การปฏิบัติธรรม

จิตฟุ้งซ่านเพราะถูกกระตุ้น

September 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,260 views 0

ถาม : การที่เราได้ไปเจอเหตุการณ์ที่ทำให้หวนคิดถึงเรื่องเก่าๆที่เคยสุขหรือทุกข์ใจ เช่นเรื่องของแฟนเก่า ภาพในวันเก่า จนจิตฟุ้งไปกับอารมณ์นั้น ควรทำอย่างไร?

1.1.ถ้ามันฟุ้งซ่านคุมไม่อยู่ก็เปลี่ยนเรื่องไปทำอย่างอื่น ใช้อุบายกำหนดจิต หลอกจิตให้สงบไปก่อน

1.2.ถ้าไม่ถึงกับฟุ้งซ่านมาก ก็ให้ตามดูอาการที่เกิดขึ้น ดูว่ามีความทุกข์หรือสุขขนาดไหน เพราะอะไร

1.3.ค้นลึกต่อไปที่เหตุของสิ่งที่ทำให้เราสุขหรือทุกข์นั้นว่าเราไป หลงติดหลงยึดอะไรจึงทำให้เกิดอารมณ์เหล่านั้น

1.4.เมื่อเห็นเหตุเหล่านั้นให้ให้พิจารณาธรรมะ ที่ตรงกับเหตุนั้นเพื่อไปทำลายอธรรมที่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน

ถาม : ถ้าเราไม่ไปเจอเหตุการณ์เช่นนั้นเราก็ไม่ฟุ้ง เราควรหลีกเลี่ยงหรือไม่อย่างไร

2.1.ถ้าจิตไม่แกร่งพอจะทนไหว ก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อน ถึงจะต้องปะทะกันก็ควรจะรักษาระยะห่าง

2.2.ถ้าพอจะสู้ไหว อาการไม่ออกไปภายนอกก็ลองเข้าไปหาเหตุการณ์เหล่านั้น เพราะ “ผัสสะ” คือตัวที่จะชี้ให้เห็นว่า “เหตุแห่งทุกข์” อยู่ตรงไหน ไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีทางได้ปฏฺิบัติธรรม เพราะมีผัสสะจึงมีการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรหนีจากผัสสะ แต่ถ้าไม่ไหวก็วนกลับไปทำอย่างข้อ 2.1

2.3. ถ้าปฏิบัติถูกตรง จนทำให้กิเลสจางคลายได้จริง จะสามารถรู้ได้เองเมื่อเกิดผัสสะ ความสุขทุกข์ที่เคยมีจะเบาลง (ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้วันเวลาเยียวยา แต่หมายถึงปฏิบัติกันทั้งๆที่เกิดอาการแรงๆกันอยู่เมื่อวาน แล้ววันนี้ทำได้ดีขึ้น)

2.4. ถ้าทำลายกิเลสได้จริง จะเหลือแต่อาการไม่ทุกข์ไม่สุข (ไม่ใช่เพราะเบื่อแบบชาวบ้าน แต่เป็นเพราะทำลายความหลงติดหลงยึดด้วยปัญญา)

รักเพราะอะไร

September 12, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,963 views 0

รักเพราะอะไร

รักเพราะอะไร

ความหลงนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ ในทางกลับกันการรู้แจ้งในเหตุปัจจัยเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่จะพาให้คนเราหลุดพ้นจากทุกข์

การหลงอยู่ในความรักที่ไม่รู้ว่าหลงในอะไรนั้น ไม่สามารถทำให้คนพ้นจากทุกข์ไปได้ เช่นเดียวกันหากเรารู้แจ้งในทุกเหลี่ยมมุม ทุกมิติของความรักนั้น เราก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์เหล่านั้นได้

การที่เราพยายามศึกษาในเหตุปัจจัยของความรักเหล่านั้นจนรู้แจ้ง จะส่งผลให้เราไม่พลั้งเผลอปล่อยใจไปกับความรักที่หลอกลวง แถมยังสามารถดึงตัวเองออกจากความทุกข์ได้อีกด้วย สามารถใช้ได้ทั้งในการป้องกันและการแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับภาษิตที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งหมดร้อยครั้ง

รักของฉันคืออะไร

เมื่อเกิดความรู้สึกรักขึ้น แทนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงไปตามความรักด้วยนิยามที่สวยหรู เราควรกลับมาพิจารณาดูว่าเราเกิดความรู้สึกรักหรือชอบใจขึ้นได้อย่างไร เขามีอะไรดีเราจึงเกิดความรัก เขาหน้าตาดี เขาปากหวาน เขามีน้ำใจ เขามีฐานะ เขาเข้าใจและรับฟัง เขาเป็นคนดี ฯลฯ ซึ่งปัจจัยทั้งหลายนี้ต้องถูกชำแหละออกมาเป็นส่วนๆให้ชัดเจน

ตามธรรมชาติของความหลง เราย่อมไม่ยินดีที่จะพิจารณาหาเหตุแห่งความรัก เพราะถ้าค้นไปแล้วมันก็มักจะรักไม่ลง ดังนั้นจึงไม่ค้นดีกว่า จะได้รักกันต่อไป ยอมหลงกันต่อไป

แต่ถ้าเราได้พยายามต่อสู้กับความหลงมาในระดับหนึ่งจนยอมพิจารณาเหตุแห่งความรักนั้นแล้ว เราก็จะได้ข้อดีของคนที่เราหลงรักมา เราก็เอาข้อดีนั้นแหละมามองตามความเป็นจริงว่า ถ้าคนอื่นเขามาทำดีกับเราแบบนี้ เราจะไปรักคนอื่นไหม ถ้าใช่แสดงว่าค้นหาเหตุแห่งรักเจอแล้ว เพราะถ้าเหตุของรักมันใช่สิ่งนั้นจริงมันต้องรักทุกคนที่ทำสิ่งนั้นให้กับเรา แต่ถ้ายังไม่ใช่ ก็ต้องค้นหาต่อไปว่าทำไมคนนี้จึงต่างจากคนอื่น ทำไมเราจึงรักคนนี้ ไม่รักคนอื่นทั้งๆที่มีคุณสมบัติเท่ากัน

เมื่อหาเหตุแห่งความรักได้จนถึงรากแล้ว ก็ค่อยพิจารณาธรรมไปตามความจริง หากเรายังหลงเสพในสิ่งนั้นอยู่ จะสร้างโทษภัยให้ชีวิตอย่างไร มันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์อย่างไร มันมีตัวตนอยู่จริงไหม ถ้าเราไม่หลงจะเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตบ้าง ก็เพียรพิจารณาความจริงกันไปเรื่อยๆ ให้ความหลงได้จางคลายโดยลำดับ

เขารักอะไรในตัวฉัน

เช่นเดียวกันกับการตรวจสอบเหตุแห่งความรักของตัวเอง เรายังสามารถใช้วิธีนี้สังเกตผู้อื่นได้อีกด้วย ว่าเขามารักอะไรในตัวเรา เรากำลังนำเสนออะไร จุดขายของเราคืออะไร รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ หรือเงินทองของเรา เราลองตัดปัจจัยดูทีละตัวสิ เช่นไม่แต่งหน้าแต่งตา ลองปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้น มีมารยาทมากขึ้น หวงเนื้อหวงตัวมากขึ้น ลองทำตัวประหยัดขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่เราคิดว่าเขาจะมาหลงเราในจุดนั้น เขาหลงในอะไร เราก็ทำให้มันเจริญขึ้นด้วยศีล เพราะอย่างน้อยๆศีลจะกันคนไม่ดีออกจากชีวิตได้

แม้ว่าเราจะตั้งศีลที่สูง เช่น กินมังสวิรัติ กินมื้อเดียว ไม่แต่งตัวแต่งหน้า ไม่สมสู่ ไม่สะสม ไม่ฟุ่มเฟือย ทำทานเป็นประจำ ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เสพสิ่งไร้สาระ เข้าวัดฟังธรรม ถือศีลทำสิ่งดีเท่าที่กำลังของเราจะพอทำได้ ถ้าเขารักเราจริง เขาก็ควรจะรักที่เราเป็นคนดี ไม่ใช่รักเพราะเราหน้าตาดีมีฐานะ ไม่ใช่รักเราที่เปลือกหรือองค์ประกอบภายนอกของเรา

ฉันจะปล่อยวางความรักอย่างไร

การจะปล่อยวางได้นั้น ต้องรู้เสียก่อนว่าเรากำลังถืออะไรอยู่ ถ้าไม่รู้ว่าความรักของเรานั้นคืออะไร มันไปติดใจอะไร มันไปเสพสุขตรงไหน ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยวางความหลงหรือความรักเหล่านั้นได้เลย

การปล่อยวางไม่สามารถทำได้เพียงแค่คิดเอา กำหนดจิตเอา หรือทำเป็นลืมไปอย่างนั้น เราจะปล่อยวางได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่าเหตุแห่งการยึดมั่นถือมั่นนั้นคืออะไร แล้วทำลายเหตุเหล่านั้นด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ว่าการยึดในสิ่งเหล่านั้นเป็นทุกข์โทษภัยผลเสียอย่างไร การปล่อยวางจึงเป็นสภาพผลที่เกิดขึ้นจากการชำระเหตุแห่งทุกข์ที่ถูกตัวถูกตนด้วยปัญญาที่ทรงพลังมากกว่ากิเลส

เมื่อไม่เหลือเหตุที่จะต้องเข้าไปยึดมั่น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบกความทุกข์เหล่านั้นไว้ และปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยให้กิเลสออกไปจากความรัก สุดท้ายแล้วความรักนั้นยังจะคงอยู่ มีเพียงแค่กิเลสที่หายไป ความรักที่ปราศจากกิเลสนั้นงดงามจนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบ มันไม่มีการยึดมั่น ไม่มีการครอบครอง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตน

– – – – – – – – – – – – – – –

11.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

การปฏิบัติธรรม ตามธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ

September 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,393 views 0


การปฏิบัติธรรม ตามธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ

ในวีดีโอที่แนบมานั้น เป็นเรื่องราวของกิ้งกือกระสุนที่เดินผ่านเส้นทางของฝูงมด เป็นความบังเอิญตามธรรมชาติที่ไม่ได้จัดฉากหรือบังคับชีวิตใด ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

เราจะเห็นได้ว่าเมื่อกิ้งกือกระสุนถูกมดรังควาน มันก็จะม้วนตัวมันให้กลม มีเปลือกเป็นเกราะ ทำให้มดไม่สามารถเข้ามากัดได้ แต่นั่นอาจจะหมายถึงมดตัวเล็ก ถ้ามดตัวใหญ่นั้นเดินผ่านมาและสนใจกิ้งกือกระสุนล่ะ มันจะทำอย่างไร? มดตัวใหญ่นั้นสามารถกัดถุงพลาสติกเหนียวๆให้ขาดได้ ถ้ามันเข้ามารุมกัดกิ้งกือกระสุนล่ะ จะเป็นอย่างไร?

กลับมาที่เรื่องการปฏิบัติธรรม…

ถ้าฝูงมดคือสิ่งที่จะเข้ามากระตุ้นกิเลส และกิ้งกือกระสุนคือตัวเรา เมื่อเราได้กระทบกับสิ่งกระตุ้นกิเลส เราก็สามารถใช้ความอดทน ใช้สติ ใช้กำลังของจิตกดข่มอาการได้สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ที่จะต่อต้านสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรด้วยกำลังเท่าที่ตนมี

แต่ถ้ามีการกระตุ้นกิเลสที่มากขึ้นล่ะ ถ้ามีมดตัวใหญ่เข้ามา กิ้งกือกระสุนตัวนั้นจะทำอย่างไร มันก็คงจะถูกมดยักษ์ค่อยๆกัดจนตาย เพราะไม่สามารถต้านทานพลังของมดได้ เช่นเดียวกับที่คนส่วนมากไม่สามารถต้านทานพลังของการยั่วกิเลสที่มีพลังเกินกว่าสติของตนได้

เราอาจจะสามารถฝึกจิตให้แข็งแกร่งได้ ให้มีสติรู้เท่าทันกิเลสได้ เหมือนกับกิ้งกือกระสุนที่พัฒนาตัวเองให้โตขึ้นและมีเปลือกที่หนาขึ้นได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงวิธีปฏิบัติที่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามวิถีของโลก ซึ่งนักปฏิบัติธรรมสำนักไหน ศาสนาใดก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้ายกฤๅษีขึ้นมาก็จะเห็นภาพได้ชัด

ฤๅษีนั้นสงบนิ่ง เว้นขาดจากการบริโภคกาม น่าเคารพ น่าเลื่อมใส เหมือนกับกิ้งกือกระสุนที่สามารถป้องกันมดกัดได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั่นก็เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการป้องกันและไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในโลกนี้

หลักการปฏิบัติของพุทธนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่ป้องกันเท่านั้น ในทางจิตนั้นพุทธก็จะมุ่งพัฒนา แต่จะต่างกันตรงที่มีเป้าหมายคือการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

การหลุดพ้นของพุทธไม่ใช่การปล่อยให้กิเลสเข้ามาและยอมรับมัน ไม่ใช่กิ้งกือกระสุนที่เดินฝ่าดงมด และปล่อยให้ตนโดนมดกันโดยทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ใช่เพียงแค่มีความสามารถอดทนและปล่อยวางความเจ็บปวดได้ ไม่ใช่ผู้ที่ทำเหมือนปล่อยวางแต่ตัวยังจมอยู่กับกิเลส

การหลุดพ้นของพุทธนั้นคือหลุดพ้นจากกิเลส ลองนึกภาพกิ้งกือกระสุนที่เดินผ่าดงมด แต่มดไม่สนใจ เหมือนอยู่กันคนละมิติ ถึงจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกันแต่ก็จะเดินผ่านกันไปโดยที่ไม่แตะต้องกัน ถึงจะเผลอไปแตะต้องแต่ก็ไม่ไปเกี่ยวกัน ไม่เป็นของกันและกัน นั่นเพราะผู้ที่ล้างกิเลสจนหมดตัวหมดตน การยั่วกิเลสใดๆย่อมไม่สามารถทำให้ผู้ที่หลุดพ้นไปข้องเกี่ยวได้

ดังนั้นการผลการปฏิบัติธรรมแบบพุทธจึงเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก ไม่อยู่ในวิสัยของโลก รู้ได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติได้จริง เดาเอาก็ไม่ได้ คิดคำนวณยังไงก็ไม่มีวันถูก แม้มันจะเป็นเรื่องที่มีเหตุผล แต่ก็ไม่สามารถใช้ตรรกะใดๆมาอธิบายได้

จะเป็นไปได้อย่างไรที่กิ้งกือกระสุนจะเดินอยู่บนเส้นทางของฝูงมดที่หิวโหยโดยไม่โดนมดรุมทึ้ง อย่างเก่งก็แค่ม้วนตัวขดเป็นก้อนกลม ป้องกันมดกัด หรือรอเวลาที่มดเดินไปจนหมด ไม่มีทางหรอกที่จะเดินไปพร้อมๆกับมดโดยที่มดไม่กัด ธรรมชาติของมดย่อมกัดเป็นธรรมดา นั่นหมายถึงมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาตินั่นเอง

การที่เราจะสามารถต้านทานกิเลสด้วยกำลังของจิตนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ควรศึกษาและปฏิบัติให้มีผลยิ่งขึ้น แต่การจะรู้และมั่นใจว่ากิเลสจะไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกต่อไป หรือที่เรียกกันว่าหลุดพ้นจากกิเลสนั้น คือสภาพที่สามารถปล่อยให้ผัสสะเข้ามากระทบได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดข่ม แม้จะปล่อยให้สิ่งที่เคยติดเคยยึด เคยชอบเคยชังเข้ามากระทบอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่มีผล แม้ไม่มีการป้องกันใดๆเลยก็ไม่มีผล แม้จะปล่อยให้เข้ามาปะทะโดยไม่เตรียมตัวเตรียมใจใดๆก็ไม่มีผล

นั่นเพราะไม่มีกิเลสซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลในจิตใจอีกต่อไป เมื่อไม่มีกิเลส แม้จะมีผัสสะก็ไม่มีผลอะไร เหมือนกับกิ้งกือกระสุนที่แม้จะมีฝูงมดอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ต่างกับคนที่มีกิเลส เมื่อหลงเข้าไปในฝูงมดย่อมจะต้องป้องกัน หากไม่ป้องกันก็ต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมานจากความอยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งกระตุ้นและยั่วยวนกิเลสเหล่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

7.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มารมาทำอย่างไร?

September 5, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,322 views 0

มีคนถามว่า เมื่อมีจิตคิดไม่ดี จนกระทั่งพูดไม่ดีออกไป กลายเป็นมารร้ายต้องทำอย่างไร? ต้องเพิ่มสติใช่ไหม?

ผมก็ตอบว่า : ศีลเอาไว้กำหนดขอบเขตในการละเว้นสิ่งชั่ว สติเอาไว้ให้รู้ตัวไม่หลุดไปทำชั่ว ปัญญาเอาไว้ทำลายมาร

1).ต้องกำหนดศีลก่อนว่าเราจะละเว้นเท่าไหร่ ถ้าแค่ไม่หลุดปากก็ระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่คิดชั่วเลยก็อีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะมีความยากง่ายต่างกัน

2).เช่นเดียวกันเมื่อตั้งศีลต่าง ระดับสติที่ต้องใช้ก็ต้องต่างกัน ถ้าแค่ไม่หลุดปากก็ใช้สติประมาณหนึ่ง แต่ถ้าไม่คิดชั่วเลยต้องมีกำลังสติมากกว่านั้นมาก

3).ส่วนปัญญานั้นก็ต้องสร้างขึ้นมา ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เราจึงต้องเพียรพิจารณาความจริงตามความเป็นจริง โทษภัยผลเสียของมารนั้น ข้อดีของการหลุดพ้นจากมารนั้น กรรมทั้งหลายของการเป็นทาสมารนั้น และความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น หลักพิจารณาเหล่านี้เป็นข้อพิจารณาให้เกิดปัญญา

นี้คือการปฏิบัติไตรสิกขาที่จะเจริญไปเป็นรอบๆ เพิ่มศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นไปโดยลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้นในทันที (การปฏิบัติอย่างพุทธไม่มีบังเอิญ ต้องสร้างเหตุเอาเอง ไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล)