Tag: ชี้โทษ

จะบอกเรื่องโทษภัยของความรักกับคนอื่นอย่างไร?

January 11, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 775 views 0

ต่อจากคำถามก่อนหน้านี้ที่ว่า ทำไมถึงเลือกที่จะพิมพ์เกี่ยวกับความรัก ก็มาถึงคำถามว่า ถ้าเราจะบอกเรื่องนี้กับคนคนหนึ่ง จะบอกอย่างไร

ตอบ : บอกไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจ

ผมก็ตอบไปสั้น ๆ แค่นั้น ก็ไม่ได้ขยายอะไร ก็มาขยายในนี้เหมือนเดิม

กิเลสนี่เป็นสิ่งที่คนรักและหวงแหนที่สุด คนทั่วไปไม่มีหรอก ที่จะอยากให้ใครมาบอกว่าสิ่งนั้นคือกิเลส สิ่งนี้คือกิเลส

แค่ชี้ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือกิเลส เขาก็ไม่เอาแล้ว จะให้ไปชี้โทษ มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงชี้โทษแล้วแจกแจงวิธีปฏิบัติ ไม่ต้องคิดเลย เพราะเขาไม่ได้อยากออกจากกิเลส เขาอยากอยู่กับกิเลส การไปพูดสิ่งดีที่เขาไม่อยากฟังนั่นก็คือการพูดเพ้อเจ้อนั่นเอง

ถ้าคนเขาไม่ได้อยากรู้ ไม่ได้สนใจ เราเก่งแค่ไหน เราก็บอกอะไรไม่ได้ ที่พูดไปเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เขาจะไม่ฟัง ถึงจะฟังก็ไม่รับไว้พิจารณา ถ้าเขาไม่สนใจ ไม่ถือสา ก็รอดตัวไป แต่ส่วนใหญ่ไม่รอดหรอก จะกลายเป็นเขาชังเอาล่ะซิ ก็เขาอยากได้ความรัก อยากมีความรัก เขาไม่ได้อยากออกจากความรัก ถึงเราจะไปสร้างประตูออกประดับเพชร ปูพรมแดงส่องไฟสปอตไลท์ดูดีแค่ไหน เขาก็ไม่เปิดประตูเข้าไปหรอก

ผมคิดว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ไปบอกคนนั้นคนนี้ แต่เราจะมีหน้าที่นั้นก็ต่อเมื่อเขายินดีให้เราบอกเขา อันนี้มันก็เป็นสิทธิ์ที่เขายกให้ เขาให้เราบอก ให้เราพูด เราก็พูด แต่ก็ต้องประมาณ เพราะมันเปลี่ยนแปลงกันได้ทุกวินาที เช่น วินาทีแรกเขาอยากฟังความเห็นเรา เราพูดไป 1 ประโยค เขาไม่อยากฟังแล้ว มันก็ต้องประมาณ แล้วตัดรอบไปเท่าที่เขายินดี มันก็ดีที่สุดแค่ 1 ประโยคนั่นแหละ แม้ประโยคที่ 2 3 4 … มันจะดีมาก แต่เขาไม่เอา แล้วเราจะให้ มันก็ไม่ดี เขาไม่ได้ให้สิทธิ์ในการพูดนั้นแก่เรา เราไปเอา มันก็เกินเลย ผิดศีล

เรื่องความรักนี่ไม่ใช่จะพูดทุกคนได้ เขาต้องสะสมทุกข์มามากประมาณหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม” แล้วถ้าเขายังเห็นว่าความรักสวยงาม เป็นสุข เป็นสวรรค์วิมาน เขาไม่ฟังหรอก ทุกข์ โทษ ภัยของความรักนั่นน่ะ ดีไม่ดีเขาเถียงสู้อีก ที่นี้มันก็แย่ไปอีก จากที่เขาหลงอยู่แล้ว มันก็ติดลบมากขึ้นไปอีก ติดแน่นในความเห็นผิดของตัวเองแน่นขึ้นไปอีก

เพราะเถียงนี่คือการแข่งดีอยู่ในที ว่าฉันมีดีกว่า แล้วถ้าเราลดกิเลส แล้วเขาเถียง มันก็ไปคนละทางนั่นเอง ยิ่งเถียงยิ่งแพ้ ถ้าเห็นต่างนี่ส่วนใหญ่ผมยอมเลย ไม่สู้ดีกว่า เมื่อยหัวเปล่า ๆ อันที่เขายกมาว่าความรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เราก็รู้อยู่หรอก เพราะเราก็เคยผ่านมา แต่ไอ้ที่เรามีจะให้คนไม่มีมารู้นี่มันยาก เขาต้องปฏิบัติเอาเอง แต่ก่อนที่เขาจะปฏิบัติ เขาก็ต้องอ่านต้องฟังกันก่อน ว่าจะปฏฺิบัติไปในทิศทางไหน ไม่งั้นมันจะไม่มาไม่ไป

ก็ยังดีที่การพิมพ์เผยแพร่ใน facebook นี่ยังพอขายออกอยู่บ้าง ถ้าขายไม่ออกเลย ก็คงต้องเลิก เพราะมันจะเข้าขีดเพ้อเจ้อ มันจะเลอะเทอะเปล่า ๆ แต่อันนี้ก็ดู ๆ ทรง ว่ามีคนได้ประโยชน์อยู่บ้าง มีเข้ามาถามกันเพิ่มอยู่บ้าง ได้จริงไม่จริงไม่รู้แหละ เอาเป็นว่าพอมีลูกค้าอยู่บ้างก็เลยพอไปได้

ก็อาศัยที่เขาถาม ๆ กันนี่แหละ เป็นตัวปรุงบทความขึ้นมา อีกส่วนก็เป็นข่าวสารบ้านเมือง แต่ก็ไม่ถนัดในการตอบคำถามเชิงส่วนตัวนัก เพราะมันสังเคราะห์เหตุปัจจัยได้น้อยมาก

เชื่อไหมว่าถ้าผมตอบคำถามเป็นส่วนบุคคุล เขาถามมา เราตอบไปเฉพาะเพื่อเขา ผมจะตอบได้ไม่ดีนัก คือมันต้องยั้งมือมาก ๆ ต้องเบามือมาก ๆ คือมันประมาณยากนั่นแหละ แต่ถ้าเอามาพิมพ์ตอบกันแบบเป็นบทความนี่มันจะลื่นกว่า เพราะมันสังเคราะห์องค์ประกอบร่วมที่มากกว่า มันไม่ต้องระวังมาก

มันก็ประมาณเป็นกลุ่มใหญ่เลย คือคนที่เขาสนใจ เป็นองค์รวมกว้าง ๆ ที่เราจะพอประมาณได้เท่าที่มีข้อมูล มันจะเพิ่มขอบเขตของเนื้อหาได้ ลงรายละเอียดลึกซึ้งขึ้นได้

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ส่วนหนึ่งผมไม่ค่อยตอบส่วนตัวสักเท่าไรนัก เพราะมันคิดไม่ออก เอาแบบรวม ๆ ดีกว่า แล้วค่อยมาอ่านหาประโยชน์กันเอาเอง สนใจก็อ่าน ไม่สนใจก็เลื่อนผ่านไป ง่ายดี ไม่ต้องไปบังคับบีบคอใครให้อ่าน

สิ่งดีเรามีอยู่ เราเผยแพร่อยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปยัดเยียดใครให้มาอ่านหรือให้ใครมาสนใจ เราก็พิมพ์ในหน้าเรานี่แหละ ใครสนใจเดี๋ยวเขาก็มาดูเอง

เดี๋ยวเขาทุกข์จนเกินทนเดี๋ยวเขาก็มาเอาถามเราเอง เขาไปลองวิธีอื่นมาแล้วมันไม่พ้นทุกข์ ถ้าเขาทำดีมาก ๆ เดี๋ยววันนึงเขาก็วนมาเจอเราเอง

ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธไม่ต้องแสวงหาหรือล่าบริวาร ไม่ต้องหาใครมาอ่านมาฟัง ไม่ต้องไปคิดใหญ่ เอาเท่าที่มีนั่นแหละ ได้เท่าไหร่ก็เป็นจริงตามนั้น มันสบายใจ ไม่ต้องพยายามจะล่อลวง หลอกล่อใคร เป็นการทำดีที่มีอิสระ

โสด ไม่เบียดเบียน

December 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,775 views 0

โสด ไม่เบียดเบียน

โสด ไม่เบียดเบียน

สัตว์โลกนั้นเบียดเบียนกันด้วยความอยากเป็นธรรมดา เพื่อที่เราจะเบียดเบียนกันได้อย่างสบายใจ เราจึงสร้างความลวงขึ้นมาบดบังความจริง ดังเช่นว่าการมีครอบครัวเป็นสุข เพื่อปิดบังความจริงที่ว่าการมีครอบครัวนั้นเบียดเบียน คับแคบ เป็นทุกข์ แต่ก็ต้องทำเพราะเหตุแห่งความอยากนั้นเอง

เมื่อเราอยากได้อยากเสพอะไรมากๆ เราจะพยายามหาข้อดีของมัน พยายามปั้นแต่งประโยชน์ต่างๆนาๆ เพื่อที่จะได้เสพสิ่งนั้นโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ซึ่งเป็นธรรมชาติของกิเลสที่จะสร้างความลวงให้คนหลงผิดติดยึดในสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตมากขึ้น

แท้จริงแล้วการมีครอบครัวนั้นคือความเบียดเบียน เป็นความคับแคบ เป็นบ่วงที่คล้องคอไว้ เป็นภาระของชีวิต แม้เราจะพยายามปั้นข้อดีมากมายของการมีครอบครัว แต่ความจริงก็คือความจริง ว่าการมีครอบครัวนั้นไม่สบายเท่าความเป็นโสด

เมื่อเราอยู่เป็นโสด เราก็ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนทรัพย์สิน ร่างกาย เวลา และจิตใจของใคร เราต่างอยู่เป็นอิสระในพื้นที่ที่เรามี ไม่ไปก้าวก่ายชีวิตใครโดยไม่จำเป็น

แต่เมื่อเรามีครอบครัว เราก็จำเป็นต้องเบียดเบียนทรัพย์สิน ร่างกาย เวลา และจิตใจของกันและกัน พากันเสพสุขตามกิเลสก็เป็นการพากันไปทางเสื่อม ทะเลาะเบาะแว้งกันก็เป็นการพากันทำชั่ว การมีครอบครัวจึงกลายเป็นเบียดเบียนกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งเรามักจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เมื่อถูกชี้โทษของการมีครอบครัวให้เห็นดังนี้แล้ว กิเลสข้างในก็ยังจะสามารถสร้างเหตุผลที่สวยงามและประโยชน์มากมายของการมีครอบครัวขึ้นมาได้ ทั้งหมดนั้นเพราะเรามีความอยาก คือตัณหา คือความแส่หา คือความใคร่อยากเสพ พออยากเสพสุขมากๆ แล้วมีคนมาบอกว่าสิ่งนั้นเป็นโทษเป็นภัย …ด้วยกำลังจิตที่น้อย ต่อต้านกิเลสไม่ไหวจึงไม่สามารถทำใจในใจพิจารณาตามให้ทันว่าเหตุเกิดแห่งความทุกข์นั้นคือที่ใด

เมื่อได้รับข้อมูลว่าการมีครอบครัวเป็นทุกข์ แทนที่จะพิจารณาไปถึงที่เกิดว่า “ความอยากของเรานี้สร้างทุกข์” แต่มักจะเห็นและเข้าใจว่า “การถูกห้ามไม่ให้มีครอบครัว และการถูกชี้โทษนี่แหละเป็นทุกข์” ซึ่งเป็นการมองปัญหาคนละจุด กรณีแรกคือการมองกิเลสเป็นปัญหา กรณีที่สองคือมองธรรมะเป็นปัญหา พอมองธรรมะเป็นสิ่งผิด สุดท้ายก็เลยจับมือกับกิเลส ถล่มธรรมะจนสิ้นซาก ตอกตะปู ปิดฝาโลง ฝังความเจริญในทันที

แค่มีความอยากก็เบียดเบียนตนเองด้วยความเห็นผิดมากพออยู่แล้ว การที่เราจะไปหาคนผู้โชคร้ายมาสนองความอยากของเรา มาสนองความเชื่อที่ผิดของเรา นั่นยิ่งเป็นการเบียดเบียนที่มากกว่า

น่าสงสารว่าที่คู่ครองที่ต้องมาแบกรับความอยากปริมาณมหาศาลของเรา เพราะแค่กิเลสของตัวเองก็มากมายพออยู่แล้ว ยังต้องมาบำรุงบำเรอกิเลสของกันและกันอีก นี่มันจะพาชั่วเบียดเบียนกันเข้าไปใหญ่

ดังนั้นการเป็นประพฤติตนให้เป็นโสดจึงเป็นสุขที่สุด เพราะไม่ต้องเบียดเบียนตนเองด้วยความเห็นผิด ไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกิเลสของเรา และไม่ไปสร้างตัวอย่างของความสุขที่หลอกลวงให้สังคมและโลกได้หลงผิดตามๆกันไปอีกด้วย

– – – – – – – – – – – – – – –

1.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)