดอาการของจิตเหล่านั้น แล้วใช้ธรรมะที่ได้เรียนมาจากครูบาอาจารย์ หรือถ้าไม่มาไม่ไปก็ไปสอบถามปรึกษาอาจารย์หรือมิตรดี ก็จะทำให้ผ่านพ้นได้เร็วขึ้น
เมื่อจิตกำจัดความหลงในคู่ครองได้โดยลำดับ จะรู้ตัวว่าเริ่มพ้นจากการที่ต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่ คือไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เราก็จะไม่หลงชอบหลงชัง หลงสุขหลงทุกข์ตามเขา เราก็ปกติของเรา นิ่งเหมือนทะเลสาบไร้ลม ไม่มีแม้คลื่นใด ๆ ที่เกิดการกระเพื่อมหรือขยับแม้เล็กแม้น้อย อันนี้คือเรามีอิสระในจิตเราแล้ว เราไม่ถูกครอบงำโดยเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะพบว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเขาอยู่ ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเราไม่ได้พึ่งพาเขา ไม่ได้หลงเขา ไม่ได้เอาใจไปฝากไว้ที่เขา แต่เอาไว้ที่ตัวเอง ไว้กับตัวเอง เป็นความโสดในจิต
การตั้งใจเป็นโสดก็คือทำใจให้เป็นโสด ไม่หลง ไม่พึ่งพิง ไม่ตกอยู่ในอำนาจของเขา เป็นอิสระ ถ้าทำได้แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเคย และการทำหน้าที่คู่และผู้ปกครองจะดีขึ้น เพราะไม่มีอคติลำเอียง ชีวิตคู่จะเป็นอยู่ผาสุกขึ้นเพราะเราจะไม่ไปเอาอะไรจากเขา ที่เหลือก็ทำดีให้มาก ๆ เพิ่มศีลขึ้น ขยันฟังธรรม ทำความเข้าใจเรื่องกรรมว่าไปผูกเขามาแล้วก็ต้องรับกรรม ถึงเวลาถ้าเขาจะปล่อยเรา เดี๋ยวก็จะมีสัญญาณเอง เช่น เขามีคนอื่น, เขาอยากเลิกเอง, เขาตาย … เราก็แค่รับความเป็นจริงในเหตุการณ์นั้นตามจริง คือเขาจะไปเราก็ปล่อย คนใจเป็นโสดนี่เขาไม่ยึดคู่อยู่แล้ว พร้อมวาง พร้อมเลิกเสมอ แต่ไม่โลภมากที่จะรีบเลิก แล้วก็ไม่กลัวจนเกินไปจนไปเสริมกิเลสคู่ พอปล่อยเสร็จเราก็เป็นโสดแล้ว ก็อยู่ไป ทำดีไปตามภูมิ ไม่เสียเวลาต้องแสวงหาใหม่ เพราะถ้าจิตเป็นโสดจะไม่แสวงหาใคร
คนที่มีลูก ก็ต้องพิจารณาเรื่องลูกด้วย ให้ละหน่ายคลายความหลงรักลูก เพราะลูกนี่แหละ คืออีกหนึ่งเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอยากมีคู่ เพราะอยากมีลูกเลยต้องหาคู่ เพราะหลงว่าลูกจะดี ต้องมีคู่ดี เรื่องมันเลยยุ่ง เพราะจริง ๆ ไม่ได้ติดคู่ครองมาก แต่ติดลูก เวลาล้างกิเลสไปมันจะติด ค้างแบบงง ๆ เหมือนจะไม่ติดไม่ชอบไม่ชังคู่ แต่จะไม่ผ่องใส จะต้องล้างความหลงในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทำเปื้อน(หลง)มาเท่าไหร่ ต้องล้างให้สะอาดทั้งหมดเท่านั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้
การตั้งจิตเป็นโสดข้ามภพข้ามชาติ
การตั้งจิตเป็นโสดในชาติหน้านั้นเป็นการตั้งความหวังในเรื่องของอนาคต แต่ก็สามารถทำในชาตินี้ได้ ก็คือการตรวจใจว่าถ้าในอนาคต มีคนเข้ามาแบบนั้นแบบนี้ ในเงื่อนไขนั่นนู่นนี่ เราจะเผลอใจไปไหม ก็ตรวจตนเองไป เอาเหตุการณ์ข้างนอกที่มีนั่นแหละ มาตรวจว่าเรายังมีจิตยินดีในการมีคู่ของคนนั้นคนนี้อยู่รึเปล่า ดูหนังดูละครแล้วยังเคลิ้มไปกับเขารึเปล่า การตรวจเวทนาในอนาคตคือตรวจสิ่งที่ยังไม่เกิดจริง โดยใช้จิตปัจจุบันเป็นตัวอ้างอิง
เช่นบางคนแค่นึกถึงว่าจะมีคนแบบนั้นแบบนี้เข้ามา ก็เป็นสุขแล้ว แค่คิดก็เป็นสุข อันนี้เป็นลักษณะของการฝันไปในอนาคตแต่เป็นสุขในปัจจุบัน การตรวจกิเลสก็เช่นกัน คือใช้องค์ประกอบที่มีแนวโน้มจะเกิดในอนาคตมาตรวจความหวั่นไหวในปัจจุบัน แล้วขยันตรวจซ้ำกับเหตุการณ์ในอดีต ล้างความหลงติดหลงยึดที่พาให้เกิดชอบหรือชังไปตามลำดับ(มรรค) และยืนยัน “ผล” ด้วยความจริงที่ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่จะล่อลวงไปให้หลงมีคู่ใด ๆ ในปัจจุบัน
ตรวจเวทนา คือความชอบความชัง ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต นี้วนไปวนมา จนมั่นใจแล้วไม่ว่าจะมาแบบไหนก็ไม่หวั่นไหว จิตไม่ไหลไปตามกิเลส ไม่เคลิ้มไปตามเรื่องชวนฝัน ก็เป็นใช้ได้ ยิ่งมีตัวยืนยันในปัจจุบันเลยจะยิ่งชัดในใจตนเองว่า “ไม่แพ้”
ถ้าใจตั้งมั่นแม้มารยกทัพมากระทืบ ใจก็ยังไม่หวั่นไหว ก็ยืนยันได้เลยว่าอนาคตไม่แพ้แน่นอน นั่นหมายความว่าสิ่งนี้แหละ จะติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ แต่….
ถึงแม้ว่าเราจะทำจิตให้เป็นโสดได้ดังนี้แล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะการันตีว่าเกิดชาติหน้าเราจะไม่หลงไปมีคู่ ขนาดพระพุทธเจ้าที่มีบุญบารมีสูงสุดในโลก ยังต้องไปมีคู่ ข้อนั้นเพราะอะไร นั่นก็เพราะแรงกรรมมันมากกว่า ท่านมีกรรมที่ต้องรับ เราเองก็เช่นกัน ล่อหลอกมอมเมาคู่มาเท่าไหร่ เป็นตัวอย่างให้คนหลงไปมีคู่มาเท่าไหร่ เคยเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนยินดีในการมีคู่มีครอบครัวมาเท่าไหร่ เราต้องรับกรรมนั้นแน่ ๆ แต่…
ถึงแม้เราจะต้องรับกรรมเหล่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ร้ายขนาดที่จะต้องหลงมัวเมาไปตลอดชาติ กรรมนั้นรับแล้วก็หมดไปเป็นส่วน ๆ แม้กรรมชั่วเราทำมา แต่กรรมดีเราก็ทำมาเช่นกัน และถ้าทำกรรมดีขนาดพ้นจากความหลงในการมีคู่ด้วย ดังเช่นพระพุทธเจ้า เวลาจะออกจากครอบครัว จะมีพลังในการออกได้ทันที เช่นเดียวกับพระมหากัสสัสสปะ พอคิดจะเลิก ก็เลิกได้ทันที จิตจะไม่หวั่นไหว และคู่ครองจะรั้งไว้ไม่ได้ พอกรรมหมดอำนาจ วิบากคลายก็สามารถหลุดออกมาได้ทันที จะมีองค์ประกอบที่จะไม่มีใครขัดหรือรั้งไว้ได้
หลุดพ้นในแบบที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะคนทั่วไปที่เขาไม่เคยทำมา ไม่เคยสะสมกรรมดีระดับหลุดพ้นคู่มา แม้เขาพบธรรมะ แต่ใจเขาจะไม่อยากออก มันจะออกยาก จะผูกพัน หรือไม่ก็คู่รั้งไว้ ผูกไว้ มันจะสะบัดออกยาก แม้อยากออกก็ไม่มีปัญญาจะออก ไม่ก็เวียนกลับไปหลงมัวเมาเหมือนเดิม อันนี้คือตัวอย่างของความต่างระหว่างผู้ที่สะสมภูมิธรรมในการหลุดพ้นจากคู่มาข้ามภพข้ามชาติกับคนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาเลย ให้สังเกตตอนตั้งใจปฏิบัติจะมีความยากง่ายที่ต่างกัน บางคนแค่คิดก็ทำได้เลย บางคนนี่ฟังพระพุทธเจ้าก็แล้ว ฟังอาจารย์ก็แล้ว ฟังเพื่อนก็แล้ว นั่งสมาธิฝึกสงบใจก็แล้ว ตั้งสติหลุดฟุ้งซ่านก็แล้ว ก็ยังอยากไปมีคู่อยู่นั่นแหละ มันก็จะมีวิบากกรรมต่าง ๆ กันไปตามที่ทำมา
สุดท้ายคนที่มี “ทุนเก่า” หรือ “บุญเก่า” ที่ประพฤติตนเป็นโสดมาข้ามภพข้ามชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าตนทำมามาก ปฏิบัติมามาก ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะบังเอิญ หรือเพราะไม่มีคนมาจีบ ฯลฯ แต่ได้มาเพราะตั้งใจปฏิบัติสะสมผลข้ามภพข้ามชาติ โดยสภาพก็จะมีทั้งกำลังจิตที่เข็มแข็งและปัญญาติดตัวมาด้วย
นี้คือสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของการตั้งจิตเป็นโสดข้ามภพข้ามชาติ เหมือนกับคนรวย จะไปที่ไหน ๆ ก็เบิกเงินใช้ได้ไม่ยาก คนที่ตั้งใจปฏิบัติก็เช่นกัน ถ้าทำมามาก ไปเกิดที่ไหน ๆ ก็จะไม่เดือดร้อนมาก ซึ่งการจะสะสมผลเหล่านี้ ก็จะทำกันที่ “ปัจจุบัน” เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ตั้งใจจะเป็นโสดทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ก็จะต้องทำปัจจุบันให้จิตเป็นโสดมั่นคงยั่นยืนถาวรไม่เวียนกลับ ฯลฯ ให้ได้ แล้วสั่งสมกุศลด้วยการบำเพ็ญ ทำตนเป็นตัวอย่าง เผยแพร่ธรรมที่ตนมีจริง ก็จะเป็นทุน (กุศลกรรม) ที่จะส่งผลให้ได้อยู่ผาสุกปลอดภัยในอนาคต
6.3.2563่
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
โจทย์ของคนโสดที่ต้องการชีวิตที่ผาสุก
ถ้าคนทั่วไปมีคนถูกใจเข้ามา เขาก็จะลองพูดคุย ลองคบหากัน ถ้าถูกใจจริงๆ ก็จะเพิ่มความสัมพันธ์กันต่อไป แต่สำหรับคนโสดที่อยากจะหนีออกจากวนเวียนของคนคู่นั้น ยาก…กว่า..ที่.คิด
ทันทีที่เราตั้งใจว่าจะโสด เพื่อความผาสุกที่ยิ่งกว่า ไม่ใช่โสดเพื่อรอเสพ โสดเพราะไม่มีให้เสพ หรือโสดให้ท่า คือโสดจริงๆ โสดไปจนตายเลย มีความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่าโสดนี่แหละดี เราจะอยู่เป็นโสดตลอดไป ซึ่งแน่นอนว่าในขั้นนี้เรียกว่ามีความเห็นที่ถูกตรงแล้ว คือมีสัมมาทิฏฐิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีสัมมาสมาธิ เพราะยังเป็นเพียงแค่ความเห็น แต่ยังไม่มีธรรมะนั้นจริงในใจ คือยังอยู่ในขั้นเดินมรรค แต่ยังไม่ได้ผล
เมื่อเราตั้งจิตว่า เราจะโสด ฟ้า(ผลของกรรม) จะส่งโจทย์ เข้ามาทดสอบความจริง ทดสอบธรรมะของเราว่าแท้หรือไม่ และเป็นแบบฝึกหัดให้เราเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามไปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่จะพ่ายแพ้ เพราะกิเลสนี่มันร้ายกว่าเรามาก ในสภาพที่ธรรมะของเรายังไม่เจริญเต็มที่ การจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราคาดว่าจะแพ้นั้น ไม่ใช่แนวทางที่ดีเลย ดังนั้นเราจึงมาชวนกันหนี! หนีจากตัวเวรตัวกรรม หนีจากโอกาสที่จะได้เสพสมใจกิเลส
เมื่อตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะอยู่เป็นโสด เราจะเจอโจทย์ที่โหดตามธรรมที่ควรของเรา ใครที่ยังติดความงามอยู่ ฟ้าก็จะส่งสาวสวยหนุ่มหล่อมา เขาจะเข้ามาในชีวิตเราแบบเนียนๆ เหมือนมาทางด่วนไม่ต้องฝ่ารถติดยังไงอย่างนั้น แล้วเราจะทนได้ไหม เราจะผ่านไปได้ไหม ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หนีก่อน อย่าเพิ่งเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จอย่างเดียว
ถ้าเราผ่านด่านความงาม (กาม) ก็จะมาเจอกับโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะมีใครสักคนที่อัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา และทำให้เรารู้ว่าถ้าเราไปครองคู่เขา เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ตลอดชีวิต ถ้าหนักๆ ก็เรียกว่าทั้งหน้าตาดี ทั้งมีฐานะ มีความรู้ มีหน้าที่การงานดี ฯลฯ เข้ามาใกล้ชิด พาให้คิด พาให้เพ้อฝัน ณ จุดนี้เรายังจะโสดไหวอยู่รึเปล่า อุดมการณ์ของเรายังหนักแน่นอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็หนี!
ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันเช่น เราเคยคบกับคนหน้าตาดีมา เราก็หน้าตาดีและมีฐานะ เราอาจจะไม่อยากเสพสองสภาพแรกสักเท่าไหร่เลยผ่านมาได้ง่ายๆ แต่ถ้าเรามาเจอกับคนดีล่ะ คนดีที่เขามีชีวิตดีๆ พยายามทำดี พร้อมทั้งอุดมไปด้วยลาภ สักการะต่างๆ เราจะทนไหวไหม เขาก็เป็นคนดีนะ นิสัยดีนะ มีธรรมะด้วย เราจะหวั่นไหวไปร่วมหัวร่วมหางกับเขา หรือเราจะหนี!
สุดท้ายแม้เราเป็นคนที่ไม่สนใจหน้าตา ลาภ ยศ ความดี ฯลฯ อะไรเลยก็ตาม แต่ถ้าเรามาเจอคนที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อที่จะบรรลุมรรคผลเหมือนเราล่ะ เขาจะเดินไปทางเดียวกับเราเลยนะ เราจะรับเขาเข้ามาในชีวิตของเราไหม เราจะเลิกพึ่งตนไปพึ่งเขาหรือไม่ หรือเราจะหนีห่างออกมาในระยะที่สมควร ไม่เกินเลยไปกว่าเพื่อน
ถึงจะบอกว่าหนี … แต่ในความจริงมันก็ยากจะหนีพ้น เพราะโจทย์จะเข้ามากระทุ้งกระแทกกระทั้นให้กิเลสนั้นออกอาการ คนปากหนักใจแข็งที่ไม่คิดว่าจะรักใครอีกก็อาจจะหวั่นไหวได้ เราหนีไปที่ไหนเขาก็จะตามไป ถึงคนหนึ่งไม่ตาม แต่ก็จะมีอีกคนหนึ่งตามมา จะมีคนเข้ามาใกล้ชิดเราอยู่เสมอ เราหนีเข้าป่า ก็จะมีคนเข้ามาหาในป่า เราหนีเข้าวัด เราก็จะเจอกับคนแบบนั้นในวัด เอาเป็นว่าไปไหนก็จะเจอ นั่นเพราะเรานั่นแหละที่เป็นตัวดึงดูดเขาเข้ามา เป็นผลของกรรมของเราเองที่จะเข้ามาทดสอบความแท้ ของความโสดของเรา
ดังนั้นในการปฏิบัติก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก เพราะยากนักที่ลูกหนูจะสู้กับสิงโตได้ ถึงจะใกล้ตัวก็ควรวางใจให้ห่างเอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้สู้ ถ้าวันหนึ่งเราเติบโต เรามีอินทรีย์บารมีแก่กล้า ก็ต้องกลับมาเผชิญหน้าสู้กันเพื่อพิสูจน์มรรคผลกันอยู่ดี
ใครที่ไม่แน่ใจก็ยังไม่ต้องรีบพิสูจน์กันมาก เพราะโดนลากลงนรกกันมาเยอะแล้ว ถึงจะบวชเป็นพระแก่พรรษา มีลูกศิษย์มากมาย เขาก็จับสึกเอาไปเป็นคู่ได้ ถ้าเราไม่ใช่ของแท้แล้วไปพัวพันเข้ามากๆ นี่เขาลากลงนรกเลยนะ พอคนหลงแล้วนี่มันหลงเลย มันถอนตัวยาก กว่าจะเห็นโทษของกิเลสนี่ก็ไม่ง่าย ดีไม่ดีตีกลับเห็นกิเลสว่าเป็นของดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่าการมีคู่นั้นดี รู้อย่างนี้เรามีคู่ไปตั้งนานแล้ว จะมาทนโสดอยู่ทำไม! มันตีกลับไปแบบนี้ก็ได้นะ
– – – – – – – – – – – – – – –
21.7.2559
วิธีป้องกันเนื้อคู่ (เพื่อการหลุดพ้นจากการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติ)
วิธีป้องกันเนื้อคู่ (เพื่อการหลุดพ้นจากการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติ)
เนื้อคู่ หรือที่เข้าใจกันโดยมากว่าเป็นผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่ครอง แม้จะเป็นสิ่งที่ทางโลกต่างแสวงหา แต่ในทางธรรมแล้วการมีคู่ครองกลับเป็นเรื่องที่ควรห่างไกล ไม่ควรแสวงหา ไม่ควรหลงไปเสพ
แม้ธรรมะนั้นก็มีหลายระดับ ในระดับที่ยังไม่พ้นไปจากความหลงติดหลงยึดก็จะพิจารณาหาแต่ประโยชน์ของการมีคู่ พยายามหาช่องทางในการมีคู่ให้ได้โดยไม่ผิดบาป หรือแม้กระทั่งการชี้ชวนให้ผู้อื่นเห็นว่าการมีคู่เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งก็ใช่สำหรับคนที่ยังไม่เอาจริงเอาจังในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ เพราะยังยินดีในเรื่องคู่ครอง ยังอยากเสพสุขอยู่ในสภาพนั้น ๆ ไม่ยอมพราก ไม่ยอมจากไปไหน แม้ปากจะพร่ำบอกว่าเป้าหมายของชีวิตคือหลุดพ้น คือนิพพาน แต่กลับยินดีที่จะมีคู่ครองซึ่งเป็นบ่วงถ่วงธรรม ผู้ที่แสดงธรรมใด ๆ หรือชี้ชวนให้คนไปยินดีในการครองคู่ ผู้นั่นย่อมไม่ใช่ผู้ที่จะพาคนไปพ้นทุกข์ได้เลย และในบทความนี้เราจะมาขยายวิธีที่โลกไม่คิดจะสอน นั่นคือวิธีป้องกันเนื้อคู่
…เกริ่นก่อน
เนื้อคู่ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่สามารถเข้ามาทำให้จิตใจนั้นหวั่นไหวได้ง่าย ซึ่งอาจจะไปในทางชอบหรือทางชังก็ได้ มักจะเอื้อให้เกิดการทำกรรมที่มีน้ำหนักมาก จะชั่วก็ชั่วมาก จะดีก็ดีมาก แต่มักจะถูกครอบงำด้วยความหลง
เมื่อเราได้เริ่มศึกษาธรรมะอย่างแท้จริง จะพบว่า ไม่มีประโยชน์ใดเลยที่เราจะมีคู่ ทั้งในทางโลกและในทางธรรม ทางโลกก็พาให้หลงวนอยู่ในโลกธรรม ทางธรรมก็ล่าช้าเสื่อมถอย ผู้ที่เริ่มเห็นทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมจะพยายามหาทางออก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะตัดสินใจอยู่เป็นโสดได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะพลังของกิเลส ความอยาก ความหลงติดหลงยึดนั้นจะคอยฉุดเราลงนรกอยู่เสมอ
และตัวแทนของวิบากกรรมที่จะมาฉุดเราลงนรกก็คือเนื้อคู่หรือคู่เวรคู่กรรมนี่เอง การที่เราจะออกหรือรอดพ้นจากบ่วงได้นั้น เราต้องรู้ชัดในใจก่อนว่า คนนี้แหละที่เขาจะมาทำร้ายเราได้แนบเนียนที่สุด ทำร้ายเราด้วยความรัก ความเมตตา ความเกื้อกูล และความดีงาม ที่จะทำให้เราหลงติดหลงยึดในตัวเขาไปอีกหลายภพหลายชาติ และคนนี้เองที่เราจะทำร้ายเขาได้มากที่สุดเช่นกัน หากเรายังรับเขาเข้ามาเป็นคู่อีก เราก็จะทำให้เขาหลงรักเรา คิดถึงเรา หึงหวงเรา ทะเลาะกับเรา โกรธเรา พยาบาทเรา จองเวรจองกรรมกับเราไปอีกหลายภพหลายชาติเช่นกัน นั่นหมายถึงเราจะต้องมาเจอกันและหลงรักกัน และครองคู่กันจนทำร้ายกันไปในนามแห่งความรักแบบนี้โดยไม่รู้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน
…วิธีป้องกันเนื้อคู่
เนื้อคู่คือผู้ที่มีเวรมีกรรมผูกกันมา จนมักจะต้องมาลงเอยรักใคร่กันในชาตินี้จนถึงขั้นเป็นแรงผลักดันให้แต่งงานครองคู่กัน แน่นอนว่าเหตุแห่งความรักความหลงนั้นคือกิเลส ถ้าดับกิเลสได้ ต่อให้มีเนื้อคู่มาอีกร้อยอีกพันคนก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ในเมื่อเรายังดับกิเลสไม่ได้ เจอแค่คนเดียวก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว นับประสาอะไรกับเป็นร้อยเป็นพัน มันก็แพ้ทั้งหมดนั้นนั่นเอง
วิธีเอาตัวรอดแบบเข้าใจง่าย ๆ คือตั้งใจเป็นโสดตลอดชีวิต ซึ่งในความจริงแล้วมันทำได้ยากมาก จึงขอเสนอวิธีการคัดเอาตัวเนื้อคู่ที่สร้างปัญหามากออกไปก่อน โดยใช้ศีลมาเป็นตัวคัดกรอง การคัดด้วยศีลนั้นไม่ได้หมายความว่าให้เอาศีลไปใช้กับเขา แต่หมายถึงให้เราปฏิบัติศีลนั้น แล้วผลของศีลนั้นจะไปคัดกรองคนเอง คนที่ไม่คัดกรองด้วยศีลจะได้พบกับเนื้อคู่ตามเวรตามกรรมแบบเต็มน้ำเต็มเนื้อ เขามีกิเลสมาเท่าไหร่ ก็ต้องรับเท่านั้น นั่นหมายถึงต้องทุกข์ ต้องลำบาก ต้องมีภัยแปรผันไปตามกิเลสของคนที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต
การป้องกันเนื้อคู่แบบหยาบ … คือการใช้ศีล ๕ เข้ามาฝึกปฏิบัติ พร้อมงดเว้นอบายมุข การเที่ยวเล่น มุ่งบันเทิง มัวเมา เล่นพนันหวยหุ้น คบคนชั่ว และทำตัวขี้เกียจ เราควรจะงดเว้นเสียให้หมดในเบื้องต้น เพราะหากเรายังไม่มีศีล ๕ และเมาอบายมุขอยู่นั้น เราก็จะมีโอกาสพบกับคนที่ศีลเสมอกัน คือเนื้อคู่ในระดับต่ำกว่าศีล ๕ พร้อมด้วยอบายมุขทั้งหลาย นั่นหมายถึงทุกข์มากจนถึงทุกข์แสนสาหัส แม้จะดูดีในเบื้องต้นแต่ท้ายสุดแล้วผู้ไม่มีศีลย่อมพากันถึงความพินาศแน่นอน
การป้องกันเนื้อคู่แบบกลาง … พอเรามีศีลขั้นต้นมาได้แล้ว ก็จะพ้นเนื้อคู่แบบหยาบ ๆ ชั่ว ๆ แต่ก็ยังจะหนีไม่พ้น เพราะจะมีแบบที่ดีกว่าเข้ามาอีก ซึ่งเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้พ้น โดยใช้ฐานศีล ๘ เข้ามาคัดกรอง นั่นคือในส่วนของกามคุณ เช่นเราจะไม่แต่งตัวแต่งหน้าให้ดูดีเกินไป ไม่อวดความงามให้ใครเห็น จนถึงขั้นทำสิ่งที่ตรงข้าม คือทำให้ไม่งามเอาเสียเลย ในบางเรื่องที่พอจะทำไหว ซึ่งการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่การสร้างภาพให้เป็นเช่นนั้น แต่ต้องสร้างจิตใจไม่ให้ไปยินดีในความงามที่จะเป็นเหยื่อล่อให้เนื้อคู่ที่บ้ากามเหล่านั้นเข้ามาได้ การที่ใจเรายังยินดีในความงามของตน นั่นเพราะลึก ๆ เราอยากให้คนเห็นคุณค่าในความงามนั้น พอมีคนที่เราถูกใจมาเห็นคุณค่าลวงที่เราล่อไว้นั้น เราก็จะพลาดพลั้งเสียทีให้กับเนื้อคู่ได้
การป้องกันเนื้อคู่แบบละเอียด … ถึงเราจะมีศีล ๕ ไม่ทำตัวให้ดูเด่น ไม่ทำตัวให้น่าหลงใหล ไม่ประดับตกแต่งให้ดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหนีพ้น หลายคนอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ชอบคนดี รักคนเลว แต่งงานกับคนรวย” นั่นหมายถึงหากเรายังมีเงินมีทองอยู่ ก็ยังดึงดูดเนื้อคู่เข้ามาได้อยู่ดี ในแบบละเอียดนี้หมายถึงการไม่หลงติดหลงยึดในโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข หากเรายังลุ่มหลง มัวเมา ยังกอดเก็บสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นก็จะเป็นประตูให้เนื้อคู่เข้ามาได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันเราก็ควรจะรักษาโลกธรรมไว้ในขีดที่พอเหมาะ เช่นลาภ ฐานะ ความร่ำรวย ก็ให้แก้ด้วยการประหยัด อดออม การสละออก การแบ่งปัน ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย เป็นต้น ส่วนโลกธรรมข้ออื่น ๆ ก็อย่าไปแสวงหามันมาก ให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น
การป้องกันเนื้อคู่โดยสมบูรณ์ …. ถึงเราจะพยายามป้องกันโดยสร้างกำแพงศีลมาคัดเนื้อคู่ที่กิเลสหนาพาให้ทุกข์ได้มากขนาดที่ตั้งกำแพงว่าอบายมุขก็ไม่เอา ความงามก็ไม่มี แถมฐานะยังดูไม่หรูหราอีก ถึงขนาดนั้นก็จะยังมีเนื้อคู่ที่สามารถทะลุกำแพงศีลเหล่านั้นมาได้อยู่ดี คือแม้เราจะไม่หล่อไม่สวยไม่รวย ไม่มีเหตุที่ไปล่อตาล่อใจใดๆ แต่เขาก็จะมาหลงรักให้เราหลงใหลเขากลับได้อยู่นั่นเอง
การใช้ศีลกั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มา เขาจะมาเหมือนเดิมเพียงแต่จะเข้าถึงเราไม่ได้เพราะเจอกำแพงศีล แต่ถ้าเราไม่ล้างความหลงติดหลงยึดในความอยากมีคู่ เรานั่นแหละที่จะทำลายกำแพงศีลทั้งหมดนั้นแล้ววิ่งไปจับมือเขาพุ่งลงนรกเสียเอง
ดังนั้นหากเราจะป้องกันการไปครองคู่กับเนื้อคู่โดยสมบูรณ์ ก็ต้องทำลายความอยากมีคู่ในตนเสีย เพราะความอยากมีคู่ของเรานี่เองคือสิ่งที่จะดึงดูดเขาเข้ามา การทำลายความอยากนั้นทำได้โดยใช้หลักอริยสัจ ๔ คือต้องกำหนดรู้ว่าความอยากมีคู่เป็นทุกข์ ต้องรู้เหตุแห่งความอยากมีคู่นั้น รู้ว่าจะต้องดับเหตุแห่งความอยากมีคู่นั้น โดยใช้วิธีปฏิบัติสู่การดับความอยากมีคู่ ซึ่งการจะเรียนรู้ในปฏิบัติสู่การทำลายความอยากมีคู่ได้นั้น จะต้องมีเงื่อนไขหนึ่ง คือต้องพบกับมิตรดีเสียก่อน มิตรดีจะเป็นผู้ชี้ทางว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะสามารถหลุดพ้นจากความอยากนั้นได้ ถ้าเราไม่เจอมิตรดี ไม่เจอผู้ที่รู้ธรรมะในการออกจากความอยากมีคู่ แต่พลาดไปเจอกับผู้ที่หลงมัวเมาอยู่ในการมีคู่ ก็จะพากันหลงไปทั้งผู้สอนและผู้เรียน
แม้เจอมิตรดีคนเดียวก็สร้างพลังให้กับการทำลายความหลงติดหลงยึดในการมีคู่ได้แล้ว ถ้าเจอมิตรดีเป็นหมู่ใหญ่ก็จะยิ่งสร้างกำลังใจและกำลังปัญญาที่จะผลักดันให้เจริญได้มากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการพ้นทุกข์ ดังนั้นหากเราอยากหลุดพ้นเรื่องไหน ก็ต้องพยายามเข้าหากลุ่มที่เขาพากันหลุดพ้นเรื่องนั้น แล้วเกาะกลุ่มนั้นไว้เป็นหลักยึดในการปฏิบัติ ดังในบทสวดที่ว่า “สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” คือเอาหมู่สงฆ์(คนที่ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์) เป็นที่ยึดอาศัย
…ทำความเข้าใจและยอมรับเรื่องคู่เวรคู่กรรม
เนื้อคู่ที่เข้ามา ไม่ว่าจะดีจนเราลุ่มหลงมัวเมาหรือร้ายจนเราชิงชังรังเกียจเคียดแค้นอาฆาต ก็สุดแล้วแต่กรรมที่เราทำมา เราทำมาเท่าไหร่อย่างไร เราก็ต้องรับผลกรรมเท่านั้น เนื้อคู่ที่เข้ามานั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของการกระทำที่เราเคยทำไว้เท่านั้น
แม้ว่าเราจะชิงชังรังเกียจกรวดน้ำคว่ำขัน ก็ไม่สามารถลบแรงของกรรมเก่าได้ ซึ่งกรรมใหม่คือการรังเกียจก็จะเพิ่มการจองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก รวมกับกรรมเก่าที่เคยทำร่วมกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ซึ่งต้องทยอยรับผลทุกชาติ ก็จะทำให้ต้องเจอกับคนแบบเดิม ๆ กันไปจนกว่าจะหมดผลของกรรมนั้น
ถ้าเรามีศีลมากพอ เราก็จะไม่ชักชวนเขาทำบาปได้เท่าระดับศีลของเรา ถ้าเราหลุดพ้นจากความอยากมีคู่ เราก็ไม่ต้องชักชวนเขาร่วมบาปในการเป็นคู่อีก ถ้าเราหลุดพ้นจากความหลงติดในตัวบุคคล เราก็จะมีแต่กุศลอย่างเดียว ไม่มีบาปใด ๆ ที่เราจะทำเพราะมีเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยอีกเลย และจะคงเหลือไว้เพียง ความเมตตา เกื้อกูล หวังประโยชน์แก่เขาเท่านั้น เป็นสภาพที่ไม่ต้องระวังว่าจะดูดดึงจนเกินไป หรือผลักไสจนห่างเหิน เพราะถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นใด ๆ แล้ว ก็จะเหลือเพียงจิตที่แววไวต่อกุศลเท่านั้น
และจะพัฒนาต่อจนกลายเป็นพาเนื้อคู่นั้นลดกิเลส ลดความยึดมั่นถือมั่น เพื่อป้องกันการจองเวรจองกรรมกันในระดับข้ามภพข้ามชาติ ซึ่งสรุปความทั้งหมดลงตรงที่ว่า เราต้องเอาตัวเองให้รอดจากการควบคุมของกิเลสให้ได้ก่อน และหลังจากนั้นค่อยช่วยผู้อื่น จึงจะพากันพ้นภัย อยู่กันอย่างผาสุก ไม่เบียดเบียนกัน เกื้อกูลกันด้วยความมั่นคงที่ยั่งยืน
– – – – – – – – – – – – – – –
18.5.2559
อธรรมของชาย ธรรมะสอนหญิง : เมื่อความจริง ทำลายความเชื่อของผู้หญิงช่างฝัน
อธรรมของชาย ธรรมะสอนหญิง : เมื่อความจริง ทำลายความเชื่อของผู้หญิงช่างฝัน
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นจะไม่ทุกข์เป็นไม่มี” นี้คือคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่จะพาให้เห็นภาพรวมในการแก้ปัญหาของเรื่องนี้
คนที่หลงในความรักก็จะเชื่อว่าความรักของพวกเธอนั้นดี ฉันคิดว่าฉันเป็นคนดี ฉันคิดว่าเขาเป็นคนดี รักของพวกเรานั้นมั่นคง ยืนนาน ถาวร ไม่จบง่ายๆเหมือนคู่ของคนอื่น และมันจะเป็นเช่นนั้นไปจนกว่า….จะถึงวันที่พบกับ”ความจริง”
เรามักจะถูกทำให้เชื่อด้วยเงื่อนไขบางอย่างที่เราได้ตั้งไว้เท่าที่ปัญญาของเราจะมี เช่น…
ถ้าเขาอดทนจีบเราได้ถึงสามเดือน หนึ่งปี ห้าปี สิบปี คือเขารักเราจริง
ถ้าเขาเอาใจเราได้ตามที่เราเอาแต่ใจ คือเขารักเราจริง
ถ้าเขามาง้อทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ผิด คือเขารักเราจริง
ถ้าเขายอมให้อภัยแม้เราจะทำผิดแค่ไหน คือเขารักเราจริง
ถ้าเขารักครอบครัวเรา รักสัตว์เลี้ยงของเรา รักงานอดิเรกของเรา ฯลฯ คือเขารักเราจริง
ถ้าเขาอ้อนวอนขอร้องที่จะแต่งงานกับเรา คือเขารักเราจริง
ถ้าเขายินดีมีลูกกับเรา คือเขารักเราจริง
…
ภาคฝัน
ผู้หญิงหลายคนต่างรู้สึกยินดีเมื่อมีคนที่ถูกใจเข้ามาจีบ เข้ามาเอาใจ ยอมง้อก่อน ยอมให้อภัย รักครอบครัวของเรา ขอเราแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวกับเรา แล้วหลงเชื่อจนหลงยึดไปว่าสิ่งเหล่านั้นคือความรัก ทั้งๆที่ทั้งหมดนั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้
เพราะการที่เขามาจีบ เอาใจ ง้อ ให้อภัย จนกระทั่งแต่งงานมีลูก เขาก็อาจจะแค่อยากเอาชนะเรา อยากเสพเรา อยากให้เรายอมให้เขาหมดตัวหมดใจก็ได้ นั่นอาจจะเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองอย่างหนึ่งของเขาก็ได้ ซึ่งหมายความว่าเรากลายเป็นแค่เป้าหมายให้เขาเข้ามาท้าทาย เป็นยอดเขาให้เขาปีนขึ้นมาแล้วปักธง พอเขาถึงยอดก็อาจจะไม่หยุดแล้วไปหาภูเขาอื่นขึ้นอีกก็ได้ เพราะการที่ผู้ชายจะแต่งงานจนมีลูก ก็มักจะไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย ตั้งท้องก็ไม่ต้อง คลอดก็ไม่ต้อง ให้นมก็ไม่ต้อง แถมบางคนยังไม่ต้องเลี้ยงลูกอีก เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องลำบากอะไรเลยในการสร้างลูก เพียงแค่เอาชนะใจหญิงสาวผู้อ่อนโลกแล้วเอาธงไปปักให้ได้เท่านั้นเอง
มีผู้ชายจำนวนมากที่ได้ทำลายวิมานในจินตนาการของผู้หญิงช่างฝันจนเหลือแต่เศษซากของความฝัน ที่เคยคิดว่าเขาดี เคยคิดว่าเขาจะอยู่กับเราตลอดไป แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังช้ำรักอย่างซ้ำซากมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน แต่พวกเธอก็ไม่เคยจำ ไม่เคยเข็ด ยังคงเชื่อมั่นว่าจะต้องมีเจ้าชายในฝันที่จะมาทำให้ความรักนั้นเป็นสุขยั่งยืนนิรันดร์อย่างที่พวกเธอฝันไว้
แม้จะพลาดพลั้งเสียทีให้กับผู้ชายคนก่อนไป แต่ก็จะตั้งหน้าตั้งตาหาคนใหม่เข้ามาแทนที่ในลักษณะที่เรียกว่าต้องมากกว่าของเก่า เช่น ถ้าคนแรกจีบกัน 1 เดือน คนต่อไปก็ต้องจีบกัน 1 ปี ตั้งมาตรฐานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เท่าที่จะมีปัญญาตั้งได้
แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันวิบากบาปได้ ฟ้าจะส่งเทพบุตรมาร ที่มีคุณสมบัติครบพร้อมในการเอาชนะใจเรา และมีความสามารถมากพอในการขยี้ฝันให้แหลกสลายในเวลาเดียวกัน เราจะเรียกชายที่เข้ามานี้ว่า “คู่เวรคู่กรรม”
คู่เวรคู่กรรมคือ ผู้ที่มีกรรมสอดคล้องกับที่เราต้องรับ เขาจะเสนอตัวเข้ามาเพื่อทำหน้าที่จัดส่งผลกรรมนั้นๆให้เราได้รับ ซึ่งในตอนแรกมักจะมาในรูปของความสุข เป็นกุศลที่เกริ่นนำทางมา เป็นรสหวาน เป็นวิบากกรรมดีที่เคยสะสมร่วมกันมา ทำให้ได้มาเจอกันอีกในชาตินี้ ซึ่งจะมีความสามารถในการเจาะทะลุทุกเหตุผลและทำลายกำแพงใจของผู้หญิงคนนั้นได้
ภาคเทพ (เทวดา)
ต่อให้นานเป็นสิบปีเขาก็จะรอเราได้ ทนจีบ คอยรับคอยส่ง อดทนดูแลเอาใจอยู่ได้ด้วยใจเป็นสุข ถึงทะเลาะกันก็ยอมกันให้อภัยกันได้ เข้ากับครอบครัวได้ดี ดีแสนดี มีศีลมีธรรม มีแนวโน้มที่จะได้แต่งงานกัน และอาจจะได้แต่งงานกันในที่สุด สุดท้ายก็อาจจะผลิตทายาทออกมาเป็นบ่วงคล้องคอผูกกันไว้ทั้งสองฝ่าย ไม่ให้หลุดออกจากกันได้โดยง่าย ในทางโลกจะเรียกกระบวนการนี้ว่า “ชีวิตคู่เป็นสุข” หรือ “happy ending”ในทางธรรมจะเรียกว่า “บ่วง” หรือ “ภาระ” หรือ “bad never ending (ซวยไม่รู้จบ)”
ภาคมาร
แต่ความสุขลวงที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่รักเหล่านั้นก็ไม่เที่ยง ให้จำไว้เลยว่ายิ่งสุขเท่าไหร่ก็จะยิ่งทุกข์เท่านั้น ทุกๆความสุขที่เสพไปคือกุศลกรรมเก่าที่เคยได้ทำมา เราจะได้เสพเท่าที่เราเคยทำกรรมดีไว้ และเมื่อเปลี่ยนจากคนโสดมาคบกันเป็นคนคู่จนแต่งงาน คือความเสื่อมจากธรรม เมื่อคนมีกิเลสสองคนมารวมกันก็จะเริ่มพากันเสพตามกิเลส หลงกาม เมาอัตตา ทั้งกิน ทั้งเที่ยว ทั้งสมสู่ มีแต่กิจกรรมเสริมกิเลส นั่นหมายความว่า พอมาเข้าคู่กับคู่เวรคู่กรรมแล้ว ก็จะมีแนวโน้มไปทางชั่ว
สุดท้ายพอกุศลหมด แต่อกุศลที่ทำมาเต็มไปหมด ก็จะเกิดสภาวะที่เรียกว่าสวรรค์ล่ม เทวดาตกสวรรค์ จากที่เคยเสพสุขกันบนสวรรค์ก็ร่วงลงมาบนโลก นั่นก็คือสภาพของความจริง คือต้องพบกับการพลัดพราก การเสื่อมสลายของทุกสิ่ง ความรักก็เช่นกัน
ตอนที่เราก็หลงสุข ก็หลงว่าคู่ของเราดี ทั้งที่จริงๆมันอาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้ ซึ่งเมื่อมีความเห็นว่าคู่ของเราเป็นคนดีตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันและน่าจะตลอดไป นั่นแหละคือความประมาท คือไม่รู้ไม่สนใจเลยว่าวันหนึ่งชั่วมันจะเกิดหรือไม่เกิด ขอฉันเสพฉันสุขในปัจจุบันก็พอ เป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดที่ว่าหลงเข้าใจว่าความสุขในการเสพกามในปัจจุบันคือของแท้
คู่เวรคู่กรรมบางคนอาจจะหมดเวรหมดกรรมตั้งแต่ตอนเป็นแฟน แต่บางคนต้องโดนสมสู่แล้วทิ้งถึงจะหมดกรรมชั่วชุดนั้น บางคนหนักกว่าต้องไปแต่งงานกันกว่าจะออกฤทธิ์ชั่วให้เห็น ที่หนักกว่านั้นคือรอให้มีลูกก่อน และจะไม่ค่อยรอให้ลูกโตกันหรอก พอมีแล้วก็ให้โอกาสใช้เวรใช้กรรมกันเลยในขณะที่ยังลำบากอยู่นั่นแหละ คือมีเหตุให้เลิกกัน ทะเลาะ หักหลัง มีชู้ ป่วย ตาย ฯลฯ ตามวิบากกรรมของแต่ละคน และที่ชั่วที่สุดคือรักกันไปจนแก่ตายนี่แหละ อภิมหาชั่วเลย คือหลอกล่อมัวเมากันด้วยสุขลวงแล้วหลงกันข้ามภพข้ามชาติเลย
คนโดนทิ้งตอนเป็นแฟนก็ยังมีโอกาสตาสว่างได้ไว คนโดนทิ้งตอนโดนสมสู่ไปแล้ว โดนทิ้งตอนแต่งงานไปแล้ว โดนทิ้งตอนมีลูกไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสตาสว่างได้แม้จะมีความทุกข์มากเพราะยึดมั่นถือมั่นมากตามระยะเวลาที่ได้สะสมมาแต่ก็จะสามารถที่จะเห็นธรรมะได้ แต่คนที่พากันให้หลงมัวเมาในรักจนแก่ตายนั้น ไม่มีโอกาสตาสว่างได้เลย นี้จึงเรียกว่าชั่วที่สุด
ด้วยลีลาที่เรียกว่าเกินปัญญาจะคาดเดา เหมือนเสือที่หลอกหมูว่าตนเองนั้นไม่มีภัย ทำตัวเป็นเสือกินพืชกินผักหลอกให้หมูนั้นตายใจ หลงว่าเสือนั้นจะไม่กินตน เสือนั้นกินผักได้ เสือนั้นเชื่องกับตน เสือจะปกป้องตน เสือรักตน โดยหารู้ไม่ว่าที่เสือมันอดทนกินพืชผักอยู่นั้น มันก็รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะกินหมูตัวนั้นเท่านั้นเอง
สรุปว่าเทพบุตรมาร(คู่เวรคู่กรรม)ที่เข้ามาเอาชนะใจของเราได้นี่แหละ คือคนที่จะมีผลในการทำลายใจของเราในท้ายที่สุด ขึ้นอยู่กับเมื่อไหร่จะหมดกรรมที่ทำมาร่วมกัน หากจะคิดว่าทำดีสู้ มันสู้ไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะเวลาคู่กันแล้วชั่วมันเยอะกว่าดี ถ้าให้ดีคือไม่ต้องไปคู่กันแล้วทำดีต่อกัน นั่นจึงเรียกว่าดี
ภาคนรก
ทีนี้พอผิดหวังช้ำรักนี่มันหลุดกันไม่ได้ง่ายๆหรอก ตามสัจจะมันต้องลงนรกกันก่อน คือต้องได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจให้สาสมกับความยึดมั่นถือมั่นที่สะสมมาเสียก่อน ถ้าวิบากกรรมที่ส่งผลชุดนั้นยังไม่หมด ก็ไม่มีวันจะตาสว่างเห็นธรรมในทุกข์เหล่านั้นได้ ได้ฟังธรรมะก็จะไม่เข้าหู ถึงมีผู้รู้มาแนะนำก็จะไม่เข้าใจ มันจะตัน จะตื้อไปหมด
ต่อเมื่อหมดวิบากกรรมชั่วชุดนั้นแล้ว จะมีสัญญาณให้รู้สึกถึงความคลี่คลาย จะได้รับธรรมะที่ทำให้ใจสบายขึ้น เช่นพ่อแม่ปลอบ เพื่อนแนะนำ ได้ฟังธรรมะครูบาอาจารย์แล้วจิตใจผ่อนคลายจากทุกข์ได้ จะไม่จมอยู่กับทุกข์นั้นๆ มีโอกาสในการพิจารณาธรรมที่เป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น และหากสามารถปฏิบัติธรรมจนกระทั่งดับเหตุแห่งทุกข์นั้นๆได้ก็ถือว่าคุ้มค่า
แต่ในอีกกรณีหนึ่งคือผู้ที่คลายจากวิบากกรรมชุดนั้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีความเจริญในทางธรรม เพียงแค่ปล่อยให้ทุกข์เกิดแล้วดับไปตามธรรมชาติ แล้วปล่อยโอกาสแห่งการศึกษาให้ลอยไป ใช้ชีวิตเหมือนปกติ เป็นคนช่างฝันเหมือนสมัยก่อน พร้อมกับตั้งเงื่อนไขของชายคนต่อไปเท่าที่ปัญญาจะมี เพราะยังอยากเสพสุขในการมีคู่อยู่ นั่นจึงเป็นเหตุที่พวกเธอจะต้องวนเวียนอยู่ในสวรรค์ลวงและนรกจริงเช่นนี้ตลอดไปนั่นเอง
สรุป
เราทุกคนที่วิบากกรรมชั่วที่ไล่ล่าอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะพอป้องกันได้ก็คงจะมีแต่ศีล คู่เวรคู่กรรมคือผู้ที่จะพยายามเข้ามาพรากศีลไปจากเรา พรากความโสดไปจากเรา เข้ามาสร้างสุขลวงให้เราหลงเสพหลงสุขตามที่เราเคยไปหลอกล่อใครต่อใครไว้ในชาตินี้และชาติก่อนๆ จนเราต้องหลงมัวเมากับความรัก
และสุดท้ายก็พังทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เหมือนกับการแก้แค้นของใครบางคนที่ตามมาทวงคืนกันข้ามภพข้ามชาติ ความผิดหวัง ความทุกข์ต่างๆที่ได้รับมานั้นคือสมบัติของเราเอง ที่รอเพียงจะมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมนั้นในช่วงเวลาที่สมควร
วิบากกรรมที่ไล่ล่าเรานั้น มันอาจจะมาถึงในอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ ก็ได้ในการส่งผล ให้พึงระลึกไว้เถอะว่า กรรมที่เราทำมา มันตามมาล้างแค้นเราแน่ “แค้นนี้จะอีกกี่ปีกี่ชาติก็ยังไม่สาย” และวันนั้นคือวันที่คนผู้ประมาทจะต้องเสียใจ
ผู้มีคู่จึงต้องทนทุกข์อยู่กับความกังวลกับชีวิตคู่ในอนาคต และต้องเจอกับการจากพรากกับคู่เป็นที่แน่นอนในที่สุด ต่างจากคนโสดที่ไม่ต้องมีความกังวลใดๆเหล่านี้เลย คนโสดจึงเป็นคนที่ผาสุกที่สุด
– – – – – – – – – – – – – – –
30.11.2558