คู่มือคนโสด
โสด ไม่เบียดเบียน
โสด ไม่เบียดเบียน
สัตว์โลกนั้นเบียดเบียนกันด้วยความอยากเป็นธรรมดา เพื่อที่เราจะเบียดเบียนกันได้อย่างสบายใจ เราจึงสร้างความลวงขึ้นมาบดบังความจริง ดังเช่นว่าการมีครอบครัวเป็นสุข เพื่อปิดบังความจริงที่ว่าการมีครอบครัวนั้นเบียดเบียน คับแคบ เป็นทุกข์ แต่ก็ต้องทำเพราะเหตุแห่งความอยากนั้นเอง
เมื่อเราอยากได้อยากเสพอะไรมากๆ เราจะพยายามหาข้อดีของมัน พยายามปั้นแต่งประโยชน์ต่างๆนาๆ เพื่อที่จะได้เสพสิ่งนั้นโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ซึ่งเป็นธรรมชาติของกิเลสที่จะสร้างความลวงให้คนหลงผิดติดยึดในสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตมากขึ้น
แท้จริงแล้วการมีครอบครัวนั้นคือความเบียดเบียน เป็นความคับแคบ เป็นบ่วงที่คล้องคอไว้ เป็นภาระของชีวิต แม้เราจะพยายามปั้นข้อดีมากมายของการมีครอบครัว แต่ความจริงก็คือความจริง ว่าการมีครอบครัวนั้นไม่สบายเท่าความเป็นโสด
เมื่อเราอยู่เป็นโสด เราก็ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนทรัพย์สิน ร่างกาย เวลา และจิตใจของใคร เราต่างอยู่เป็นอิสระในพื้นที่ที่เรามี ไม่ไปก้าวก่ายชีวิตใครโดยไม่จำเป็น
แต่เมื่อเรามีครอบครัว เราก็จำเป็นต้องเบียดเบียนทรัพย์สิน ร่างกาย เวลา และจิตใจของกันและกัน พากันเสพสุขตามกิเลสก็เป็นการพากันไปทางเสื่อม ทะเลาะเบาะแว้งกันก็เป็นการพากันทำชั่ว การมีครอบครัวจึงกลายเป็นเบียดเบียนกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งเรามักจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เมื่อถูกชี้โทษของการมีครอบครัวให้เห็นดังนี้แล้ว กิเลสข้างในก็ยังจะสามารถสร้างเหตุผลที่สวยงามและประโยชน์มากมายของการมีครอบครัวขึ้นมาได้ ทั้งหมดนั้นเพราะเรามีความอยาก คือตัณหา คือความแส่หา คือความใคร่อยากเสพ พออยากเสพสุขมากๆ แล้วมีคนมาบอกว่าสิ่งนั้นเป็นโทษเป็นภัย …ด้วยกำลังจิตที่น้อย ต่อต้านกิเลสไม่ไหวจึงไม่สามารถทำใจในใจพิจารณาตามให้ทันว่าเหตุเกิดแห่งความทุกข์นั้นคือที่ใด
เมื่อได้รับข้อมูลว่าการมีครอบครัวเป็นทุกข์ แทนที่จะพิจารณาไปถึงที่เกิดว่า “ความอยากของเรานี้สร้างทุกข์” แต่มักจะเห็นและเข้าใจว่า “การถูกห้ามไม่ให้มีครอบครัว และการถูกชี้โทษนี่แหละเป็นทุกข์” ซึ่งเป็นการมองปัญหาคนละจุด กรณีแรกคือการมองกิเลสเป็นปัญหา กรณีที่สองคือมองธรรมะเป็นปัญหา พอมองธรรมะเป็นสิ่งผิด สุดท้ายก็เลยจับมือกับกิเลส ถล่มธรรมะจนสิ้นซาก ตอกตะปู ปิดฝาโลง ฝังความเจริญในทันที
แค่มีความอยากก็เบียดเบียนตนเองด้วยความเห็นผิดมากพออยู่แล้ว การที่เราจะไปหาคนผู้โชคร้ายมาสนองความอยากของเรา มาสนองความเชื่อที่ผิดของเรา นั่นยิ่งเป็นการเบียดเบียนที่มากกว่า
น่าสงสารว่าที่คู่ครองที่ต้องมาแบกรับความอยากปริมาณมหาศาลของเรา เพราะแค่กิเลสของตัวเองก็มากมายพออยู่แล้ว ยังต้องมาบำรุงบำเรอกิเลสของกันและกันอีก นี่มันจะพาชั่วเบียดเบียนกันเข้าไปใหญ่
ดังนั้นการเป็นประพฤติตนให้เป็นโสดจึงเป็นสุขที่สุด เพราะไม่ต้องเบียดเบียนตนเองด้วยความเห็นผิด ไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกิเลสของเรา และไม่ไปสร้างตัวอย่างของความสุขที่หลอกลวงให้สังคมและโลกได้หลงผิดตามๆกันไปอีกด้วย
– – – – – – – – – – – – – – –
1.12.2558
หาก ว่า โสด ไม่ ไหว…
ผมพิมพ์บทความเกี่ยวกับโทษของการมีคู่ คุณของความโสดไว้หลากหลาย ซึ่งเนื้อหาส่วนมากนั้นก็ค่อนข้างหนัก
คือจะไม่ยอมให้เบี้ยวไปจากธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสเลย ซึ่งบางครั้งก็ทำให้บางคนรู้สึกอึดอัด กดดัน ทรมานกับการศึกษาบทความที่ได้เผยแผร่ออกไป
ถึงแม้สิ่งนั้นจะดี แต่กิเลสข้างในมันไม่ยอม มันเถียง มันแย้ง มันจะเอาให้ได้ ถึงขนาดพยายามตีความให้ตนเข้าใจว่าการมีคู่นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ก็มี
จริงๆมันก็ทำได้ ผมก็ไม่ได้ห้าม ถึงแม้จะเป็นคนที่ติดตามศึกษากันมานาน ถึงวันหนึ่งจะเปลี่ยนใจไปมีคู่ ผมก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไร
เพราะเข้าใจว่ามันยาก การประพฤติตนเป็นโสด นี่มันยากกว่าถือศีล ๕ เยอะเลยนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่คิดจะทำก็ทำได้ทันที โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาวที่มีองค์ประกอบพร้อมในการมีคู่ หน้าตาก็ดี เงินก็มี อนาคตก็สดใส การจะปฏิบัติตนให้เป็นโสดนี่มันสวนกระแสธรรมชาติมาก
ซึ่งถ้าพลังธรรมะในตนมันสู้พลังกิเลสไม่ได้ ก็จะทรมานมาก เหมือนเด็กที่เกาะก้อนหินท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว หากวันใดวันหนึ่งจะปล่อยมือแล้วลอยไปตามน้ำก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ก็คงต้องปล่อยให้ไปลองพิสูจน์กันดูว่าการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลสนั้นสุขจริงไหม ธรรมะดีจริงไหม ใช้ชีวิตพิสูจน์กันไปเลย เล่นจริง เจ็บจริงกันไป ใช้กรรมที่เกิดจากกิเลสกันอีกชาติ
เพราะถ้าหลุดไปนี่กลับมาโสดไม่ได้ง่ายๆหรอก ถ้าฟ้าเขาเปิดทางให้มาศึกษาธรรมะที่พาให้โสดอย่างเป็นสุขแล้วเวียนกลับไปมีคู่ แสดงว่าพลังกิเลสเรามากกว่าพลังของธรรมะ ก็ต้องไปศึกษาความทุกข์ที่เกิดจากกิเลสกันอีก นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถึงจะเกิดปัญญาเข้าใจก็ใช่ว่าจะหลุดกลับมาได้ง่ายๆ คู่ครองเขาอาจจะไม่ปล่อย ดีไม่ดีมีลูกอีกก็เรียกได้ว่ายาวไปเลย
พอมีคู่ครองมีครอบครัวโอกาสศึกษาธรรมะมันมีไม่เท่าคนโสดหรอก ภาระมันมาก วิบากมันเยอะ ปัญหามันก็แยะ ถ้าสามารถดำรงตนให้อยู่ในศีล ๕ ได้มันก็ทุกข์น้อยหน่อย แต่โดยมากก็จะมีโอกาสตกต่ำได้มากกว่า
ถ้าใครตกไปก็ค่อยๆปีนกลับมาใหม่แล้วกัน นรกมันร้อนอยู่นานไม่ไหวหรอก แต่อย่าลงไปจะดีกว่า ใครที่ยังโสดอยู่ก็พยายามประคองตนกันไปก่อน หาเพื่อนโสดช่วยกันเถียงกิเลสก็ได้ ถ้าไม่ไหวก็ลองมาถามไถ่กัน
….แต่ก็นะ นี่ก็ใกล้กลียุคแล้ว ใครเลี่ยงได้ก็เลี่ยง นี่มันยุคที่มีคนเลวมากกว่าคนดี ยากนักที่จะเจอคนดีแท้ เช่นเดียวกับเรื่องลูก ยากนักที่คนดีจะมาเกิด
มารมันก็มายั่วประจำนั่นแหละ ขาประจำมาทุกชาติ มายั่วให้เรารักให้เราหลง ปรนเปรอบำเรอ ดูแลกันเต็มที่ ลด แลก แจก แถมสุดๆ มีมาให้เลือกทุกโปรโมชั่น เพื่อขายสุขลวงแล้วฉุดให้เราลงนรกเหมือนเดิมนั่นแหละ
….เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว โสดกันอีกสักชาติจะเป็นอะไรไป
– – – – – – – – – – – – – – –
9.11.2558
บทความผมนี่มันไม่ค่อยเอาใจกิเลสเท่าไหร่นะ…
อย่างเรื่องคู่นี่ปิดช่องเลย หาข้อดีในการมีคู่ไม่ได้สักนิดหนึ่ง ไม่เว้นช่องให้กิเลสเลย
นี่ถ้าพิมพ์กันแบบ เนื้อคู่ต้องแบบนั้น รักแท้ต้องมีลักษณะแบบนี้ คู่กันได้แบบนั้นแบบนี้นี่ …สงสัยเพจนี้คงจะดังแบบชาวบ้านเขานะ 555
แต่ใจผมไม่เอาด้วยหรอกนะ ไปบอกคนเอื้อให้กิเลสเขามีช่องให้เสพนี่มันมีวิบากมาก ถ้าเขาหาช่องเองได้มันก็เรื่องของเขา กิเลสใครก็รับผิดชอบกันเอง แค่เราไม่ชี้โพรง(นรก) ให้กระรอกก็พอ
จริงๆผมก็แปลกใจอยู่นะ ที่ยังมีคนติดตาม ข้อความแต่ละบทที่พิมพ์ไปนี่ก็หนักๆทั้งนั้น แม้จะเป็นบทสั้นๆไม่กี่บรรทัดก็หนักในเนื้อหา เรียกว่าคนกิเลสหนาอ่านแล้วหนักใจ ตามไม่ไหวขอไปดีกว่า~
ซึ่งมันก็ดีกับตัวผมเหมือนกัน เอาคนฐานศีลสูง เอาคนมีบุญบารมีมากๆมาก่อนดีกว่า ไปเอื้อให้คนกิเลสหนามาก เดี๋ยวจะปวดหัวทีหลัง
ซึ่งอ่านจากความคิดเห็นก็มีทั้งผู้ที่มีประสบการณ์เจ็บแล้วจำ และผู้ที่ยังไม่เจ็บแต่ก็เรียนรู้ทุกข์ ไม่ว่าจะมีคู่ โสด หรืออกหักมา ถ้าสามารถเห็นทุกข์ เข้ามาศึกษาเหตุแห่งทุกข์ สู่การดับทุกข์ด้วยวิธีปฏิบัติที่มีเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลก็สามารถพ้นทุกข์กันได้
คนโสดเข้าใจความจริงก็สบายหน่อย คนคู่เข้าใจความจริงก็สบายเหมือนกัน แต่จะลำบากกว่าตรงต้องแบกคู่ไปด้วย แต่นั่นก็คงไม่สำคัญเท่าใครสามารถทำลายความหลงติดหลงยึดได้มากกว่ากัน
ผมมีประสบการณ์อยู่ชุดหนึ่งที่คิดว่ามีคุณค่าพอที่จะแบ่งปันโดยไม่อายใคร ใครสนใจก็ลองตามอ่านแล้วพิจารณาประโยชน์ตาม ลองทำความเห็นของตัวเองให้แนบเนียนสอดคล้องไปกับประสบการณ์ของผมดู และจะเห็นว่า สิ่งที่ทำให้มันเห็นตรงกันไม่ได้นั่นแหละ “กิเลส“