Tag: คนโสด

ทำไมมีแต่บทความพาโสด?

May 16, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,414 views 0

ที่ช่วงนี้หนักในเรื่องของความโสดนี่ก็ไม่ใช่ว่าผมยึดว่าทุกคนต้องโสดนะ ใครโสดได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ใครไม่ไหวก็ทนๆอ่านกันไปก่อน

ผมหวังจะให้คนที่ได้เข้ามาอ่าน หรือคนที่ลังเลได้เพิ่มพลังในการเกาะคานกันไปก่อน ให้ปักมั่นในความโสดกันไปก่อน

เพราะเดี๋ยววันหนึ่งเปลี่ยนแนวมาพิมพ์บทความเกี่ยวกับคนคู่แล้วคนโสดที่จิตไม่แกร่งจะพากันอ่อนไหวอยากมีคู่กันหมด

คือถ้ามันร่วงลงจากคานไปแล้วมันขึ้นไม่ง่ายนะ หล่นลงนรกไปนี่เขาไม่ปล่อยให้กลับมาง่ายๆหรอก ตอนจมไปสักพักใหญ่เลยละ เผลอๆบางคนทั้งชีวิตก็ไม่หลุด

ตอนนี้ก็เลยขอแบบแข็งๆไปก่อน พัฒนาจิตใจกันให้แกร่งไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปทำลายความแข็งกระด้างกันทีหลังก็ได้ ผมว่ามันปลอดภัยสำหรับยุคกึ่งพุทธกาลแบบนี้นะ

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

May 15, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,250 views 1

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

ดาวน์โหลดภาพขนาดเต็ม | Download full size image

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

สรุปปัญหาวุ่นๆของคนใกล้คาน เพื่อนำไปสู่วิธีขึ้นคานอย่างเป็นสุขด้วยกันทั้งหมด 9 ข้อ

1). เฝ้าคานอย่างว้าเหว่: คนโสดที่เต็มไปด้วยความอยากมีคู่ จะรู้สึกว่าชีวิตเหมือนขาดอะไรสักอย่างไป ความรู้สึกขาดนั้นเองจึงนำมาซึ่งการแสวงหา

2). ใครหนอจะมาเป็นคู่: มีความต้องการหาใครสักคนมาเติมเต็มความพร่อง ก็จะเริ่มมองหาคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาเติมชีวิตให้เต็มได้

3). ใครสักคนจะพาลงคาน: ในจำนวนผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามา น้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติที่เราจะยอมให้เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานะของเรา คุณสมบัติที่ว่านั้นคือความสามารถของเขาที่จะสนองกิเลสของเราได้นั่นเอง

4). หนีคานไปหาคู่: เมื่อเจอกับคนที่ว่าใช่แล้ว ก็มักจะยินดีสละคานซึ่งเป็นที่มั่นแห่งความสุขและสงบที่สุดไป เพราะเข้าใจว่าการขึ้นคานนั้นทุกข์ การลงจากคานนั้นสุข จึงได้ทิ้งคานไปแสวงหาความสุขเอาข้างหน้า

5). เข้าง่ายออกยาก: ชีวิตคู่นั้นมักจะมีรสสุขโลกีย์มาเป็นตัวล่อ แต่พอนานวันไปสุขนั้นกลับลดลง เสื่อมลงหรือไม่มีอีกเลย ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นสิบๆปีก็ได้ และถึงวันนั้นก็ไม่ง่ายแล้วที่จะหลุดออกมาได้ เพราะได้หลงเสพติดรสสุขในกิเลสหลายอย่างไปแล้ว

6). คู่กัด คู่กรรม: พออยู่กับคู่ไปสักพักก็จะเริ่มเอาแต่ใจกัน แม้แรกๆจะยอมกันได้ แต่หลังๆก็เริ่มจะไม่ยอมกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มีปากเสียงกันบ้าง ลงไม้ลงมือกันบ้าง กลายเป็นคู่กัดที่รักกันไปกัดกันไป สร้างหนี้บาปหนี้กรรมให้ต้องมารับวิบากบาปที่พาให้ชีวิตเป็นทุกข์กันอีกมากมาย

7).หนีคนมาหาคาน: พอทุกข์จากเรื่องคู่จนทนไม่ไหวก็จะหนีคน กลับไปหาคาน เกลียดคน รักคาน กลายเป็นคนเกลียดความรักได้ ในขั้นตอนนี้มีโอกาสที่จะวนกลับไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ หรือพัฒนาต่อไปที่ข้อแปดก็ได้ ถ้ายังมีความอยากมีคู่อยู่ก็จะไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ แต่ถ้าเริ่มรู้สึกเอือมระอากับ “ความอยากมีคู่” แล้วก็อ่านกันต่อไป

8).ยกบันไดให้ไกลคาน: ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดเพราะความอยากมีคู่ การที่เรายังมีบันไดแห่งความหวังว่าใครสักคนหนึ่งจะเข้ามาในชีวิต เพื่อให้เราได้เสพสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเขาอยู่นั้น คือความอยากที่เป็นเชื้อทุกข์นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นโทษภัยของความอยากแล้วจึงควรศึกษาเรียนรู้เพื่อหาทางทำลายความอยากนั้นๆ

9).ขึ้นคานอย่างเป็นสุข: เมื่อทำลายความอยากนั้นได้ ก็ไม่ต้องรู้สึกว้าเหว่, เปลี่ยวเหงา, ซึมเศร้าเมื่อต้องอยู่ผู้เดียวบนคาน ไม่รู้สึกทุกข์ใดๆแม้จะต้องใช้ชีวิตอย่างคนโสด แต่กลับเห็นว่าความโสดนี้เองเป็นสุขแท้ เป็นความหลุดพ้นจากความอยากที่คอยผลักดันให้เราสร้างทุกข์ที่มากมายขึ้นมาในชีวิต เมื่อเห็นคุณค่าของความโสดนี้เอง ก็จะเป็นผู้ที่ขึ้นคานอย่างเป็นสุข เกาะคานไว้เป็นที่พึ่งจนวันสุดท้ายของชีวิต

– – – – – – – – – – – – – – –

15.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความรักกับวิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์

May 12, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,265 views 0

ความรักกับวิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์

ความรักกับวิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์

ในโลกนี้ทุกชีวิตต่างล้วนดำเนินไปเพื่อความพ้นทุกข์ ทุกคนบนโลกต่างก็เป็นผู้ศึกษาธรรม แม้เขาเหล่านั้นจะไม่รู้ตัว แต่การเรียนรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตก็คือการเรียนรู้ธรรมะ

ความรัก ในบทความนี้หมายถึงรักที่อยากครอบครอง อยากมีคู่ อยากเป็นครอบครัว ยังเป็นรักที่มี “ความอยาก” เป็นแรงผลักดันอยู่

การพ้นทุกข์ ในที่นี้มีเพียงเป้าหมายเดียวคือการหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ และอำนาจของกิเลสในบทความนี้นั้นก็หมายถึง “ความอยากมีความรัก

ในบทความนี้แบ่งวิถีทางออกเป็นสี่หัวข้อ โดยแบ่งออกเป็นทุกข์มากและทุกข์น้อยและในทุกข์มากและทุกข์น้อยนั้นก็มีทั้งผู้ที่มีอินทรีย์ คือ ศรัทธา ความเพียร สติ ความตั้งมั่น ปัญญาที่มากน้อยแตกต่างกัน

ในวิถีทางแห่งทุกข์มากนั้นหมายถึงการมีภาระ มีวิบากที่ต้องแบก นั่นคือผู้ที่เลือกเรียนรู้สู่การพ้นทุกข์โดยการมีคู่ และทางที่ทุกข์น้อยนั้นหมายถึงคนที่เลือกเรียนรู้สู่การพ้นทุกข์ด้วยความโสดโดยมีเป้าหมายสุดท้ายก็คือการพ้นทุกข์ด้วยการทำลายความอยาก นั่นหมายถึงความโสดที่หมดความอยากในการมีคู่

จะเห็นว่าบทความนี้มีแต่เรื่องของ “ทุกข์” เพราะศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่ศึกษาในเรื่องของทุกข์ หลักอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนา เริ่มต้นมาข้อแรกก็ว่าด้วยเรื่องทุกข์แล้ว และจะทุกข์ไปตราบเท่าที่เรายังมีกิเลสอยู่ ดังนั้นเราจึงมาศึกษาความรักกับความเป็นทุกข์นั้น

แม้ว่าในสังคมปกตินั้นจะมองว่าการได้ครองคู่นั้นเป็นสุขอย่างหนึ่งในชีวิต แต่ในความจริงแล้วสิ่งนั้นกลับเป็นทุกข์อย่างยิ่งในมุมมองของธรรมะ ซึ่งการที่เราเห็นทุกข์ว่าเป็นสุขนั้นก็เพราะกิเลสทำให้หลง ทำให้เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้

วิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์จากความรักในบทความนี้มี 4 หัวข้อดังนี้

1)วิถีทางที่ทำให้ทุกข์มากและพ้นทุกข์ยาก

ทางที่ทำให้ทุกข์มากนั้นเกิดขึ้นจากความอยากที่รุนแรง เต็มไปด้วยกิเลสปริมาณมาก จึงทำให้ต้องแสวงหาความรักมาบำเรอตนเอง ในกรณีก็คือการหาคู่ครอง

มีเหตุผลมากมายในการจะมีคู่ครอง ในมุมของการเสพสมทั่วไปก็จะเป็นเรื่องของการอยากมีคนให้สมสู่กัน เรื่องกามคุณ คือมีหน้าตาดี รูปสวย เสียงเพราะ ฯลฯ เรื่องโลกธรรม เช่น มีฐานะ มีการงานดี มีชื่อเสียงสังคมยอมรับ มีความสามารถในการบำเรอสุขให้ตน ฯลฯ และในมุมของอัตตาเช่น ฉันชอบคนนี้ ฉันชอบแบบนี้ ฯลฯ

หรือแม้แต่ในมุมของคนที่ใช้ข้อคิดเห็นต่างๆ เข้ามาเป็นเหตุผลดีๆเพื่อให้ตนได้มีคู่โดยไม่ต้องรู้สึกผิดบาปเช่น การได้พากันเจริญ, มีคนคอยขัดเกลาอุ้มชูกัน, ดูแลกันไปปฏิบัติธรรมกันไป,หรือตรรกะใดๆที่คิดว่ามีคู่แล้วจะดีกว่าเป็นโสด

ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม การครองคู่นั้นคือสิ่งที่กั้นไม่ให้เราบรรลุธรรมได้ง่ายนัก เพราะต้องคอยสนองกิเลสของกันและกัน เป็นภาระของกันและกัน สร้างวิบากกรรมร่วมกันให้ต้องมาคอยชดใช้กันทีหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับไว้และทำให้ทุกข์มาก ซึ่งทุกข์จากความอยากได้ความรักก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว ยังต้องทุกข์เพราะต้องคอยรับวิบากกรรมหลายๆอย่างจากการมีคู่อีก

แม้ว่าการมีคู่ในตอนแรกนั้นจะดูเหมือนเป็นสุข แต่สิ่งนั้นก็ไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร เมื่อคนกิเลสหนาสองคนมาเจอกัน ก็อาจจะเอาใจกันเพื่อให้ได้เสพในบางสิ่งบางอย่างของอีกฝ่ายได้สักพัก แต่วันหนึ่งทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อกิเลสที่มีนั้นไม่ได้ถูกลด และมีความต้องการให้ถูกสนองมากขึ้น แต่ความสามารถหรือความพอใจของอีกฝ่ายที่จะต้องมาคอยบำเรอกิเลสเรานั้นกลับลดลง และวันนั้นเองนรกก็จะมาเยือน

เหมือนกับเทวดาที่ตกสวรรค์ การที่คนมีคู่เขาก็ยังสามารถเสพสุขได้เหมือนอยู่ในสวรรค์ นั่นเพราะเขามีกุศลมาก จึงมีลาภ ยศ สรรเสริญ จนเมาสุขอยู่เช่นนั้น ซึ่งเทวดาที่แท้จริงก็คือคนที่ติดอยู่ในสุขเช่นนั้น คนที่ติดสุขติดภพเทวดานั้นจะไม่สามารถปฏิบัติหรือเจริญในธรรมใดๆได้ เพราะเขาจะไม่เห็นโทษของกิเลส จะเห็นแต่ประโยชน์ของการมีคู่ แต่การหลงมัวเมาอยู่กับการเสพเช่นนั้นก็จะทำให้กุศลกรรมที่ทำมาหมดไปในวันใดวันหนึ่ง เพราะไม่มีวิบากกรรมใดที่ได้รับแล้วจะไม่หมดไป การที่เขาได้เสพสุขอยู่กับการมีคู่ก็เช่นกัน สิ่งเหล่านั้นมีวันหมด และในขณะเดียวกันวิบากบาปก็รอที่จะส่งผลอยู่เสมอ เมื่อถึงจุดนั้นก็จะกลายเป็นเทวดาที่ตกลงมาจากสวรรค์ ต้องพบกับความทุกข์และเจ็บปวดอีกมากมาย

ดังนั้นเมื่อเทียบกับคนโสด คนมีคู่จึงต้องประสบทุกข์อย่างมาก จึงจัดคนที่มีคู่อยู่ในหมวดของทุกข์มาก

และคนที่มีคู่นั้น หากเป็นคนที่มีอินทรีย์อ่อน คือมี ศรัทธาน้อย ความเพียรน้อย สติน้อย ความตั้งมั่นน้อย ปัญญาน้อย ก็ยากนักที่จะสามารถจะหลุดพ้นจากกิเลสที่มีกำลังมากได้ซึ่งก็ต้องวนเวียนเรียนรู้ทุกข์ที่มากไปพร้อมๆกับการพัฒนาอินทรีย์พละของตนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลุดพ้นจากกิเลส

สิ่งที่ทำให้หลุดพ้นได้ยากเพราะตนเองนั้นก็มีกิเลสหนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยสนองกิเลสของคู่ครองอีก แล้วทีนี้การหลุดพ้นจากทุกข์คือการทำลายกิเลสจนสิ้นเกลี้ยง แต่วิถีการเรียนรู้ธรรมะกลับเป็นไปในแนวทางเพิ่มกิเลส ดังนั้นจึงทำให้หลุดพ้นได้ช้า เป็นทุกข์มาก

ซึ่งกว่าจะหลุดพ้นได้ก็ต้องวนเวียนทุกข์ไปเรื่อยๆ ความอยากมีคู่ก็รุนแรง ทุกข์ก็ยอมทนเพื่อให้ได้เสพ แม้ว่าความรักจะพังทลายกี่ครั้งก็ยังไม่เข็ด ยังอยากมีความรัก ยังอยากมีคู่ไปเรื่อยๆ ยินดีเสพสุขลวงและทนทุกข์ต่อไปจนกว่าจะสามารถมีปัญญาถึงระดับที่เห็นว่าทุกข์นั้นเกิดเพราะความอยากได้

และถึงแม้ว่าจะเป็นคู่ที่พากันลดละกิเลส เช่น ในเรื่องของการสมสู่เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตัดขาดได้ทันที เพราะวิบากกรรมจะเหนี่ยวรั้งไว้ แม้จะตัดทันทีก็มีกรรมแบบหนึ่งคืออาจจะไปเบียดเบียนคู่ถ้าเขายังมีความอยากอยู่ จะไม่ตัดก็มีกรรมแบบหนึ่งคือยังต้องไปสมสู่สนองกิเลส ซึ่งเป็นการเพิ่มกิเลสกันอยู่อีก ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จะถูกพันไว้ด้วยความมีคู่นั่นเอง

2)วิถีทางที่ทำให้ทุกข์มากแต่พ้นทุกข์ไว

คนที่มีกิเลสมากและหลงไปมีคู่ แต่กลับพ้นทุกข์ไว คือผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า มีศรัทธามาก มีความเพียรมาก มีสติมาก มีความตั้งมั่นมาก มีปัญญามาก แม้จะหลงไปมีคู่จนเกิดทุกข์ที่มาก แต่ก็สามารถจะหลุดพ้นจากกิเลสได้ไว ทำลายความอยากที่จะมีคู่ได้ด้วยอินทรีย์ที่แก่กล้านั้นเอง

ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีคู่ครองเจอปัญหาในชีวิตคู่ซึ่งทำให้ทุกข์มาก จึงใช้ทุกข์นั้นเอง เป็นเหตุในการพิจารณาธรรมเพื่อหลุดพ้นจากความอยากนั้น มองเห็นเหตุแห่งทุกข์ตามจริง คือเรานั้นเองที่สร้างการผูกมัดนี้มาจนเป็นทุกข์ “ถ้าเราไม่อยากมีคู่” ก็ไม่ต้องเจอปัญหานี้ตั้งแต่แรก ด้วยอินทรีย์ที่มากจึงสามารถเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง จนหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสได้ไม่ยากนัก

สภาพของการหลุดพ้นอาจจะเกิดเพราะเรื่องไม่กี่เรื่อง ไม่ต้องทนทุกข์นาน อาศัยเหตุเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำมาศึกษาเพื่อความพ้นทุกข์ได้

แต่แม้จะทำลายความอยากมีคู่ได้แล้ว คนที่หลงไปมีคู่ก็จะต้องมีวิบากกรรมที่ต้องคอยมารับภาระในคู่ครอง ซึ่งการอยู่ด้วยกันโดยปราศจากความหลง หรือไม่มีกิเลสเป็นตัวหลอกแล้ว ชีวิตคู่จะไม่มีความสุขลวงๆที่เคยมีอีกเลย สิ่งที่เหลือจะมีแต่ความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องที่ทำให้เป็นภาระนั่นเอง

3)วิถีทางที่ทำให้ทุกข์น้อยแต่พ้นทุกข์ยาก

เมื่อการมีคู่นั้นคือทุกข์มาก ความโสดที่ยังมีกิเลสนั้นเองก็คือทุกข์น้อย ที่น้อยกว่าเพราะไม่ต้องไปคอยสนองกิเลสใครให้ต้องมาคอยรับวิบากกรรมที่มากั้นขวางไม่ให้บรรลุธรรมและสร้างทุกข์ใดๆทีหลัง

แม้จะเป็นคนโสดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกิเลส คนโสดหลายคนนั้นมีการตั้งความหวังไว้ว่า วันหนึ่งฉันจะเจอคนที่ฝันไว้ คนโสดพวกนี้แม้ในตอนเป็นโสดจะยังทุกข์จากความอยากอยู่บ้าง แต่เมื่อวันหนึ่งที่วิบากกรรมเข้ามา ทำให้ได้พบกับ “ตัวเวรตัวกรรม” ก็อาจจะเปลี่ยนวิถีทางไปปฏิบัติในทางทุกข์มากก็เป็นได้

คนโสดที่คิดว่าจะโสดนั้น อาจจะมีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้เลือกเป็นโสด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าคนมีคู่เพราะมีทุกข์น้อย แม้ว่ากิเลสที่มีอยู่ในตนนั้นจะไม่มากพอที่จะผลักดันให้ไปแสวงหาคู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถกำจัดกิเลสซึ่งเป็นเชื้อทุกข์ออกจากใจได้

โดยเฉพาะคนโสดที่มีอินทรีย์อ่อน ก็จะโสดไปแบบไม่เห็นโทษของความอยากในการมีคู่ เป็นโสดแบบไม่ได้พิจารณาธรรม เป็นโสดแบบไม่เห็นกิเลส ส่วนหนึ่งเพราะแรงกิเลสของเขาเหล่านั้นไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน จึงทำให้จับได้ยากและขาดการมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น

คนโสดเช่นนี้จึงพ้นทุกข์อย่างแท้จริงได้ยาก แม้ว่าจะมีทุกข์น้อยแต่ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็ยังเรียกว่าเชื้อแห่งทุกข์นั้นยังไม่ตาย ซึ่งกิเลสก็มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นได้ เมื่อคนโสดที่อินทรีย์พละอ่อนนั้นได้เข้าไปอยู่ในสังคมที่ส่งเสริมการมีคู่ บอกว่าการมีคู่นั้นดี บอกว่าการมีคนคอยสนองกิเลสให้นั้นเป็นสุข คนโสดที่มีอินทรีย์พละน้อยจึงมีโอกาสที่จะทนพลังของกิเลสไม่ไหว รับเอากิเลสนั้นมาเป็นของตน ค่อยๆสะสมกิเลส เพิ่มความอยากจนกระทั่งไปเวียนกลับไปอยากมีคู่ได้ในวันใดก็วันหนึ่ง

ดังนั้นคนที่โสดอยู่และไม่ได้รู้สึกว่าอยากมีคู่มาก จึงควรพัฒนาอินทรีย์พละของตนโดยการคบหาผู้รู้ธรรมที่พาไปสู่ความพ้นทุกข์ ศึกษาธรรมที่พาให้ทำลายความอยากมีคู่ และนำธรรมเหล่านั้นมาพิจารณาลงไปถึงต้นเหตุของความอยากคือกิเลส เพียรพิจารณาความจริงตามความเป็นจริง โดยใช้สติมาจัดการชำแหละให้เห็นกิเลสด้วยความตั้งมั่น และใช้ปัญญาที่มีพิจารณาธรรมเข้าไป จนเกิดผลเจริญไปโดยลำดับ

4). วิถีทางที่ทำให้ทุกข์น้อยและพ้นทุกข์ไว

คนที่เลือกเป็นโสดและยังมีกิเลสอยู่ แต่ด้วยความที่มีอินทรีย์มาก จึงสามารถที่จะหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสได้ไม่ยากไม่ลำบากนัก

ยกตัวอย่างเช่น คนโสดที่เห็นคนมีคู่ทะเลาะกัน เห็นความทุกข์ของผู้อื่น และนำทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาทำลายกิเลสในตน ด้วยอินทรีย์ที่มาก จึงสามารถทำให้หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสได้เพียงแค่ใช้เหตุปัจจัยที่เล็กน้อย เหมือนกับใช้เชื้อเพลิงไม่มากก็สามารถทำให้เกิดไฟกองใหญ่ เผากิเลสให้เป็นจุลได้

…..สรุปแล้วทั้งสี่วิถีทางนั้นเป็นทางเลือกที่ถูกกำหนดไว้ด้วยปริมาณกิเลสและอินทรีย์ของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถเลือกสิ่งใดได้อย่างอิสระ แต่จะต้องปฏิบัติไปตามกรรมที่ทำมา ใครทำกรรมมาแบบใดก็ต้องไปในวิถีทางแบบนั้น และกรรมใหม่ที่ทำนั้นก็จะเป็นจุดเริ่มของวิถีทางในอนาคตต่อไป

– – – – – – – – – – – – – – –

12.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

โสดไม่ได้เสพ

May 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,026 views 0

โสดไม่ได้เสพ

โสดไม่ได้เสพ

ทำไมผู้คนต่างอยากจะมีคู่ ทำไมความโสดถึงมักจะถูกผลักไส ทำไมความโสดจึงเป็นสิ่งที่ดูด้อยค่าในสายตาของคนอยากมีคู่ ความลับของความหลงทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่การเป็นโสดไม่ได้เสพนั่นเอง

คนที่มีกรรมที่จะต้องไปแต่งงาน ด้วยฐานะ ด้วยหน้าที่ ด้วยบทบาทนั้น จะขอยกไว้ไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะสภาพที่ต้องไปแต่งงานทั้งที่ใจไม่ได้มีความอยากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับกิเลสโดยตรง แต่มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลของกรรม

ทำไมคนจึงไม่เป็นโสด?

หากจะถามออกไปก็มักจะมีคำกล่าวอ้างมากมายที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น มนุษย์เกิดมาเพื่อสืบพันธุ์บ้างล่ะ เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิตบ้างล่ะ เพื่อเป็นไปตามธรรมชาติบ้างล่ะ เพื่อพากันเจริญบ้างล่ะ หลายๆเหตุผลที่ปั้นแต่งมาเพื่อยืนยันว่า “ฉันจะไม่เป็นโสด

ด้วยเหตุผลเหล่านั้น หลายคนก็ยินดีที่จะไม่เป็นโสด ยินดีทุกข์ทนแสวงหาคู่ ยินดีลำบากลำบนคอยบำเรอกิเลสคู่ของตน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อบูชาความหลง

หลงในอะไร? ก็หลงในความสุขลวงที่กิเลสเป็นผู้ชี้นำยังไงล่ะ เพราะเขามองว่าเมื่อมีคู่ เขาก็จะได้เสพสุขดังใจหมาย สุขอย่างที่คนอื่นเขาว่ามา สุขอย่างที่ใครเขาก็ทำกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสุขลวงที่นำทุกข์แท้มาให้ สุขนั้นเป็นสุขจากการได้เสพสมใจจากกิเลส เป็นสุขอย่างเป็นทาส

เหมือนทาสที่เขาเฆี่ยนตีด้วยแส้ เพื่อให้ทำงานหนัก พอนายทาสโยนเศษอาหารให้ก็หลงดีใจ รู้สึกเป็นสุข เห็นว่านายทาสใจดี มีเมตตา เราได้เศษอาหารเช่นนี้เป็นสุขจังหนอ ว่าแล้วก็ยอมทำงาน ยอมโดนเฆี่ยนโดนตีไปเรื่อยๆ เพื่อแลกกับสุขเพียงแค่ได้เสพเศษอาหารเหล่านั้น

เพราะโสดนั้นไม่ได้เสพ

ในเมื่อการมีคู่คือการได้สุขจากเสพในความเข้าใจของผู้หลงผิด ดังนั้นการเป็นคนโสดก็คือการไม่ได้เสพอะไรเลย นั่นหมายถึงการขาดทุน การเสียผลประโยชน์ในทัศนคติของเขาเหล่านั้น

ซึ่งก็ถูกแล้วที่คนเห็นผิดจะเห็นว่าการโสดเป็นสิ่งที่ไม่สุขเอาเสียเลย และถ้าเราเจาะลงลึกไปในรายละเอียดว่าโสดแล้วไม่ได้เสพอะไรให้ชัดๆก็คือ ไม่ได้สมสู่กัน ไม่ได้เสพกามคุณ คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้เสพโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ของกันและกัน และไม่ได้เสพอัตตาของกันและกัน

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากสมสู่กันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่ซ้อนเร้น ปกปิดไว้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ แต่เรื่องนี้มีกันทั้งชายและหญิงนั่นแหละ การได้เสพสุขจากการสมสู่ ได้ครอบครอง ได้บำเรอกามของกันและกันเป็นความสุขของเขานะ ถ้าจะให้เขาเป็นโสดหรือแม้แต่การตัดเรื่องสมสู่กันทั้งชีวิต เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากเสพกามคุณกันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายๆ เช่น หน้าตาดี บุคลิกดี เนื้อตัวสะอาด พูดเพราะ ผิวนุ่ม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสพกัน ถ้าได้มองก็สุขแล้ว แต่ถ้าได้เอามาเป็นคู่ เอามาเสพคนเดียวทุกคืนทุกวันมันจะสุขขนาดไหน จะให้เขาเสียสุขนี้เพียงเพื่อต้องไปเป็นโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้โลกธรรมกันนะ เช่นมีคู่เพื่อได้ลาภ ข้อนี้จะเห็นได้มาก จะแต่งงานกับใครก็ต้องมีฐานะดี หรือดียิ่งกว่า อันนี้เพราะโลภอยากได้ของเขา อยากได้ยศ คือตัวเองต้องมีตำแหน่งดีขึ้นเช่นเป็นแฟน สามี ภรรยา อยากได้สรรเสริญ คืออยากให้มีคนมาชมตนเองว่ามีคุณค่า มีคนเอาไปเป็นคู่ สุดท้ายคืออยากได้สุข สุขจากการมีคู่นั่นแหละ สุขลวงๆที่เขาว่าเป็นสุขจริงนั่นแหละ จะให้เขาทิ้งทั้งหมดนี้เพื่อแลกกับความโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้อัตตากันนะ คือมีใครสักคนมาเติมตัวเราจนเต็ม มีคนที่จะเป็นดังที่ใจเราฝัน คนนั้นคือคนที่ทำให้ฉันหายเหงา จะมีเธอมีฉันเคียงข้างกันไปชั่วนิรันดร อะไรแบบนี้ เป็นความยึดติดฝังแน่นว่าคนเราจะสุขเพราะการมีคู่ คนเราจะมีคุณค่าเพราะมีคู่ จะให้เขาละทิ้งความสุขเหล่านี้ แม้จะเป็นสุขที่หลงไปในความลวงเพื่อแลกกับความโสดที่จะไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาจะยินดีโสดหรือ?

ทนทุกข์เพราะหลงสุขจากเสพ

ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ หลายคนจึงยินดีทนทุกข์ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสุขกว่าการที่จะต้องเป็นโสด แม้จะต้องก่อเวรก่อกรรมไว้กับคู่ของตนมากเท่าไหร่ก็ไม่สน ยินดีที่จะเบียดเบียนตนเองและคู่ของตนเพียงเพื่อจะให้ได้เสพสุขลวงเหล่านั้น เหล่านี้เองคือความร้ายกาจของกิเลส ที่ลากคนไปลงนรกมานักต่อนักแล้ว มันไม่เคยละเว้นใคร ไม่ว่าจะยากดีมีจน เรียนน้อยหรือเรียนมาก สุดท้ายถ้ายังไม่มีปัญญาพอจะก้าวข้ามความหลงนี้ ก็ยังจะต้องโดนกิเลสลากไปนรกอยู่ดี

แต่สำหรับเขาเหล่านั้นคงจะไม่เรียกการมีคู่ว่านรก ถึงจะเรียกว่าสวรรค์เขาก็คงจะเห็นดีด้วย เพราะเขายินดีที่จะได้เข้าไปเสพ ยินดีที่จะได้มีคู่ เหมือนกับคนที่เฝ้าศึกษาเส้นทาง เตรียมตัวเก็บกระเป๋า และออกเดินทางไปสู่นรกด้วยจิตใจที่เบิกบาน ดูสิ! มันหลงกันไปได้ขนาดนี้

– – – – – – – – – – – – – – –

3.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)