เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?
เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?
ปัญหา: คู่รักหลายคู่ที่แต่งงานมีลูกด้วยกันแล้วเกิดมีปัญหาถึงขั้นหย่าร้าง ต่อมาฝ่ายที่ขอหย่าก็ไปมีครอบครัวใหม่ แต่สุดท้ายอยู่กินกับคนใหม่ได้ไม่นานก็อยากจะกลับมาสู่ครอบครัวเดิม อยากให้ช่วยไขประเด็นทางธรรม
ตอบ: ในเรื่องนี้จะแสดงความคิดเห็นโดยแบ่งเป็นสามช่วงนะครับ ช่วงแรกคือการแต่งงานมีลูกด้วยกัน ช่วงที่สองคือหย่าร้าง ช่วงที่สามคือคนขอหย่าไปมีครอบครัวใหม่และสุดท้ายก็อยากจะกลับมา
1). คนที่เขาหลงรักกัน ขนาดถึงขั้นที่ว่าจะแต่งงานกันให้ได้ นี่เป็นผลของกิเลสที่สะสมมาจนโต มองเห็นแต่ข้อดีของอีกฝ่าย ไม่เห็นข้อเสียเลย จึงพร้อมที่จะยึดมั่นถือมั่น ผูกพันกันและกัน ต่างคนต่างให้สัญญาว่าจะรักและดูแลกันตลอดไป จนกระทั่งมีลูกด้วยเหตุอันใดก็ตาม อาจจะใช้เป็นหลักประกันของครอบครัว อาจจะมีความหลงในการมีลูก หรืออื่นๆ เมื่อมีลูกเกิดขึ้นมา หลายครอบครัวก็มักจะเริ่มแกว่ง เริ่มไม่มั่นคง เริ่มมีปัญหา เพราะบางครั้งคนที่แต่งงานก็เพราะรักและหลงในอีกฝ่าย แต่ไม่ได้หลงในลูกที่เกิดมา
ซึ่งโดยหน้าที่แล้วฝ่ายภรรยาก็ต้องแบ่งน้ำหนักความรักจากสามีมาลงที่ลูก ต้องใส่ใจลูกมากขึ้น ในขณะที่สามีได้รับเวลาและการดูแลลดน้อยลง ถ้าสามีรักและหลงลูกด้วยก็มักจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าสามีเป็นคนหลงตัวเอง อยากให้คนอื่นมาดูแลตัวเอง พอภรรยามีลูกก็มักจะบกพร่องในหน้าที่บางประการ จึงทำให้สามีบางคนนั้นไม่พอใจ เกิดความทุกข์ เพราะไม่ได้เสพในสิ่งที่ตนอยากจะเสพ (คำว่าเสพในที่นี้มีความหมายกว้างตั้งแต่ต้องการดูแลเอาใจใส่ การยิ้มให้ การแต่งตัวให้ดูดี การพูดคำหวาน จนไปถึงเรื่องการสมสู่) มักจะเกิดกับคนที่หลงในตัวของภรรยามากๆ อยากได้อยากเสพภรรยา จนไม่อยากให้ใครหรือแม้แต่ลูกแย่งโอกาสนี้ไป
ซึ่งในกรณีนี้ก็เกิดขึ้นได้กับผู้ชายเช่นกัน บางครั้งผู้ชายอยากมีลูกมากกว่าอยากมีภรรยา เมื่อมีลูกจึงให้น้ำหนักไปที่ลูกมากกว่า รักและดูแลลูกมากกว่าจนเป็นเหตุให้ภรรยาน้อยใจได้
2). ปัญหาในครอบครัวถึงขั้นหย่าร้างนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เรื่องเล็กจนไปถึงเรื่องใหญ่ แต่สาระของปัญหาเหล่านั้นเกิดจากความไม่ยอมกัน การเอาชนะ การยึดชั่วและยึดดีทั้งหลาย รวมๆแล้วก็เรียกว่าเกิดจากกิเลส
ในตอนแรกคนสองคนมาอยู่ด้วยกัน อยากเสพกันและกันก็มักจะดูแลเอาใจใส่เพื่อให้ได้เสพ ซึ่งพอเสพกันบ่อยครั้งเข้าก็มักจะเริ่มเบื่อ เริ่มเคยชินกับสิ่งที่เคยรักเคยหลง ซึ่งการดูแลเอาใจก็มักจะเสื่อมไปตามธรรมชาติเมื่อได้เสพจนเบื่อ และเรื่องเหล่านี้เป็นสภาวะที่เกิดโดยทั่วไป ไม่ต้องปฏิบัติธรรมก็ได้
เมื่อความอยากเอาใจหมดไป ในขณะที่ความคาดหวังที่จะได้รับการเอาใจกลับเพิ่มมากขึ้น ไม่มีคู่รักคู่ไหนที่ตั้งใจแต่งงานกันโดยที่คิดว่ารักนั้นจะเสื่อมลงหลังจากแต่งงาน มีแต่คนที่คิดว่าจะได้รัก ได้เสพ ได้สุขมากขึ้นถ้าเขาและเธอแต่งงาน ด้วยเหตุผลนั้นจึงเกิดการแต่งงานขึ้นมา
ดังนั้นเมื่อความอยากเสพได้จางคลายไป พฤติกรรมทั้งหลายที่เคยสร้างเพื่อให้ได้เสพ เช่น คำหวาน ของขวัญ การดูแลเอาใจใส่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำเหมือนเดิมอีกต่อไป จึงเกิดสภาพของการเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนสมัยจีบกันหรือแต่งงานกันใหม่ๆ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายเข้าใจและทำใจยอมรับได้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ายังมีใครที่ติดสุขอยู่ ยังอยากเสพสุขอยู่ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะสนองให้อีกต่อไป นั่นคือเหตุหนึ่งของความขุ่นเขืองใจในครอบครัว
ซึ่งสามารถพัฒนาให้รุนแรงลุกลามขึ้นไปได้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดไม่พอใจในการได้รับการสนองกิเลส ก็อาจจะไปแสวงหาสิ่งใหม่มาเสพ หรือไม่ยินดีทนอยู่กับสภาพที่ไม่ได้เสพสมใจ จึงเกิดการทะเลาะหรือหย่าร้างขึ้น
3). เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังคงมีความอยากเสพ ยังคงแสวงหา เขาก็จะพยายามหาสิ่งที่เขาต้องการมาเสพ ซึ่งอาจจะเป็นคนรักใหม่ ชู้รัก หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม ที่จะมาทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป ในโจทย์นี้ก็จะเป็นแต่งงานใหม่ ซึ่งการแต่งงานก็จะวนไปเช่นเดียวกับข้อหนึ่ง คือหวังว่าตนเองจะได้เสพสุข จะมีคนมาคอยสนองกิเลส
แต่เมื่อแต่งงานไปก็พบว่ามันไม่ได้สุขอย่างใจฝัน มันไม่ได้เสพอย่างที่คาดหวังไว้ จึงเกิดการเปรียบเทียบว่าเสพอันไหนจะสุขกว่า อยู่กับคนเก่าหรือคนใหม่ฉันจะเป็นสุขกว่า เมื่อตกลงใจได้ว่าของเก่าดีกว่า จึงอยากจะกลับไปเสพของเก่า เพราะในสภาพที่เป็นอยู่นั้นคือสภาพที่ทุกข์กว่าเก่า อาจเพราะไม่ได้เสพสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างที่คิดฝันไว้และยังเข้าใจว่ามีทางเลือกที่ดีกว่านั่นคือเลิกกับคนใหม่แล้วกลับไปหาคนเก่า
เพราะได้จำไว้ว่าคู่ครองคนเก่าดูแลเท่านี้ สมมุติว่า ดี 5 เสีย 3 ส่วนต่างอยู่ที่ +2 แต่คนใหม่ดี 7 เสีย 8 ส่วนต่างอยู่ที่ -1 แม้ตอนแรกจะดูเหมือนคนใหม่ดี แต่ไปๆมาๆกลับขาดทุน เป็นทุกข์ เมื่อเกิดสภาพดังนั้นจึงเข้ากับคำเปรียบเปรยที่ว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” เพราะแม้จะสุขน้อยแต่ก็ยังมีสุขให้ได้เสพบ้าง ไม่เหมือนกับคนใหม่ที่มีแต่ทุกข์
ทีนี้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม เมื่อเขากลับมาอีกฝ่ายจะยอมรับไหม ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดี เขาออกจากชีวิตเราไปตั้งแต่ครั้งก่อนนั้นก็ได้ใช้เวรใช้กรรมกันไปแล้ว ไม่ต้องผูกพันกันแล้ว การกระทำของคนที่ออกจากชีวิตไปแล้วมีคนใหม่นั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าเขายังเสพไม่พอ และการที่เขากลับมานั่นก็หมายถึงแม้เขาจะได้เสพคนใหม่ เขาก็ยังสุขไม่พอ จึงต้องกลับมาหาเรา การที่เขากลับมานี่อาจจะเพราะเขาไม่มีอะไรให้เสพหรือสำนึกผิดก็ไม่มีใครรู้ แต่โดยมากแล้วก็จะแสดงบทสำนึกผิดกันเป็นหลักไว้ก่อน เพราะคนอยากเสพก็ต้องป้อนคำหวาน คำสัญญา เหมือนในสมัยจีบกันก่อนแต่งงาน
คนที่ปลดบ่วงกรรมไปแล้ว เอาคนไม่ดีออกจากชีวิตไปได้แล้ว แต่กลับเลือกคนที่เคยทำร้าย คนที่เคยทิ้งไปเข้ามาในชีวิตใหม่ ก็ต้องยอมรับกรรมกันไป เพราะว่ากิเลสของเรานั้นยังเยอะ เราอาจจะยังอยากเสพเขาอยู่ จึงรับเขากลับเข้ามาในชีวิต ให้เขาได้เข้ามาทำร้ายร่างกายและจิตใจเราอีกครั้ง ให้เข้าได้เข้ามาทำบาป สร้างเวรสร้างกรรมกับเราอีกครั้ง ให้เข้าได้เข้ามาผูกภพผูกชาติกับเราอีกครั้ง ดังนั้นการเสียใจและความผิดหวังก็คงต้องดำเนินต่อไป เพราะได้ผูกกรรมใหม่ขึ้นมาแล้ว
การที่อดีตคู่รักจะกลับมาในชีวิตนั้น ถ้าจิตไม่แข็งแกร่งก็ไม่ควรจะอยู่ใกล้ ควรมีระยะที่เหมาะสม ถ้ามีลูกก็ให้ดูแลไปตามหน้าที่ แต่อย่าให้เข้ามาใกล้จนความสัมพันธ์นั้นเกินเลยไปกว่าเพื่อน เพราะคนที่เคยเลิกกันไปแล้ว จะทำตัวให้เหมือนเดิมก็ไม่ควร เพราะถ้าเขาเป็นคนดีมีศีลธรรมจริง ก็คงจะไม่มีคำว่า “อดีตคู่รัก” คงยอมอดทน ยอมให้อภัย ยอมทำใจ แล้วรักษาความสัมพันธ์กันไปแม้ว่าใจนั้นจะไม่อยากเสพแล้วก็ตาม ด้วยสัญญา ด้วยหน้าที่ ด้วยสัจจะ จึงจะต้องยอมทนอยู่ ดังคำว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์” (นัยหนึ่งของศีลข้อ ๔) หมายถึงว่า แม้จะหลงมาแต่งงานแล้วพบว่านั่นคือนรกแท้ๆก็จะไม่หนีไปจากนรกนั้น ยอมรับสภาพ ยอมรักษาสัจจะ รักษาคำมั่นสัญญา ดีกว่าจะยอมหนีทุกข์ไปเสพสุขลวงใหม่ ซึ่งจะสร้างกรรมชั่วใหม่ที่จะต้องมาคอยรับผลเก่าสร้างเหตุใหม่ให้วนเวียนทุกข์กันอย่างไม่จบไม่สิ้น
– – – – – – – – – – – – – – –
17.8.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)