ความมัวเมาในรสรัก

August 23, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,673 views 4

ความมัวเมาในรสรัก เมื่อความหลงผิด ทำให้หลงสร้างบาป ท่ามกลางความหลงสุข

การที่คนเรานั้นไปหลงมัวเมากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกจากจะสร้างภัยอันน่ากลัวให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นพากันหลงผิด และนั่นคือบาปที่จะย้อนกลับมาเล่นงานผู้ที่หลงมัวเมานั่นเอง

คนที่หลงในความรักนั้น นอกจากที่เขาเหล่านั้นจะเสียเวลาที่สำคัญในชีวิตไปกับการหลงสุขในการมีคู่ ไปหลงสร้างบาป คือการเพิ่มกิเลสให้กับตนเองโดยแลกกับการเสพสุขลวงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยังเป็นสื่อให้ผู้อื่นได้หลงผิดมาเห็นดีเห็นงามกับเรื่องทางโลกด้วย

คนที่หลงในความรักนั้น บางคนก็หลงกันอยู่นานหลายปี สิบปี ยี่สิบปี หรือตลอดชีวิต และตลอดเวลาแห่งความหลงนั้น เขาก็ได้เป็นทูตแห่งความหลงที่คอยเผยแพร่ความเห็นที่ว่า การมีคู่นั้นดี การได้มีความรักนั้นดี การมีคนดูแลเอาใจนั้นดี ฯลฯ แต่ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกหรือเผยแพร่ความเห็นใดๆเลยก็ตาม แค่เพียงความเป็นไปของเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงให้คนที่ไม่รู้เดียงสา ได้เห็นว่าการมีคู่นั้นน่าจะมีความสุขจริงอย่างที่ใครเขาว่า

เป็นบาปของคนมีคู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายั่วกิเลสคนอื่นตั้งแต่เราคบหาเป็นแฟนกับคู่ของเรา ทำให้ผู้อื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพบ้าง เรายั่วกิเลสคนอื่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเราแต่งงาน ทำให้คนอื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก และเรายั่วกิเลสคนอื่นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเราสร้างของรักใหม่ที่เรียกว่าลูก แสดงให้เห็นว่ารักนั้นได้เสพอะไร ให้เห็นว่ารักนั้นเป็นสุขอย่างไร ให้เห็นว่ารักนั้นเที่ยงแท้ยืนนานอย่างไร โดยผ่านความเป็นไปที่เราได้แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ใช่ความจริงเลย

ด้วยความหลงในสุขของเรา หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการมีคู่ การอวดคู่ หรือการบูชาความรักที่เกิดจากความหลงนั้นเป็นโทษภัยอย่างไร ความหลงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่ทำให้เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงทำให้คนที่หลงในการมีคู่นั้นภูมิใจในสถานะที่ตนเองมี เพราะหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี

ถ้าเราคบหากันไป 10 ปี เราก็สร้างวิบากบาป กลายเป็นตัวอย่างของคนที่หลงสุขในกิเลส ให้คนอื่นเอาอย่างไป 10 ปี ถ้าเราคบไปร้อยปีก็เป็นตัวอย่างไปร้อยปี หลงนานเท่าไหร่ก็สร้างบาปให้ตัวเองและผู้อื่นมากเท่านั้น

ทีนี้คนที่มีคู่แล้วไม่ใช่ว่ารู้ถึงโทษภัยผลเสียต่างๆแล้วจะออกกันได้ง่ายๆ การเลิกกันด้วยความไม่ยินยอมทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การไม่ผูกพันกันด้วยความหลงเป็นสิ่งที่ดี คนที่มีคู่นั้นจะมีขอบเขตในการทำกุศลที่จำกัด แม้จะพากันออกจากความหลง ไม่สร้างอกุศลกรรม พากันถือศีล ไม่สมสู่ ไม่แตะเนื้อต้องตัว ไม่พูดจากันด้วยคำหวานของกิเลส ไม่เอาแต่ใจเพราะความยึดติด แม้จะทำได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะเป็นตัวอย่างให้คนหลงติดหลงยึดในความเป็นคู่อยู่ดี เพราะคนดีที่มัวเมาในความเป็นคู่รักก็ย่อมจะอยากได้คู่รักที่ดีเป็นตัวอย่าง

ดังนั้นการเป็นโสดแต่แรกจึงดีที่สุด ไม่ต้องไปผูกให้ต้องลำบากมาแก้กันทีหลัง เพราะเมื่อมีคู่ไปแล้ว มันผูกพัน มันแก้กันไม่ง่าย ถึงจะตัดทันทีก็จะมีวิบากกรรม แม้จะใช้ความติดดียึดดี เลิกกัน อย่าร้างกัน แต่กรรมก็จะไม่ยอมอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายยังหลงในความรัก เขาก็ยังจะจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติอยู่ดี ดังนั้นคนที่มีคู่จึงไม่สามารถตัดความเป็นคู่ออกได้ง่ายๆแม้จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแค่ไหนก็ตาม

และเมื่อเขาเหล่านั้นยังมีภาพลักษณ์ของคนคู่ที่สวยงามอยู่ ก็จะเป็นสื่อให้คนที่หลงนั้น อยากได้อยากเสพในภพของคนดี อยากมีคู่รักแบบคนดี เช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นความเป็นสื่อแห่งบาป ที่จะต้องมารับวิบากบาปในภายหลัง เกิดมาชาติหน้าก็ต้องโดนคนอื่นเขามอมเมาว่ามีคู่แล้วทำดีด้วยกันได้ มีคู่แล้วพาเจริญด้วยกันได้ มีคู่แล้วปฏิบัติธรรมด้วยกันได้ ก็เลยหลงไปมีคู่ สุดท้ายก็ติดบ่วง ซ้ำไปซ้ำมา เป็นความเมาในรสรักที่ให้ผลสืบเนื่องหลายต่อหลายชาติ ต้องรับทุกข์ สร้างอกุศล สร้างบาปกันอย่างไม่จบไม่สิ้น

จนกว่าจะทุกข์จนเกินทน จนกว่าจะเห็นว่าการหลงมัวเมาในรสรักเหล่านั้นสร้างทุกข์ โทษ ภัย อย่างไร จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นภพคนโสด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกได้ง่ายๆขนาดนั้น แม้จะเกิดชาติไหนก็จะมีคนมายั่วกิเลส เอาความรักในอุดมคติมานำเสนอ เป็นคนดีก็มีความรักได้ พากันเจริญได้ ฯลฯ อีกทั้งคู่เวรคู่กรรมที่จ้องจะเข้ามาลากไปลงนรกกันทุกภพทุกชาติ

สรุปแล้วคนมีคู่ก็ต้องเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริงและรับกรรมตามที่ตัวเองก่อไว้ต่อไป ส่วนคนโสดก็เป็นโอกาสที่จะคิดทบทวน ตัดสินใจว่าจะเอาไหม? จะดีไหม? สุขลวงแป๊ปเดียวทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์เลยนะ ผูกนิดเดียวต้องตามไปแก้กันทุกภพทุกชาติเลยนะ จะเอาไหม? จะลองไหม? มันทุกข์มากนะ มันเป็นสุขลวงแต่นรกจริงๆนะ ยังจะเอาอีกหรือ?

– – – – – – – – – – – – – – –

23.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

Related Posts

  • เรียนรักเพื่อผ่านพ้น มิใช่วนไปรักใหม่ เรียนรักเพื่อผ่านพ้น มิใช่วนไปรักใหม่ ความรักและความผิดหวังที่เข้ามานั้น เป็นเพียงบทเรียนในชีวิตที่เราจะต้องนำมาเรียนรู้กิเลสของตน เราจึงใช้วิบากกรรมที่มากระทบครั้งแล้วครั้งเล่าในการจะหาทางออก ไม่ใช่หาทางเข้า คนที่หลงในความรัก […]
  • ความหลง ความรัก ความตาย : เมื่อรักทำร้าย กลับกลายเป็นยาพิษ ความหลง ความรัก ความตาย : เมื่อรักทำร้าย กลับกลายเป็นยาพิษ ความรักที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สวยงาม หอมหวาน เป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหา ยอมทุ่มเท ลงทุนลงแรง เสียเวลามากมายเพื่อที่จะได้มันมาครอบครอง แต่สุดท้ายรักนั้นกลับเบาบางกว่าเมฆหมอก […]
  • รัก เพื่อ ทุกข์ รัก เพื่อ ทุกข์ บางครั้ง การที่เราพยายามแสวงหาไขว่คว้าความรักและกอดมันไว้ นับเดือน นับปี จนถึงหลายสิบปีหรือกระทั่งหลายต่อหลายล้านชาติ ก็เพียงเพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่า รักมันทุกข์อย่างนี้นี่เอง... ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ […]
  • รักจริงที่หลอกลวง เมื่อเขาไม่ได้รักเธอจริง และเธอเป็นเพียงสิ่งสนองตัณหาของเขา รักจริงที่หลอกลวง เมื่อเขาไม่ได้รักเธอจริง และเธอเป็นเพียงสิ่งสนองตัณหาของเขา จริงหรือที่ว่าเขารักเรา? จริงหรือที่ว่าเราคือคนที่เขาหมายจะร่วมชีวิตด้วย? จริงหรือที่เขาจะมั่นคงและดีกับเราตลอดไป? […]
  • ความรักไม่เที่ยง ความรักไม่เที่ยง เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความรักในวันนี้จะเป็นเหมือนกับเมื่อวาน ความรักในวันพรุ่งนี้จะยังคงเป็นเหมือนในวันนี้ และในอนาคตต่อไปอีกหลายเดือนหลายปีข้างหน้าความรักที่เรารู้จัก […]

Comments (4)

  1. ผมจะยกตัวอย่างที่น่าจะพอเห็นภาพกันในยุคนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจบทความนี้…

    เช่นมีคนเขามาตั้งกระทู้รีวิวร้านอาหารที่หนึ่งว่าอร่อย คนที่ผ่านเข้าไปดูบางคนก็สนใจ เกิด”ความอยาก”เสพตามที่เขานำเสนอ แต่พอตามไปกินกลับมีทั้งคนที่ผิดหวังและคนที่ยึดติดชอบใจในรสนั้น ทั้งความผิดหวังและยึดติดนั้นสร้างทุกข์ทั้งนั้น นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้เป็นรูปธรรม

    แม้ความอร่อยของคนที่รีวิวจะดับไปนานแล้ว แต่ความเห็นของพวกเขายังคงอยู่ในกระทู้นั้น ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความอยาก นานตราบเท่าที่กระทู้รีวิวบทนั้นยังคงอยู่ และรวมไปถึงรีวิวของผู้ที่ตามไปชิมแล้วหลงชอบใจด้วยเช่นกัน

    นี่ก็เป็นความหลงในเรื่องของอาหาร ที่จะสร้างบาปไปอีกไม่รู้กี่ต่อ

  2. Akira

    อันนี้ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณดิณห์นะคะ เราเป็นคนอธิบายอะไรออกมาเป็นภาษาเขียนได้ไม่ดีนัก แต่เท่าที่อ่านดูสิ่งที่คุณดิณห์อธิบายนั้นมีใจความประมาณว่า ต่อให้เราเป็นคู่กันและประกอบคุณงามความดีมีแต่กุศลกรรมล้วนๆ ก็ยังยั่วให้ผู้อื่นเกิดกิเลสเกิดความหลงที่จะมีคู่รักอีก เปรียบเหมือนแค่เราเกิดมามีหน้าตาสวยงามแต่เดินไปเดินมาตามถนนโดยปราศจากผ้าคลุมหน้าแล้วเราก็บาปเพราะไม่พึงปิดใบหน้าอันงดงามทำให้ผู้อื่นเกิดกามกิเลสเหรอคะ?

    อีกอย่างหนึ่งคือหากการมีคู่นั้นเป็นการหลงผิดล้วนๆ ไม่มีเรื่องของสัญญาเก่าเลย เหตุใดกระทั่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงมีคู่จนถึงช่วงวัยหนุ่มของชาติสุดท้ายก่อนเสด็จปรินิพพานคะ?

    • ส่วนแรกที่เห็นต่าง ศีล ๘ ในข้อไม่ประดับตกแต่งครอบคลุมไว้หมดแล้วครับ คนเกิดมาสวยก็สวยไป แต่การไปเชิดชูความสวยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ** เพิ่มหน่อย พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งที่ปกปิดแล้วจะเจริญ คือมาตุคามหรือผู้หญิงนั่นแหละครับ ทั้งสภาพของบุคคลและธรรมะ คือผู้หญิงเป็นคนก็ควรจะปิดบังไว้บ้าง ไม่ให้ล่อแหลมเหมือนสมัยนี้ แต่ไม่ถึงขั้นที่ปิดหน้าปิดตาหรือออกเป็นกฏหมายครับ แต่ควรมีเจตนาที่จะไม่แสดงความเป็นหญิงของตัวเองออกมา ในทางธรรม เพศหญิงนั้น คือลักษณะของการเกิด ตรงข้ามกับความดับครับ เป็นภาวะที่ยังมีกิเลสอยู่ (อันนี้ไม่ได้ว่าผู้หญิงนะ มันเป็นสภาวะที่มีทั้งในตัวของชายและหญิงนั่นแหละ)

      เพราะอย่างนั้นถ้าเราเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความกำหนัด หรือความใคร่อยากเราก็ควรลด ควรปิดบังมันไว้ครับ ในศีล 8 ก็ให้ลดการประดับตกแต่งก็คือให้ลดกาม ลองศึกษาเรื่องของภิกษุณีอุบลวรรณาเถรีที่โดนข่มขืนเพราะมีคนเห็นว่าท่านสวย เพิ่มก็ได้ครับ มันมีความซ้อนของความสวยและวิบากกรรมอยู่ครับ อธิบายยากเหมือนกัน เพราะจะยาวลองศึกษาดูแล้วถามเพิ่มก็ได้ครับ

      กรณีของพระพุทธเจ้าเป็นภารกิจของพระโพธิสัตว์ครับ ไม่สามารถยกมาเปรียบกับคนทั่วไปได้ คนละองค์ประกอบเลยครับ ท่านทำไปเพื่อความรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง + วิบากของท่าน คนทั่วไปนั้นปฏิบัติให้หลุดพ้นจากกิเลสให้ได้ก็พอครับ จะเรียกว่าหนังคนละม้วนก็ได้

  3. Akira

    ขอบคุณคุณดิณห์มากค่ะสำหรับคำแนะนำ และ reference ที่ให้ไปศึกษาเพิ่มเติม ขอให้กุศลจากการตอบปัญหาธรรมในครั้งนี้ส่งผลให้คุณดิญห์เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

ฝากความคิดเห็น : Leave a Reply