Tag: อกหัก
เกลียดความรัก
greasy cafe – สิ่งเหล่านี้
เกลียดความรัก…
เพลงนี้อธิบายสภาพของอัตตา รักดี เกลียดชั่วได้ดี เป็นมุมมองของคนที่ผิดหวังที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคม
“แต่เราต่างเกิดมา เพื่อให้คนคนหนึ่ง ทำร้ายและกลืนชีวิตเราไป” ท่อนนี้ของเพลงแสดงสภาพอกหักผิดหวัง มองโลกติดลบอย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆแล้วเรานั่นแหละที่เกิดมาเพื่อทำร้ายและกลืนชีวิตตัวเองและผู้อื่นด้วยความอยากได้อยากมีของเรา พอไปมีแล้วไม่ดีดันไปโทษคนอื่นอีก โยนบาปไปเรื่อยเลย….
คนโสดแบบนี้มีเยอะ แต่ก็ไม่เรียกว่าโสดอย่างเป็นสุขหรอก เพราะจิตใจสุมไปด้วยไฟแค้น ความรังเกียจ อาการผลักต่างๆ กิเลสยังมีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ แล้วยังมีความยึดดีเพิ่มด้วย สภาพจะออกมาดูแข็งๆ โสดแบบขุ่นๆ
แต่การจะออกจากการมีคู่แบบนี้ง่ายนะ ออกด้วยอัตตา เอาอัตตาไปล้างกามนี่แหละ แล้วค่อยล้างอัตตาอีกที จะมารักๆกันอยู่แล้วหลุดพ้นด้วยทุกข์นิดหน่อยนี่ไม่ง่าย สมัยนี้หายาก ยุคนี้มันต้องเจ็บกันแรงๆ โดนกันหนักๆ ถึงจะเข็ด
ยังหาเพลงสมัยนี้ที่ไม่รักไม่เกลียดไม่ได้สักที~
อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์
อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์ : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงแก้ไปถึงเหตุแห่งทุกข์
ความทุกข์ที่เกิดจากความรัก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนส่วนหนึ่งหันเข้าหาศาสนา เพื่อที่จะคลายทุกข์เหล่านั้น พวกเขาจึงเลือกธรรมะมาใช้เป็นเครื่องมือกำจัดทุกข์
แต่กระนั้นคนที่ทุกข์จากความรักส่วนมาก ไม่ได้ต้องการที่จะดับทุกข์ให้หมดสิ้น เขาเพียงแค่ต้องการให้ทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่นั้นได้จางคลายลง เปรียบเหมือนคนที่โดนปืนยิง แต่ไม่ต้องการผ่าเอาหัวกระสุนที่ฝังในออก เพียงแค่ต้องการให้รักษาทั่วไปแล้วเย็บแผลให้ดูหายเป็นปกติ นั่นหมายถึงเขาไม่ได้ต้องการแก้ปัญหาทั้งหมดของความรัก เพียงแค่ต้องการแก้ทุกข์เท่าที่เป็นอยู่เท่านั้น
เขาเหล่านั้นเป็นทุกข์ แต่กลับไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็น “ความอยาก” ว่าเป็นความทุกข์ ไม่เห็นหัวกระสุนที่ฝังในอยู่นั้นคือปัญหา และเขาก็ไม่ได้อยากจะเห็นทุกข์ ไม่ได้อยากเห็นธรรม เขาแค่เพียงไม่อยากเป็นทุกข์ อยากจะหลุดพ้นจากทุกข์ในขณะนั้น โดยไม่ได้ต้องการทำลายเหตุแห่งทุกข์
ซึ่งทุกข์จากความรักเหล่านี้แท้จริงแล้ว ก็เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลส มันมีเหตุ และสามารถดับเหตุของมันได้ จึงเป็นทุกข์ที่เลี่ยงได้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกข์เช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิต
หาธรรม ให้ช้ำคลาย
การเข้าหาธรรม ด้วยความบีบคั้นของทุกข์จากความรักนั้น เกิดจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ว่าถ้าเข้ามาหาธรรมแล้วใจจะสงบขึ้น มีปัญญาขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้ว ทุกข์เหล่านั้นสามารถดับลงไปเองได้แม้จะไม่ได้ทำอะไรกับมัน ตามวงจรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่การดับเช่นนี้เป็นลักษณะทั่วไปของโลก เป็นสามัญ แต่เมื่อดับแล้วก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ เพราะเหตุยังไม่ดับนั่นเอง
คนทั่วไปมักจะใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องเพื่อช่วยในการออกจากความทุกข์ การใช้ธรรมะก็เช่นกัน เราสามารถนั่งสมาธิ เดินจงกรม เพื่อหยุดความฟุ้งซ่าน หรือถ้าแบบทั่วๆไป ก็ออกไปเที่ยว หากิจกรรมทำ หางานทำให้เรื่องมันเปลี่ยนจะได้ลืมๆความทุกข์ไป วิธีเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในลักษณะของ “สมถะ” คือการใช้อุบายเข้ามาบริหารจิต ให้เกิดความจางคลายจากสภาพหนึ่งๆ
การใช้ธรรมะเป็นทางเลือกก็เป็นโอกาสที่ดีที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เดินเข้ามาศึกษาธรรมะ ซึ่งก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ตามขอบเขตของผู้ที่ต้องการศึกษา หรือจะใช้ธรรมะแค่คลายทุกข์ไปวันๆก็ตามแต่จะประสงค์
หาหมอ แต่ไม่ยอมรักษา
คนที่เลือกใช้ศาสนา ใช้ธรรมะในการคลายทุกข์จากความรัก น้อยคนนักที่จะยอมรักษาให้ถึงเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนมากก็ขอแค่ให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นคลาย พออาการดีขึ้นก็รีบหนีออกจากความดูแลของหมอ(ผู้ผ่าตัดกิเลส) ไปเสพสุขในโลกต่อ เหมือนกับคนที่รักษาโรคแบบขอไปที หรือคนที่อาบน้ำกลัวเปียก
ในกรณีที่ใจป่วยรักษายังไงก็ไม่หาย อาจเพราะไม่กินยา(ไม่ปฏิบัติตาม) ทุกข์จึงไม่หาย บางทีกินยาผิด ไม่ตรงตามที่แนะนำ หรือเข้าใจผิดก็ทำให้ทุกข์ไม่หายไปอีก หรือที่ซวยกว่านั้นคือไปหาหมอผิด เช่น ท่านเหล่านั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติสู่การดับทุกข์ แต่หลงเข้าใจไปว่าตนเองนั้นสามารถดับทุกข์ได้ เป็นอาจารย์หมอขั้นนั้นขั้นนี้ แล้วก็ออกมารักษาคน หายบ้างไม่หายบ้าง แต่ที่แน่ๆคือไม่มีวันหายอย่างถาวร และทุกข์จากความรักเช่นนี้ แม้ไม่รักษามันก็จะหายไปเอง ตามธรรมชาติ อาจจะทำให้หลงเข้าใจผิดว่ามันหายไปก็ได้…แต่ถ้ารักษาผิด ไม่ทำลายถึงเหตุแห่งทุกข์สักวันมันก็จะเกิดขึ้นมาใหม่
แท้จริงแล้วการที่คนเราไม่ยอมศึกษาให้ถึงเหตุแห่งทุกข์นั้นเกิดจากความหลง มันหลงในกิเลสจนหวงกิเลส รักกิเลส เสียดายกิเลส กลัวว่าจะมีคนมาล้วงลึก มาทำลายกิเลสของตัวเอง ไม่ยอมเผยธาตุแท้ของกิเลสให้ใครเห็นแม้แต่ตัวเอง เรียกว่ารักกิเลสมากกว่ารักธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่โดนกิเลสปั่นหัวจนหลงมัวเมา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
หมอที่ตาดีบางท่านเขาก็สังเกตเห็นอาการกิเลสกันได้ตามบารมีที่สะสมมา แต่การจะไปทัก หรือจะเข้าไปรักษานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ว่าเขาอยากจะให้รักษาไหม เขาอยากให้แนะนำไหม เขายังหวงกิเลส เขายังผลักไสธรรมะอยู่ไหม ถ้ายัง…ก็ต้องปล่อยเขาไปก่อน ไว้วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่งเขาเห็นทุกข์จนอยากทำลายเหตุแห่งทุกข์นั้นแล้วค่อยมาว่ากัน
ช้ำรัก แต่ไม่หยุดรัก
พอไม่ได้แก้ปัญหาที่เหตุ ไปแก้ที่ผล ไปดับทุกข์กันแต่ที่ผล พอความทุกข์นั้นจางลงไป แต่ความใคร่อยากไม่ได้ลด กิเลสไม่ได้ลดลง สุดท้ายก็จะเวียนกลับไปหาเหาใส่หัว ไปสร้างเหตุแห่งทุกข์ให้ตัวเองเพิ่ม ซึ่งมันจะไม่ทุกข์เท่าเดิม มันจะค่อยๆเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเหตุจากความหลงที่เพิ่มขึ้น วิบากบาปก็มากตามที่หลงติดหลงยึดไปด้วย ติดนานเท่าไหร่ก็สะสมไปเท่านั้นและสุดท้ายก็ต้องชดใช้เท่าที่ทำมาไม่ขาดไม่เกิน
นี่คือความเป็นโลก ความวนเวียนอยู่ในโลก เป็นโลกียะ เป็นวิถีของผู้หลงผิด ที่มัวเมาในสุขลวง หลงว่าสิ่งที่เป็นทุกข์เหล่านั้นว่าเป็นความสุขจริงๆ เขาจึงวิ่งเข้าใส่ความทุกข์ด้วยความยินดี เปรียบเหมือนกับคนที่วิ่งเข้าไปในกองไฟแล้วรู้สึกว่ามีความสุขและเข้าใจว่า “ชีวิตมันก็ต้องสุขๆ ทุกข์ๆ เช่นนี้แหละ” นั่นหมายถึงเขาก็จะต้องวนเวียนไปเช่นนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะเขายินดีในสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง
ดังนั้นการไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือความวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ เสียแรง เสียทรัพย์ เสียเวลา เป็นการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ตัวเองก็ทุกข์แล้วไม่ยอมแก้เหตุแห่งทุกข์ ยังต้องไปเบียดเบียนคนอื่นเพื่อหาทางคลายทุกข์ นั่นหมายถึงว่า การไม่พยายามศึกษาและปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ คือการเบียดเบียนที่แท้จริง เป็นการใช้ชีวิตไปในทางที่ผิด เป็นทางไปสู่นรก เป็นไปเพื่อความฉิบหาย เป็นไปเพื่อความทุกข์ชั่วกัลปาวสาน
– – – – – – – – – – – – – – –
30.9.2558
ลีลาของคนอกหัก
อกหัก คือสภาพของความคาดหวังที่พังทลายลงมา เราสามารถศึกษาลีลาของการหนีจากทุกข์ได้จากกระทู้นี้ แล้วมันหนีได้จริงไหม ดูซิว่าพิษรักนั้นทำให้คนออกอาการเช่นไร
จากกระทู้ในเว็บไซต์พันทิพ
ตอนอกหักแล้วเสียใจสุดๆ เคยทำอะไรที่แผลงๆบ้าๆบอๆกันมั่งไหมครับ ?
ส่งต่อความรัก
ส่งต่อความรัก
จริงๆแล้วที่เราทุกข์เพราะความรักนี่มันก็ไม่ใช่เพราะเรารักเขามากหรอกนะ แต่เป็นเพราะเราหลงรักตัวเองมากกว่า เพราะว่าเราหลงคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นของเรา ทุกคนต้องเป็นอย่างที่เราหวัง ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เราฝัน
พอคนหลงรักตัวเองมากก็เลยไม่สามารถรักใครได้จริง มองเห็นแต่ความต้องการของตัวเองไม่เห็นใจใคร ไม่ยินดีที่จะให้ใครมุ่งแต่จะเอาท่าเดียวเพราะหลงรักตัวเองมากเกินไป แล้วหลงไปเรียกสิ่งนั้นว่าความรักอีก ทั้งที่มันเป็นความหลง
ความรักนั้นมีมิติที่หลากหลายและกว้างใหญ่กว่าการรักแค่ตัวเอง รักแค่คู่ของตน รักแค่ในครอบครัว รักชุมชน รักประเทศ รักโลก คนที่ลดความหลงในความรักตัวเองได้ก็จะสามารถรักคนอื่นได้มากขึ้น กว้างขึ้น ไกลขึ้น นานขึ้น นานขนาดว่าทะลุชาติภพกันเลยทะลุผ่านกาลเวลาเกิดมามอบความรักให้กับคนอื่นอยู่ทุกชาติ
ผู้ที่สามารถส่งต่อความรักให้กับผู้อื่นได้นั้นคือผู้ที่ไม่เก็บความรักไว้กับตัว ก็คือไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่พวกของตน จึงสามารถที่จะให้กับใครก็ได้ ใครสักคนที่เขาต้องการ
– – – – – – – – – – – – – – –
แรงบันดาลใจจากเพลง ส่งต่อความรัก [pass the love forward] – บอย โกสิยพงษ์ | version [จัง-หวะ-จะ-เดิน]
(https://www.youtube.com/watch?v=xgiW8aek7A0)
และบทความ “อกหัก”
– – – – – – – – – – – – – – –
26.11.2557