ชีวิต
มีคู่จึงมีสุข?
มีคู่จึงมีสุข?
เก็บตกจากรวมญาติวันก่อน….
หลังจากที่เราได้บอกความคิดบางอย่างออกไปแล้ว ก็มีความคิดเห็นจากมุมอื่นเข้ามามากมายให้ได้ขบคิดกัน จนมีเหตุบังเอิญให้ได้เอามาเป็นบทความในวันนี้
เรามักจะเข้าใจว่าชีวิตมันต้องมีคู่ครองมาช่วยกัน เกื้อกูลกันจึงจะเจริญงอกงาม เป็นความสมบูรณ์ของชีวิต แม้ในปัจจุบันก็กลายเป็นเหมือนตัววัดคุณค่าของใครสักคน ..นั่นก็เป็นความเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงที่เห็น บางทีมันก็ไม่ค่อยเกื้อกูลกันนะ ดูเหมือนไม่ค่อยมีความสุขนะ แตกร้าวกันบ้าง อดทนกล้ำกลืนฝืนทนกันบ้าง
ที่เราคาดหวังว่าเขาจะมาดูแล ช่วยเหลือ เอาใจเราตลอด มันก็อาจจะ “ เปลี่ยนไป ” ได้ด้วยเหตุต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น งาน การเงิน ชื่อเสียง ความเสื่อมของวัย ความหล่อความสวย ความเจ็บไข้ ความเคยชิน ภาระเรื่องลูกและครอบครัว การไม่ได้ในสิ่งที่หวัง สังคมสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ตอนแรกๆ นี่มันก็ดีอยู่หรอก ยังไม่เคยเห็นใครที่ตกลงปลงใจครองคู่กัน ว่าคู่ตัวเองไม่ดีสักคน … แต่พออยู่ๆไปเดี๋ยวมันก็เห็นความไม่ดีเองนั่นแหละ ตอนรักกันนี่ปากเหม็นก็ยังอยากอยู่ใกล้ ตอนชังนี่ขนาดอยู่ไกลปลายสายตาก็ยังเหม็นก็อยู่กันไปทั้งรักทั้งชังนั่นแหละ
ส่วนหนึ่งคงเพราะเรามักจะไปยึดว่ามันต้องเหมือนวันแรกๆ เราไปคิดว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามอุดมคติของเรา เช่นต้องดูแล ต้องเอาใจ ต้องล้างจาน ต้องถูบ้าน ทำกับข้าวให้ด้วยนะ…แรกๆนี่ก็ยังหลงกันอยู่ เลยพอจะทำได้ พออยู่ๆกันไปเริ่มเห็นความจริง ฝ่ายหนึ่งก็เอาแต่ใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็เอาแต่ใจ พอไม่ได้ในสิ่งที่หวังก็มีลีลาท่าทางต่างๆกันไปในการหาเรื่องให้ตนเป็นฝ่ายถูก ยิ่งกว่าละครอีก…
เรามักจะได้ข้อมูลมาไม่เหมือนกัน บางทีก็ได้ข้อมูลแต่ด้านร้ายๆ นั่นเพราะเราอาจจะสนิทกับเขา คลุกวงในกับเขา เวลาเขาทะเลาะกันก็มาบ่น มาระบาย มาปรึกษา ให้เราได้รับรู้บ้าง ทำให้เห็นความเป็นจริง แต่ก็มีคนที่ได้รับข้อมูลแต่ด้านดีเหมือนกัน คือได้ยินแต่เรื่องดีๆของการมีครอบครัว อาจจะเพราะว่าเราไม่สนิทกับเขามากพอที่เขาจะพูดเรื่องแย่ๆให้เราฟัง
เวลาเราอยากอวดของกัน เราก็อวดกันแต่ของดีนั่นแหละ ก็ใครล่ะจะมาเล่าเรื่องไม่ดีของตัวเองและคู่ให้ชาวบ้านฟัง ขนาดทุกวันนี้เรายังพยายามแต่งตัวให้ดูดีเลยใช่ไหม ไม่เห็นมีใครแข่งกันดูไม่ดีสักคน ก็นั่นแหละเรื่องแย่ๆเขาก็เก็บไว้พูดแต่กับคนที่เขาไว้ใจเท่านั้น หรืออีกกรณีที่มีแต่เรื่องดีๆ เพราะแค่ยังไม่เจอเรื่องร้ายๆ เท่านั้นเอง ไม่ใช่มันไม่มี แต่มันยังไม่เจอ ละครชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน
ถ้าใครมีไปแล้วก็ดูแลกันไป ถือว่าได้เพื่อนร่วมชีวิต ร่วมชะตากรรม ส่วนคนที่ยังคบๆกันอยู่ ก็ให้ดูกันไปคบกันไปเรื่อยๆ ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนให้รอบด้าน …ถ้าเป็นของจริงนะ…ไม่ต้องรีบก็ได้…นานแค่ไหนเขาก็รอ…มีแต่เราจะรีบจนพลาดไปเองนั่นแหละ
จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนของผม คิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรลงทุน ขาดทุนมากกว่ากำไรแน่นอน …การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อนๆที่ยังมีอิสระเสรีภาพปราศจากครัวครอบ เกาะคานทองของท่านไว้ให้ดีๆ อย่าได้พลั้งเผลอร่วงลงมากันเลย ( หาเพื่อน~ )
ปล. เห็นนกมันงับกัน บินชนกัน ใกล้ชิดกัน ก็ไม่รู้ว่ามันรักกันหรือมันตีกัน ถ้าเรากำลังรู้สึกดีๆ เราคงว่ามันรักกัน
… แต่ถ้าเรากำลังเศร้าๆ เราคงว่ามันตีกัน
– – – – – – – – – – – – – – –
29.7.2557
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
เหตุแห่งความสุข
ผมชอบวันรวมญาตินะ…
เพราะเป็นวันที่จะได้ฟังเสียงตอบรับจากสิ่งที่เราทำไป เราทำอะไร มาเล่ามาคุยกัน เขาคิดเห็นอย่างไร เราคิดเห็นอย่างไร พูดกัน แลกเปลี่ยนกัน สนุกดี
ก่อนจะกลับบ้านระหว่างที่ฝนตกปรอยๆ ผมเก็บของและกำลังรีบเดินออกจากบ้านป้า ตามไปขึ้นรถพี่เพื่อกลับบ้าน
ขณะที่กำลังเดินออกจากบ้านป้า…น้าชายท่านหนึ่งซึ่งได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกันมาครั้งสองครั้ง เดินมาถามทิ้งท้ายกับผมประมาณว่า “ เหตุแห่งความสุขของเราคืออะไร? ” เป็นคำถามที่น่าจะมาจากความสงสัยในวิธีคิด วิธีการแสดงออก วิถีการใช้ชีวิตของผม
.
..
…
ผมรวบรวมความคิดท่ามกลางฝนที่ตกปรอยปรอยลงบนหัว เค้นจากสุดขั้วปัญญาที่ผมมี เพื่อตอบให้ตรงใจผม และเกิดประโยชน์กับคนฟังมากที่สุด
แล้วผมก็ตอบน้าไปว่า “ การลดกิเลส… การลดกิเลสจะทำให้เกิดความสุขสูงสุด”
…
…
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ผมตอบแบบนั้นจะดีจริงๆหรือไม่ สำหรับวันนี้ เพราะไม่ได้มีเวลามากพอจะถามกลับไปว่า …แล้วน้าเห็นว่าอย่างไร… และถ้าเป็นคุณ คุณจะตอบว่าอย่างไร ถ้ามีคนถามประมาณว่า
….เหตุแห่งความสุขของคุณคืออะไร?
– – – – – – – – – – – – – – –
27.7.2557
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
เดินเก็บเกี่ยวความรู้สึก
เมื่อวันก่อนไปงานรวมญาติ มาแถวสวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบฯ หาดที่นั่นก็ยาว ยาวไปถึงเขาตะเกียบ มองไปก็เห็นอยู่ไกลๆ ไม่รู้ระยะทางเท่าไหร่ไม่ได้วัด มองด้วยตาก็เดาๆมั่วๆไป 3-4 กิโลเมตรละมั้ง…
การได้เดินริมทะเลก็เป็นอะไรที่แปลกดี สำหรับคนไกลๆทะเล ซึ่งผมเลือกที่จะเดินไปในตอนเช้า เริ่มตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง พกกล้องไปด้วยเผื่อว่าพระอาทิตย์ยามเช้าจะสวย สวมเสื้อสบายๆ รองเท้าแตะ เดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว สำหรับที่หมายในครั้งนี้คือเขาตะเกียบที่ห่างออกไปไกลเท่าที่มองเห็น ส่วนเป้าหมายคือการดูความรู้สึกตัวเองในขณะที่เดินไปตามระยะทางที่มี
การมีที่หมาย หรือจุดหมาย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องมุ่งไปที่นั่นเสมอไป ถ้าเทียบกับการบริหาร จุดหมายที่ตั้งไว้เขาก็ใช้คำว่า Goal ส่วนจะถึงไม่ถึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถ้าเรามีกระบวนการ การจัดการที่ดีแล้วจุดหมายมันจะไกลยังไงก็ถึงอยู่ดี ดังนั้นผมจึงตั้ง Goal ไว้แบบหลวมๆ ให้มันมี แต่ไม่ต้องไปยึดมัน เราจะเดินถึงก็ดี ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งสำคัญ คือเราได้เดินแล้ว
เป้าหมายที่วางไว้คือเดินเก็บเกี่ยวความรู้สึกทุกก้าว ที่ก้าวเดินไปบนพื้นทราย ทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาและเรียนรู้ธรรมชาติยามเช้าของทะเลที่นี่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ว่าจุดหมายจะใกล้ไกลแค่ไหน มันจะสำเร็จได้ก็เพราะเราเริ่มทำ ดังนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือการตื่น และเริ่มออกเดินทาง…
…ชีวิตของผม นอนมามากพอแล้ว ชีวิตที่เหลือจะอยู่กับการตื่น และการเดินทาง ไปสู่จุดหมายที่ห่างไกล จุดหมายที่เดินทางมานานไม่รู้เท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่เพียงตอนนี้เห็นจุดหมายอยู่ข้างหน้า และหน้าที่ของผมก็มีเพียงแค่เดินไปให้ถึงที่นั่นเท่านั้น
ศิลปบริหารกรรม
หลังจากที่ชีวิตได้เล่าเรียนมาในหลายๆศาสตร์ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน จนมาถึงปัจจุบัน ผมได้พาตัวเองเข้าสู่หลักสูตรใหม่ หลักสูตรนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว และจะจบลงเมื่อกรรมเท่ากับศูนย์
ศิลปบริหารกรรม ผมได้คำนี้มาจากการคิดเล่นๆจากการได้เรียน ป.ตรี เกี่ยวกับศิลปะ ป.โท เกี่ยวกับบริหารการจัดการ และความรู้ทางศาสนาพุทธ ที่ได้ศึกษามาบ้าง จนรวมมาเป็น ศิลป + บริหาร + กรรม คำนี้คิดไว้นานแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้หยิบยกกันมาอีกที
ศิลปบริหารกรรม ( Art of karma management) มีความหมาย หรือนิยามที่ผมได้ให้ไว้เป็นส่วนตัว คือ ” การใช้ศิลปะในการบริหารจัดการ กรรมหรือผลของการกระทำที่เกิดขึ้น ” แน่นอนว่าคำว่าศิลปะนั้นมีความหมายมากกว่าความงาม อาจจะเป็นความพอดี ความเหมาะสม ก็ได้สำหรับผม
ในการบริหารกรรมที่ดีนั้น มีทั้งการจัดการหลากหลาย ถ้ามองเป็นขั้นตอนก็ต้นเหตุ ปลายเหตุ หรือความเป็นเหตุเป็นผลนั่นเอง ถ้าสามารถหยุดเหตุได้ ก็ไม่มีผล ไม่ว่าจะบริหารเหตุหรือผล สุดท้ายก็ต้องยอมรับกับผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆอยู่ดี
ศิลปบริหารกรรม
จึงกลายเป็นวิชาใหม่ที่ผมกำลังจะลงเรียนอย่างเต็มตัว ในมหาวิทยาลัยชีวิต วิชานี้สามารถเรียนได้ตั้งแต่เกิดจนตาย ตายจนเกิด แล้วก็เกิดไปจนตายใหม่ เรียนกันไม่จบไม่สิ้นกว่าจะผ่านได้ในวิชานี้ก็มี 4 เกรดด้วยกัน ซึ่งถ้าได้เกรดต่ำก็คงต้องไปเรียนใหม่อีกจนกว่าจะได้เกรดสูง สำหรับเกรดในวิชานี้คงไม่ใช่ A B C D หรือ F อย่างแน่นอน แต่เป็นระดับของจิตวิญญาณมากกว่า เดาๆกันเองนะครับว่าผมหมายถึงอะไร…
สวัสดี