Tag: ยั่วกิเลส

เกมลวงใคร?

August 17, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,478 views 1

เกมลวงใคร

เกมลวงใคร? : ความสนุก ความสุข ความน่าสนใจ ที่ถูกออกแบบมาให้ถูกต้องตรงใจตามกิเลส

คนเรานั้นเกิดมากับกองกิเลสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และโลกที่หมุนวนไปด้วยกิเลสก็มักจะสร้างสิ่งที่ยั่วเย้ามอมเมาขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น การเล่น การแสดง การท่องเที่ยว การแข่งขัน ฯลฯ และเกมคือสิ่งที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน

โดยธรรมชาติของกิเลส มันจะทำหน้าที่สร้างสิ่งที่จะดึงเราให้ลงต่ำ ดึงเราลงนรก ดึงลงอบายภูมิให้ลึกลงไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ทำให้เรารู้ตัว และให้เราเสียเวลา เสียเงิน เสียพลังงาน เสียสติปัญญาให้กับมันไปเรื่อยๆ

เกมในสมัยก่อน เราแค่นั่งเล่นอยู่หน้าจอ ปิดเครื่องก็จบกันไป แต่เกมสมัยนี้ดูดพลังของเรามากขึ้นไปอีก การนั่งเล่นหน้าจอเพียงแค่มอง คิดแล้วใช้มือกด ไม่ใช่สิ่งที่จะสาสมใจคนในยุคนี้อีกต่อไป เราต้องจ่ายมากขึ้น เพื่อเสพมากขึ้น นั่นคือเราต้องขยับ เดิน หรือทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งรางวัลที่เกมได้สร้างล่อกิเลสเราไว้

เกมแต่ละเกมนั้นถูกออกแบบมาเพื่อที่จะยั่วกิเลสของเราในทุกเหลี่ยมทุกมุม เพื่อที่จะให้ผู้เล่นเกิดความลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในโลกลวงที่เขาสร้างขึ้นมา เกมในปัจจุบันนั้น ต้องจ่ายทรัพยากรเป็นอย่างมาก ทั้งเวลา เงิน สุขภาพ สติปัญญา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เล่นต้องเสียไปเพื่อแลกกับการได้เสพสุขจากเกม ไปตามลำดับที่เขาออกแบบมาให้ โดยที่เขาจะสร้างสิ่งลวงในโลกของเกมมาแลกเช่น ไอเทมใหม่ๆ ฉากใหม่ๆ ระบบใหม่ๆ ศัตรูใหม่ๆ ฯลฯ เพื่อที่จะล่อให้คนหลงติดตามมาเรื่อยๆ

ผู้ออกแบบจะจับจุดว่าคนเรานั้นมีความต้องการในอะไร แล้วก็สร้างสิ่งนั้นขึ้นมา เพื่อให้คนหลงว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่ควรได้ เรียกว่าล่อกิเลสในคนให้ออกมาแสวงหา เช่น สร้างโอกาสได้ความร่ำรวยลวงๆ สร้างโอกาสในการได้อำนาจบารมีลวงๆ สร้างโอกาสในการได้ความเก่งลวงๆ ฯลฯ

แล้วเขาก็ออกแบบได้เก่งจริงๆนะ ออกแบบเกมได้น่าเล่นน่าลอง หลายคนเห็นก็เข้าไปตะครุบเลย บางคนเห็นเพื่อนเข้าไปตะครุบก็เข้าไปตะครุบบ้าง บางคนไม่สนใจแต่ก็โดนพลังของคนที่หลงตะครุบชักชวนให้ไปตะครุบตาม บางคนติดสังคม ก็ต้องเกาะตามกระแสกับเขาแล้วเมาไปด้วยกัน

ทีนี้เมื่อคนเล่นได้เสพสมกิเลสก็จะเกิดความสนุก จนกระทั่งเต็มใจที่จะจ่ายเงิน สุขภาพ เวลา สติปัญญาให้กับเกม ถ้าเปรียบกับทาสนี่ก็ยังไม่ใช่ เพราะทาสต้องโดนบังคับหรือเฆี่ยนตีและต้องทำงานที่ไม่อยากทำ แต่เกมนี่สร้างคนให้ยิ่งกว่าทาสอีก คือให้คนยอมเล่น ให้ยินดียอมเสียทรัพยากรเพื่อแลกมาซึ่งสิ่งลวงๆ ให้รู้สึกว่ามีอิสระในการเสพแต่จริงๆ ก็ถูกโซ่แห่งความอยากคล้องไว้อยู่

สิ่งลวงๆ คืออะไร? สิ่งลวงเหล่านั้นก็คือสิ่งที่เกมได้สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคน เพราะเขารู้ว่าคนนั้นอยากได้อยากมี แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงก็ตามที เพื่อแลกกับความสุขเพียงชั่วครู่ ที่คนนั้นได้เสพ ได้มี ได้ครอบครองอยู่ แต่สุขนั้นตั้งอยู่ไม่นานก็หายไป แม้ได้เสพแบบเดิมก็จะไม่สุขเหมือนอย่างเดิม เหมือนอย่างที่เราเอาเกมเก่าๆ มาเล่น มันจะไม่สุขเหมือนครั้งแรกๆ ถึงจะสุขแต่มันก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว สุขนั้นไม่สามารถตั้งอยู่ได้นาน สุดท้ายก็จะเกิดอาการเบื่อ ซึ่งเป็นการเบื่อหน่ายแบบโลกๆ ซึ่งเกิดจากการเสพสิ่งเดิมจนเบื่อ

เมื่อเล่นเกมจนเบื่อก็พบว่า เล่นไปสุดท้ายก็ไม่ได้อะไร ได้แต่ความสุขจากการเสพชั่วครั้งชั่วคราว ดีไม่ดีไม่สุขเลยก็ว่าได้ และได้ความรู้มาอีกนิดหน่อย คือเกมนั้นเป็นอย่างนั้น เกมนี้เป็นอย่างนี้ แต่ก็เป็นความรู้ที่ไม่ได้พาให้ตนพ้นจากทุกข์ เป็นความรู้ที่ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต

ถึงแม้คนจะรู้ว่าเกมทุกเกมเล่นแล้วก็จบดับไป แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตนเองหลงเข้าไปเล่น หลงเข้าไปพัวพันยึดติดมันจนเสียทรัพยากรมากมายนั้นเพราะเหตุใด ทำไมตนเองจึงต้องเข้าไปเสพสิ่งนั้น ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายมันก็ไม่ได้ให้คุณค่าหรือมีสาระแท้อะไรในชีวิตเลย

แต่ก็อาจจะมีหลายคนแย้งว่า ฉันเล่นเกมแล้วได้ประโยชน์นะ ได้ฝึกสมอง ได้ออกกำลังกาย ฯลฯ มันก็จริงตามที่เขากล่าวอ้าง ซึ่งนี่เองคือความร้ายของกิเลส เพราะมันจะเอาประโยชน์บางอย่างมาล่อ เอาข้อดีมากลบข้อเสีย เอาเหตุผลต่างๆนาๆ มาอ้างอิงว่าเสพแล้วดี ถึงจะมีโทษบ้างแต่ก็มีประโยชน์อยู่มาก เหล่านี้คือลักษณะทั่วไปของกิเลสที่จะหลอกให้คนหลง คือเอาประโยชน์ลวงมาเคลือบโทษจริงไว้

ถ้าเราเอาข้อดีข้อเสียมาเปรียบเทียบกับกิจกรรมอื่น จะรู้เลยว่าประโยชน์ที่ได้นั้นน้อย ประโยชน์ที่เสียไปมีเยอะและโทษที่ได้ก็มีมากมาย เพียงแต่เราอยากเล่นเกม เราก็เลยหาข้อดีของมันมาเพื่อให้ได้เล่นเท่านั้น ซึ่งเรื่องข้อดีข้อเสียนี่ถ้าเอาไปเถียงกันก็ไม่จบ คนหลงเขาก็จะมองแต่ข้อดี ไม่มองข้อเสีย คนไม่หลงเขาก็เห็นข้อดีข้อเสียชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องนำไปพิจารณากันเอง

ส่วนคนที่ไม่ติดนั้นก็ดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปแขวะคนที่เขาติดได้ เพราะกิเลสมันก็มีหลายเหลี่ยมหลายมุม เขาอาจจะติดเกมของเขา แต่เขาไม่ได้ติดเหล้า บุหรี่ พนัน หวย หุ้น กิน เกียรติ กาม ก็มีเหมือนกัน คนที่ไม่ติดเกมแต่ยังติดอบายมุขอื่นๆ มันก็เมาพอๆ กับติดเกมนั่นแหละ แต่มันเลือกเมากันคนละอย่าง ดังนั้นไม่ต้องไปยุ่งกันมาก มุ่งล้างความหลงติดหลงยึดของตัวเองให้ได้ก็พอ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้หมั่นทำนาของตน อย่าไปทำนาของคนอื่น

เราควรจะมองคนด้วยความเมตตาว่า เขาหลงติดหลงยึดเขาก็เป็นทุกข์นะ เขาต้องแสวงหามาเสพ หามาครอบครอง นี่มันทุกข์แต่เขาไม่รู้ เราบอกดีๆ ได้ก็บอกเขา ถ้าบอกแล้วจะโกรธกันก็ปล่อยวางไปก่อน แต่ไม่ใช่เอาอัตตาไปอัดเขาหรือไปข่มเขา ทำเหมือนได้ทีขี่แพะไล่ เห็นเขาหลงผิดก็รีบซ้ำเติมเขาเลย อันนี้มันจะเป็นคนพาลไปเสียเปล่าๆ

….

ลักษณะเด่นของเกมส่วนใหญ่นั้นคือการแข่งขัน การหาทางเอาชนะภารกิจต่างๆ ซึ่งในชีวิตจริง โลกก็มอมเมาให้เราวนอยู่แต่กับการแข่งขันอยู่แล้ว แต่คนก็ยังไม่สะใจ ไม่สาสมใจ ไม่ถูกใจ ต้องแสวงหาการแข่งขันอย่างอื่นมาเสพ ให้ชนะ ให้ได้ ให้มี ให้ดี ให้เลิศกว่าเขา ทั้งที่จริงเกมก็ไม่ใช่ชีวิตจริง แต่เรากลับไปจริงจังกับมัน ไปให้เวลาและทรัพยากรต่างๆ แก่มัน เป็นเหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง ที่ซ้อนอยู่กับโลกนี้ เป็นกิเลสที่ลวงซ้อนกิเลสไปอีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่ก็คือหนทางแห่งความมัวเมาที่หนักหนาที่สุดทางหนึ่ง

ใครที่หลงเข้าไปแตะไปเสพแล้ว ก็เรียนรู้โทษของมันแล้วก็ค่อยๆ ถอยออกมา อย่าให้ถึงขั้นหมกมุ่นมัวเมา เสียเวลา เสียงาน เสียเงิน เสียสุขภาพ เสียชีวิตกันไป

สรุปแล้วเกมนั้นก็ลวงตั้งแต่คนออกแบบเกม ให้หลงว่าการทำเกม การหาเลี้ยงชีพด้วยการทำสิ่งที่พาให้คนหลงมัวเมานั้นเป็นสิ่งดี ก็เลยออกแบบเกมที่น่าเล่น น่าสนใจ น่าสนุกมาลวงคนอีกทีหนึ่ง แล้วคนเล่นก็ลวงตัวเอง ลวงกันเอง พากันมัวเมาไปอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเวลาที่เกิดปัญหาจากเกมขึ้นมา ในสังคมก็จะมีการโทษกันไปโทษกันมา คนเล่นผิดบ้าง เกมผิดบ้าง แต่ตัวการจริงๆ กลับลอยนวลพ้นข้อกล่าวหาเสมอ ตัวการที่ว่านั้นคือ…กิเลส

17.8.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

September 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,911 views 1

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

ไม่เก่งอย่าซ่า (เผชิญหน้ากับกิเลส) : กรณีศึกษาความรักกับถ่านไฟเก่า

ในกรณีที่เลิกกับคู่รักมาด้วยเหตุอะไรก็ตาม แต่จบด้วยความบาดหมาง ไม่ลงรอยกัน แม้เขาจะมาอ้อนวอนให้กลับไปเหมือนเดิม ตอนแรกก็มักจะมีอาการใจแข็งไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเก่า เกลียดความทุกข์ เกลียดความผิดหวัง ฯลฯ ซึ่งก็มักจะมีอาการปากแข็ง กายแข็ง ใจแข็ง อยู่พักหนึ่ง

พออดีตคู่รักกลับเข้ามาหา ทักทาย หยอดกันตามประสาหมาที่เคยหยอกไก่ ครั้งแรกๆอาจจะมีอาการรังเกียจ โกรธ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุย อยากจะหายตายจากกันไปเลย ไม่ต้องมาพบเจอกันฯลฯ

แต่พอเข้ามาบ่อยๆหนักเข้าๆ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับคนจิตอ่อน โดนออดอ้อนทุกวันก็หมดท่า ถ้าจิตใจอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ยังต้องหาที่พึ่งภายนอกอยู่ พอโดนยั่วกิเลสทุกวัน วันละนิดวันละหน่อย ค่อยๆหยอด ค่อยๆเติมเชื้อราคะ ไม่ให้ไก่ตื่น ไม่ให้รู้ตัว สุดท้ายก็มักจะพลาดท่าเสียที

ด้วยความที่ตัวเองก็กามหนาอัตตาจัด แต่ตอนแรกๆที่เลิกกันอัตตามันจะพุ่ง อัตตามันจะกำเริบ มันจะยึดดี มันจะไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายอัตตามันสู้กามไม่ไหว กามมันโตขึ้น มันโดนเติมเชื้อให้อยากกลับไปเสพของเก่าให้หวนนึกถึงสุขที่เคยเสพ

ทีนี้พอกามมันโตกว่าอัตตา “ก็จบเกม” กลับไปตายรังกับแฟนเก่า ดังที่เขาว่าวัวเคยค้าม้าเคยขี่ ยิ่งคนที่เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งยิ่งมีเหตุให้กระตุ้นกิเลสมาก แตะนิด แตะหน่อยก็ของขึ้นกันแล้ว จากที่เคยปากแข็ง ไม่พูดด้วยก็กลับไปออดอ้อนออเซาะ จากที่เคยร่างกายแข็งไม่ให้แตะต้อง ไม่ตอบสนอง ก็เปลี่ยนเป็นตัวอ่อนยอมพลีกายถวาย จากที่เคยใจแข็ง ไม่อยากเจอ ไม่อยากคบหาสุดท้ายก็กลับไปยกใจให้เขาครอบครองเป็นเจ้าของเหมือนเดิม นั่นหมายถึงสุดท้ายก็กลับไปอยู่ในนรกขุมเดิมด้วยความสุข(ลวง)ที่มากขึ้น

…นี่เป็นกรณีศึกษาความผิดพลาด ที่สุดแสนจะคลาสสิค ของผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่รู้เท่าทันกิเลส ไม่มีกลยุทธ์ในการเอาตัวรอด จึงตกเป็นเหยื่อของกิเลสด้วยความเต็มใจ(ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง: พระพุทธเจ้า)

ซึ่งผู้ที่มีโอกาสกลับมาโสด ได้โอกาสพิจารณาบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วกลับไปเสียท่าให้กิเลสอีก เรียกว่าพลาดท่ายิ่งกว่าตอนที่เสียท่าไปคบกันตั้งแต่ตอนแรก และจะต้องได้รับวิบากบาปมากกว่าครั้งแรก นั่นหมายถึงการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองยิ่งๆขึ้นไป

เพราะมี [ ความหลง1(หลงคบเป็นคู่รัก) + ความหลง2(หลงกลับไปเป็นคู่รัก) = สร้างกรรมกิเลส = วิบากบาป=ทุกข์ ]

เหมือนกับคนที่เขาปล่อยออกจากคุกมาแล้ว แต่โดนกิเลสมอมเมาให้ทำชั่ว ไม่กลับตัว ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่เข็ด ไม่หลาบจำ สุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่ในคุกอีก จึงต้องวนเวียนเข้าออกคุก โดยไม่มีวันหนีคุกนี้พ้น เพราะมัวเมาในความสุขลวงของกิเลส จึงต้องอยู่กันอย่างมีความทุกข์ไปตลอดกาล

– – – – – – – – – – – – – – –

28.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความมัวเมาในรสรัก

August 23, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,944 views 4

ความมัวเมาในรสรัก เมื่อความหลงผิด ทำให้หลงสร้างบาป ท่ามกลางความหลงสุข

การที่คนเรานั้นไปหลงมัวเมากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกจากจะสร้างภัยอันน่ากลัวให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นพากันหลงผิด และนั่นคือบาปที่จะย้อนกลับมาเล่นงานผู้ที่หลงมัวเมานั่นเอง

คนที่หลงในความรักนั้น นอกจากที่เขาเหล่านั้นจะเสียเวลาที่สำคัญในชีวิตไปกับการหลงสุขในการมีคู่ ไปหลงสร้างบาป คือการเพิ่มกิเลสให้กับตนเองโดยแลกกับการเสพสุขลวงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยังเป็นสื่อให้ผู้อื่นได้หลงผิดมาเห็นดีเห็นงามกับเรื่องทางโลกด้วย

คนที่หลงในความรักนั้น บางคนก็หลงกันอยู่นานหลายปี สิบปี ยี่สิบปี หรือตลอดชีวิต และตลอดเวลาแห่งความหลงนั้น เขาก็ได้เป็นทูตแห่งความหลงที่คอยเผยแพร่ความเห็นที่ว่า การมีคู่นั้นดี การได้มีความรักนั้นดี การมีคนดูแลเอาใจนั้นดี ฯลฯ แต่ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกหรือเผยแพร่ความเห็นใดๆเลยก็ตาม แค่เพียงความเป็นไปของเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงให้คนที่ไม่รู้เดียงสา ได้เห็นว่าการมีคู่นั้นน่าจะมีความสุขจริงอย่างที่ใครเขาว่า

เป็นบาปของคนมีคู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายั่วกิเลสคนอื่นตั้งแต่เราคบหาเป็นแฟนกับคู่ของเรา ทำให้ผู้อื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพบ้าง เรายั่วกิเลสคนอื่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเราแต่งงาน ทำให้คนอื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก และเรายั่วกิเลสคนอื่นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเราสร้างของรักใหม่ที่เรียกว่าลูก แสดงให้เห็นว่ารักนั้นได้เสพอะไร ให้เห็นว่ารักนั้นเป็นสุขอย่างไร ให้เห็นว่ารักนั้นเที่ยงแท้ยืนนานอย่างไร โดยผ่านความเป็นไปที่เราได้แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ใช่ความจริงเลย

ด้วยความหลงในสุขของเรา หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการมีคู่ การอวดคู่ หรือการบูชาความรักที่เกิดจากความหลงนั้นเป็นโทษภัยอย่างไร ความหลงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่ทำให้เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงทำให้คนที่หลงในการมีคู่นั้นภูมิใจในสถานะที่ตนเองมี เพราะหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี

ถ้าเราคบหากันไป 10 ปี เราก็สร้างวิบากบาป กลายเป็นตัวอย่างของคนที่หลงสุขในกิเลส ให้คนอื่นเอาอย่างไป 10 ปี ถ้าเราคบไปร้อยปีก็เป็นตัวอย่างไปร้อยปี หลงนานเท่าไหร่ก็สร้างบาปให้ตัวเองและผู้อื่นมากเท่านั้น

ทีนี้คนที่มีคู่แล้วไม่ใช่ว่ารู้ถึงโทษภัยผลเสียต่างๆแล้วจะออกกันได้ง่ายๆ การเลิกกันด้วยความไม่ยินยอมทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การไม่ผูกพันกันด้วยความหลงเป็นสิ่งที่ดี คนที่มีคู่นั้นจะมีขอบเขตในการทำกุศลที่จำกัด แม้จะพากันออกจากความหลง ไม่สร้างอกุศลกรรม พากันถือศีล ไม่สมสู่ ไม่แตะเนื้อต้องตัว ไม่พูดจากันด้วยคำหวานของกิเลส ไม่เอาแต่ใจเพราะความยึดติด แม้จะทำได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะเป็นตัวอย่างให้คนหลงติดหลงยึดในความเป็นคู่อยู่ดี เพราะคนดีที่มัวเมาในความเป็นคู่รักก็ย่อมจะอยากได้คู่รักที่ดีเป็นตัวอย่าง

ดังนั้นการเป็นโสดแต่แรกจึงดีที่สุด ไม่ต้องไปผูกให้ต้องลำบากมาแก้กันทีหลัง เพราะเมื่อมีคู่ไปแล้ว มันผูกพัน มันแก้กันไม่ง่าย ถึงจะตัดทันทีก็จะมีวิบากกรรม แม้จะใช้ความติดดียึดดี เลิกกัน อย่าร้างกัน แต่กรรมก็จะไม่ยอมอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายยังหลงในความรัก เขาก็ยังจะจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติอยู่ดี ดังนั้นคนที่มีคู่จึงไม่สามารถตัดความเป็นคู่ออกได้ง่ายๆแม้จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแค่ไหนก็ตาม

และเมื่อเขาเหล่านั้นยังมีภาพลักษณ์ของคนคู่ที่สวยงามอยู่ ก็จะเป็นสื่อให้คนที่หลงนั้น อยากได้อยากเสพในภพของคนดี อยากมีคู่รักแบบคนดี เช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นความเป็นสื่อแห่งบาป ที่จะต้องมารับวิบากบาปในภายหลัง เกิดมาชาติหน้าก็ต้องโดนคนอื่นเขามอมเมาว่ามีคู่แล้วทำดีด้วยกันได้ มีคู่แล้วพาเจริญด้วยกันได้ มีคู่แล้วปฏิบัติธรรมด้วยกันได้ ก็เลยหลงไปมีคู่ สุดท้ายก็ติดบ่วง ซ้ำไปซ้ำมา เป็นความเมาในรสรักที่ให้ผลสืบเนื่องหลายต่อหลายชาติ ต้องรับทุกข์ สร้างอกุศล สร้างบาปกันอย่างไม่จบไม่สิ้น

จนกว่าจะทุกข์จนเกินทน จนกว่าจะเห็นว่าการหลงมัวเมาในรสรักเหล่านั้นสร้างทุกข์ โทษ ภัย อย่างไร จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นภพคนโสด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกได้ง่ายๆขนาดนั้น แม้จะเกิดชาติไหนก็จะมีคนมายั่วกิเลส เอาความรักในอุดมคติมานำเสนอ เป็นคนดีก็มีความรักได้ พากันเจริญได้ ฯลฯ อีกทั้งคู่เวรคู่กรรมที่จ้องจะเข้ามาลากไปลงนรกกันทุกภพทุกชาติ

สรุปแล้วคนมีคู่ก็ต้องเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริงและรับกรรมตามที่ตัวเองก่อไว้ต่อไป ส่วนคนโสดก็เป็นโอกาสที่จะคิดทบทวน ตัดสินใจว่าจะเอาไหม? จะดีไหม? สุขลวงแป๊ปเดียวทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์เลยนะ ผูกนิดเดียวต้องตามไปแก้กันทุกภพทุกชาติเลยนะ จะเอาไหม? จะลองไหม? มันทุกข์มากนะ มันเป็นสุขลวงแต่นรกจริงๆนะ ยังจะเอาอีกหรือ?

– – – – – – – – – – – – – – –

23.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

จงเป็นโสดเป็นโสดเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

August 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,322 views 0

จงเป็นโสดเป็นโสดเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

จงเป็นโสดเป็นโสดเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

เราไม่สามารถหวังให้ใครทำอะไรอย่างใจเราได้ทุกอย่าง เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถหวังว่าใครจงอย่ามาเบียดเบียนเราเลย แต่เราสามารถทำตัวเราไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นได้ ดังนั้นการแผ่เมตตาคือการแผ่ธรรมะให้จิตที่โลภ โกรธ หลงของเรา ทำให้ตนเองไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง

กิเลสมักจะนำพาให้เราไปเบียดเบียนผู้อื่น นำเสนอให้เขาอยากมีคู่ พูดแต่ข้อดีของการมีคู่ พูดแต่ข้อเสียของความโสด และด้วยการบำรุงบำเรอกิเลสให้เขาหลงในสุขลวง ให้เขาหลงมัวเมาในสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา ฐานะ การงานมั่นคง มีชื่อเสียง คำหวาน คำสัญญา ความฝัน อุดมคติ ฯลฯ ซึ่งเราใช้สิ่งเหล่านี้ล่อลวงให้เขารับรัก เบียดเบียนเขาด้วยความผูกพัน ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ด้วยการผูกภพผูกชาติ ก่อเวรก่อกรรมซึ่งกันและกัน

การพยายามไม่เบียดเบียนเช่นนี้อาจจะดูไม่มีความหมายสำหรับคนที่กำลังลุ่มหลงในความอยากมีคู่ แต่ถ้าลองพิจารณาดีๆ หากมีใครสักคนหนึ่งล่อลวงเราด้วยสิ่งยั่วกิเลสทั้งหลาย เช่น เขาหน้าตาดี มีฐานะดี มีการงานมั่นคง มีชื่อเสียง พูดแต่คำหวาน ผูกมัดเราด้วยคำสัญญา พาให้เราฝัน หลงในอุดมคติที่เขาสร้าง ในตอนแรกเราก็เป็นโสดอยู่ดีๆ มาเจอเขามายั่วกิเลสหนักเข้า โสดก็เริ่มจะกลายร่างเป็นสมรส คืออยากมีคู่ อยากคบหา อยากแต่งงาน

ทีนี้ชีวิตจริงมันไม่ได้จบเหมือนในละคร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการที่เขามายั่วกิเลสของเรา มาพรากความโสดของเราไป เขาอยากเสพอะไร พอเขาได้เสพสมใจแล้วเขาจะทำอย่างไรต่อ เขาจะยังดีกับเราเหมือนเดิมไหม เขาจะทิ้งเราไปเมื่อไหร่ ในเมื่อเรามีความเสื่อมเป็นธรรมดา ความรักนั้นหมดอายุได้เป็นธรรมดา ซึ่งหมายถึงเราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เราเคยได้สุขได้เสพเป็นธรรมดาเช่นกัน

ไม่ว่าจะจบลงอย่างไรเราก็จะต้องถูกเบียดเบียนอยู่ดี การที่เขาหมดรัก หรือถูกเขาทิ้ง ก็เห็นการเบียดเบียนที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ถ้ารักกันไปจนแก่ รักกันจนตาย ก็จะเบียดเบียนกันด้วยการผูกภพผูกชาติ ผูกเวรผูกกรรม ที่จะต้องไปแก้กันในภายภาคหน้า แล้วมันจะดีหรือที่เรายังคิดจะไปเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความหลงสุขของเรา ในเมื่อปลายทางนั้นมีแต่ทุกข์ ควรแล้วหรือที่เราจะปล่อยตัวปล่อยใจให้เบียดเบียนผู้อื่นเช่นนั้น

เราจึงควรสำรวมตนให้อยู่ในความโสด ป้องกันตนไม่ให้ไปเบียดเบียนใครด้วยความหลงสุขของเรา ไม่ให้เขาต้องลำบากเพราะเรา ไม่ให้ใครต้องมาทุกข์เพราะเรา

– – – – – – – – – – – – – – –

4.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)