Tag: ธรรมะคนโสด

เมื่อมีมาร มุ่งมาท้าทายความเป็นโสด

November 30, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,316 views 0

เมื่อมีมาร มุ่งมาท้าทายความเป็นโสด : “ความอยากมีคู่ครอง” กับดักเพื่อฆ่าบัณฑิตบนเส้นทางธรรม

ถ้าใครมีคำถามประมาณว่า พยายามประพฤติตนเป็นบัณฑิต พยายามปฏิบัติตนให้เป็นคนโสด แต่ก็มีผู้เข้ามาท้าชิง จนปวดหัว ไม่รู้จะทำอย่างไร พรากก็แล้ว ห่างก็แล้ว ยังตามจีบ ตามคุย ตามหา จะทำอย่างไรให้การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีงาม

ก็เป็นคำถามที่ดีนะครับ เพราะคนส่วนมาก แม้จะตั้งใจปฏิบัติให้ตนเป็นบัณฑิต ตั้งใจอยู่เป็นโสด แต่ส่วนใหญ่ พอเจอโจทย์เข้าจริง ๆ จะหลงไปเลย ไม่มีสติยั้งคิดที่จะมาถามหรือแสวงหาคำตอบอะไรหรอก คำตอบของเขามักจะเป็นไปสองทางคือ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ถ้าถูกใจก็ไปกับเขาเลย ถ้าไม่ถูกใจก็อาจจะลองดู ๆ กันไป หรือไม่ก็ผลักเขาออกไปเพราะไม่ถูกใจเท่านั้นเอง

ทีนี้คนที่ตั้งใจก็เหลือไม่เยอะหรอก คนส่วนน้อยในโลกเท่านั้นแหละ ที่จะตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดได้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่าวังน้ำวนโลกีย์ที่หมุนอย่างรุนแรงด้วยกำลังของกามและอัตตาในสังคมปัจจุบัน จะตอบคำถามโดยไล่เป็นประเด็น ๆ ไปนะครับ

  1. ผู้มาด้วยความกำหนัดกล้า

เมื่อเราตั้งจิตตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสด ก็เป็นธรรมดาที่จะมีโจทย์เข้ามากระทบในชีวิตประจำวัน ผู้ที่มานั้น ก็ใช่ว่าจะมาอย่างไร้ศักยภาพ ฟ้าจะส่งผู้ที่มีความสามารถเข้ามาท้าทายเรา เหมือนมีอัศวินใส่เกราะขี่ม้าขาวมาพร้อมอาวุธครบมือมาท้าทายอยู่หน้าบ้าน คนที่จะเข้ามาเจอเรานี้ มักจะมีองค์ประกอบที่เราจะแพ้ทางโดยธรรมชาติ เพราะเขาคัดมาแล้ว ต้องแบบนี้ คนนี้เท่านั้นที่จะปราบความไม่จริงใจในความโสดของเราได้ หมายจะเอาชนะเราให้ได้แน่ ๆ ไม่ได้มาเพื่อแพ้ ให้ทำความเข้าใจไว้ได้เลยว่าประมาทไม่ได้ แม้หนึ่งการสบตาหรือรอยยิ้มเพียงแค่ครั้งเดียว เป้าหมายในการมีอยู่ของเขาก็แน่นอน ทำให้เราเกิดความอยากที่จะไปมีคู่

  1. มารไม่มา บารมีไม่มี

การประพฤติตนเป็นโสดนั้น ไม่ได้หมายความเป็นโสดอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ หลบ ๆ เลี่ยง ๆ แบบกลัว ๆ แต่สามารถตั้งใจเป็นโสดได้แม้จะมีสิ่งยั่วย้อมมอมเมาที่น่าใคร่น่าเสพขนาดไหนเข้ามาปะทะ ก็ยังตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสดได้ แม้จิตหวั่นไหวก็ใจแข็งสู้ มันจะไม่ง่ายเหมือนคิดเอา เพราะจริง ๆ แล้ว เขามาเพื่อชนะ เราก็ต้องปราบมารนี่แหละ เพื่อที่จะเพิ่มกำลังของเรา แม้ในตอนแรกอินทรีย์พละ หรือกำลังของเรายังไม่สูง แต่ถ้าเราตั้งมั่นพากเพียร เราจะพบเลยว่า ตัวเราที่ผ่านโจทย์นี้มา จะเป็นตัวเราอีกคนที่เหนือกว่าตัวเราที่เคยเป็นอย่างเทียบไม่ได้ กำลังใจ กำลังปัญญาจะเพิ่มขึ้นมหาศาลแทบจะเปรียบได้ว่า ปราบอัศวินผู้ช่ำชองในการรบได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้น อันนี้เป็นผลของการปราบมาร เล่ากันไว้ก่อน จะได้มีเป้าหมาย

  1. มารทุบหม้อข้าวลุย

โดยธรรมชาติของมาร เวลาเราตั้งใจจะสู้จริง ๆ มันก็จะเอาจริงเหมือนกัน มันจะจริงจังตามความจริงใจในธรรมะของเราเลย ยิ่งถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดด้วยนะ เรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้มารเสพเลย มันจะยอมหรือ? มันก็ทุบหม้อข้าวลุยล่ะทีนี้ หมายถึงมันก็ทุ่มหมดตัวเหมือนกัน เราก็ทุ่มหมดใจเหมือนกัน มารในที่นี้ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าขาวนะ แต่เป็นความอยากมีคู่ในใจเรานี่แหละ ที่จะเสกอัศวินขึ้นมา ถ้าไม่มีจิตอยากมีคู่นะ ถึงจะมีโคตรอัศวินขี่ม้าขาวเป็นร้อย ก็ได้แค่เดินวนไปวนมาหน้าบ้านเราเท่านั้นแหละ เพราะไม่มีทางเข้ามาตีได้ สะพานไม่มีเขาจะข้ามมาได้อย่างไร อย่าไปทอดสะพานให้เขาเข้ามาตีแล้วกัน ยิ่งถ้าใหม่ ๆ ชักสะพานออกเลย ไม่ต้องไปยุ่ง อย่าไปพัวพันมาก เรื่องคู่นี่ไม่ใช่ง่าย รบแพ้แล้วมักจะแพ้หลุดลุ่ยเลย

  1. หมู่มิตรดี ชีวีผาสุก

เวลาเจอข้าศึกมาบุก การจะสู้คนเดียวมันก็ดูจะลำบาก ควรจะมีพันธมิตรร่วมสู้ด้วย การสร้างพันธมิตรหรือหมู่มิตรดีนั้น ก็ใช่ว่าจะสร้างกันตอนข้าศึกบุกทันนะ มันต้องขยันสร้างกันไว้แต่เนิ่น ๆ คือมีเวลาก็เข้าไปคบหาหมู่มิตรดีที่ตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดไว้  ให้เน้นคนที่มีกำลังใจกำลังปัญญามาก ๆ เช่นทนการยั่วเย้าได้มาก ๆ หรือ มีปัญญาเถียงสู้กิเลสได้เก่ง ๆ ยิ่งได้ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นเรื่องนี้แล้วยิ่งเป็นกำลังสำคัญเลยแหละ เรียกว่ากำลังเสริมระดับกองทัพ ยกทัพมาตีคนสองคนไม่รอดหรอก การสานพลังกับหมู่มิตรดี ก็คือเข้าไปคบคุ้น ช่วยกันทำดี หมั่นสนทนาธรรม ฟังธรรม หมั่นเข้าหาปรึกษาครูบาอาจารย์ จะทำให้เรามีความมั่นคงขึ้น ไม่มีทางถูกตีแตกได้ง่าย ๆ ไม่หวั่นไหวได้ง่าย ๆ เพราะมีที่พึ่งที่ถูก เป็นที่พึ่งที่พาพ้นทุกข์

*Key success factor หนึ่งเดียวของการพาตนเองเป็นโสดอย่างผาสุก ก็คือหมู่มิตรดีนี่แหละ ถ้าคบผิดกลุ่ม ไปคบหาของปลอม ไม่ได้มีธรรมะจริง ไม่มีของจริง ไม่หลุดพ้นจริง ไม่รอด 100% แต่ถ้าคบกับกลุ่มที่จริง ยังมีโอกาสรอดขึ้นมาตามความพากเพียร ถ้าคบผิดกลุ่มปิดประตูบรรลุธรรมไปได้เลย

  1. กิจตน กิจท่าน

เวลาเจอข้าศึกบุก หรือมีคนมาจีบ ให้ตั้งเป้าหมายให้ถูก เรียงลำดับความสำคัญให้ถูก กำลังจิตและปัญญาเรามีจำกัด ไม่ควรเทไปในจุดที่ยังไม่สมควร นั่นคือควรลำดับงานที่สมควรทำก่อน งานที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือล้างความอยากมีคู่ในตัวเองเสียก่อน เอาให้เด็ดขาดเสียก่อน อย่าพึ่งไปคิดเมตตาเขาหรือไปช่วยอะไรเขา เอาตัวเองให้รอดก่อน เดี๋ยวไม่งั้นมันจะกลายเป็นการทอดสะพาน ชักศึกเข้าบ้าน ไปช่วยเขา สุดท้ายเขามาแทงเราตาย อันนี้มันก็ผิด เราต้องจัดการศึกในตัวเราก่อน อย่าเพิ่งไปเปิดศึกข้างนอก พระพุทธเจ้าได้สอนพระอานนท์ไว้ว่า เวลาเจอเพศตรงข้าม ก็ไม่ต้องมอง ถ้าจำเป็นต้องมองก็ไม่ต้องพูด ถ้าจำเป็นต้องพูด ก็ให้ตั้งสติ พูดอย่างสำรวม อย่าให้ความอยากความหลง ความยินดีพอใจปลื้มใจในเพศตรงข้ามแทรกเข้ามาครอบงำจิตใจได้  จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติที่ตนก่อน เรื่องคนอื่นอย่าเพิ่งไปคิด

  1. ความอยากมีคู่คือเชื้อร้าย

ในท้ายที่สุด เราก็จะพบว่า ศัตรูที่แท้จริงก็อยู่แค่ภายในใจของเราเอง คือกิเลสที่มันสิงเราอยู่นี่แหละ เหมือนถูกผีสิง ความอยากมีคู่มันอยู่ในใจเรา มันเป็นเชื้อร้ายที่คอยดึงสิ่งต่าง ๆ เข้ามา ความปลื้มใจ ความยินดีพอใจต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มันเสกสร้างขึ้นมาทั้งนั้น อารมณ์สุขจากความอยากมีคู่ ความยินดีพอใจในการมีคู่ คือสิ่งที่กิเลสนั้นสร้างขึ้นมาหลอกให้เราหลงว่ามันเป็นสุข หลอกให้เราหลงวนอยู่ในโลกนี้ ในความสงสารนี้ เป็นสิ่งที่กักขังเราไว้จากอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ ความเป็นอิสระจากความอยากมีคู่นั้นหากจะลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ ก็เหมือนคนที่ถูกขังในคุกแคบ ๆ อันมืดมิดหนาวเหน็บอยู่หลายสิบปีแล้วต่อมาถูกปล่อยออกมาพบทุ่งกว้าง ลมพัดเย็น และอบอุ่น  เป็นความสบายใจ ความปลอดภัยที่ไม่มีวันจะพบได้หากยินดีที่จะดำรงอยู่ในคุก กิเลสมันก็หลอกเราว่า ในคุกนี้แหละดี เป็นสุข อย่างน้อยก็มีอาหารให้กินเลี้ยงชีพ มันก็เอาความอยาก เอารสยินดีพอใจในคนคู่นั่นแหละ มาเป็นอาหารให้เราเสพดำรงชีวิตไป นั่นเพราะเรามีอัตตายึดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ถ้าเราไม่ยึดความอยากมีคู่ คุกคนคู่นั้นย่อมพังทลายลง อาหารทิพย์นั้นรสดีสูงค่ากว่าอาหารคุกคนคู่มากนัก อย่างที่ไม่มีใครหลุดพ้นคุกคนคู่แล้ว เวียนกลับไปกินอาหารคุกอีกเลย

  1. สำรวมกายใจ

เมื่อรู้แล้วว่าต้องทำอะไร สิ่งใดที่เป็นภาพลวง สิ่งใดที่เป็นเป้าหมายที่ควรทำลาย ให้สำรวมระวังกายใจทั้งหมด โจทย์จะผ่านมาทางการกระทบ ด้วยหน้าตาลีลา ด้วยน้ำเสียง ด้วยคำหวาน ด้วยสัมผัส ฯลฯ สารพัดสิ่งที่เข้ามากระทบ โดยหลักแรก เราก็ต้อง สงบ สำรวม ไม่หวั่นไหว ดำรงสติให้ตั้งมั่นก่อน เมื่อมีสติแล้วจับให้ได้ว่าแต่ละครั้งที่กระทบ มันมีอาการใจฟู อิ่มใจ พอใจอะไรไหม เมื่อเห็นอาการก็พิจารณาวิจัยหาสาเหตุว่ามันมีจิตไปชอบสิ่งใดลีลาใด จับเหตุนั้นให้ได้ จับโจรให้ได้ก่อน ส่วนจะการลงโทษเป็นอีกขั้น ต้องใช้ปัญญาครูบาอาจารย์ร่วมด้วย เพราะปัญญาเราจะไม่พอ ถ้าปัญญาเราพอ เราจะไม่หวั่นไหว ถ้าเราหวั่นไหวแสดงว่ามันสู้ไม่ได้ ต้องใช้คำสอนคำแนะนำจากครูบาอาจารย์หรือมิตรดีที่ท่านพ้นเรื่องคู่เข้ามาช่วย จะเป็นการอ่านทบทวนธรรม จะฟัง  หรือจะเป็นการปรึกษาก็ได้ทั้งนั้น เอายังไงก็ได้ให้มีปัญญาไปเถียงกิเลส แน่นอนว่าไม่ง่าย มันต้องมีกำลังจิตพอที่จะกดไม่ให้ฟุ้งซ่าน และปัญญาที่คมพอจะตัดความโง่ที่ไปหลงผิด ที่ไปหลงปลื้มกับรสสุขลวงของกิเลสนั้นได้

มาถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่เอาสมบูรณ์แบบ ทุกคนพลาดกันได้เป็นธรรมดา แต่พลาดแล้วต้องตั้งสติสำรวม อย่าพลาดซ้ำพลาดซ้อน หรือปล่อยให้พลาดจนไหลร่วงตกหล่นไปคบหากัน ไปแต่งงานมีลูกกัน เพราะความจริงมันมีเวลาให้พิจารณาโดยลำดับ แพ้ก็สู้ พลาดก็สู้ แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดพลั้งเผลอไปทุกวัน กำลังมันจะมากขึ้น แต่ถ้ายอมแพ้กิเลสทุกวัน ก็มีแต่จะเสื่อมถอยตกร่วงไปเรื่อย ๆ

  1. เมตตามหานิยม

อย่างที่กล่าวกันไว้ก่อนหน้านี้ ว่ากิเลสจะทุบหม้อข้าว ดังนั้นมันจะงัดทุกเหลี่ยมทุกมุมของอวิชชาที่มันมีออกมาโชว์ ให้เราเห็นว่าเราโง่แค่ไหน เราหลงแค่ไหน ให้พยายามตั้งสติเพียรพิจารณาล้างความหลงผิดไปโดยลำดับอย่างพากเพียร อย่าโทษเขา อย่าโทษใคร อย่าโทษตัวเอง ให้มีเมตตาต่อตัวเอง ให้เข้าใจว่าทำชั่วมามาก หลงมานานมาก มันมีคราบสกปรกเกรอะกรังมาก มันก็ต้องใช้เวลา ธรรมะหรือแม้แต่เหตุการณ์ที่พิสดารอย่างมากในการชำระล้าง อย่าโกรธแค้นตัวเองที่ทำชั่วมามาก ให้ทำความเข้าใจว่ากิเลสมันก็พาให้โง่ ให้หลงไปแบบนั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพากเพียรล้างไป

อย่าไปโกรธเขาที่เขาพยายามที่จะเข้ามาจีบ มาหว่านล้อมเรา เพราะเขาไม่เข้าใจว่าความสุขแท้คืออะไร เขาก็แค่เล่นตามบทบาทของเขา เพื่อที่จะเอาชนะใจเรา เขามีความหลงผิดของเขา เราควรทำใจให้เมตตาเขา อย่าไปโกรธ อึดอัน ขุ่นเคืองใจในความไร้เดียงสาของเขา เมื่อเราล้างกิเลสไปโดยลำดับ เราจะยิ่งเห็นความจริงไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการจีบ การดูแลเอาใจ จะเห็นความจริง คือกิเลสต่าง ๆ ที่แทรกอยู่ในลีลา อาการ คำพูด มารยาเหล่านั้นที่เขาแสดงออกมา ในเบื้องต้นเราจะชัง ซึ่งเป็นธรรมชาติของลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติธรรม มันจะต้องชังความชั่วก่อน ถึงจะล้างความชั่วได้ พอล้างความชั่วได้ ที่เหลือคือล้างความยึดดี ซึ่งก็ต้องจับความชัง แล้วล้างไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกหวั่นไหว ไม่เป็นสุขอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

อย่าโกรธใครเขาที่ไม่เข้าใจเรา ในการปฏิบัติตนเป็นโสด ถ้าเขาจะไม่เข้าใจ ก็ถูกของเขา พอมาถึงจุดหนึ่งมันจะเหนือการรับรู้อย่างสามัญของโลกไปแล้ว แม้เขาจะเข้าใจอยู่บ้างว่า ศาสนาพุทธก็พากันยินดีในความเป็นโสด แต่เขาไม่เข้าใจหรอกว่าความเป็นโสดนั่นแหละคือความยินดี เต็มใจ พอใจ สุขใจ ถ้าเขาคิดเอาเอง ถ้าเป็นเขา เขาก็เป็นทุกข์ เขาจะไม่เข้าใจหรอกว่าการตั้งตนอยู่บนความโสดนั้นผาสุกอย่างไร มันเป็นเหมือนดินแดนอันเป็นทิพย์ที่เข้าไปได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตนตั้งอยู่ในคุณอันสมควรแล้วเท่านั้น ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่คนรอบข้างจะไม่เข้าใจ ให้เมตตาเขา อย่าไปถือสาเขา

  1. ปล่อยวางอย่างลูกหลานพระโพธิสัตว์

เมื่อเราทำงานของเราเสร็จ เราล้างความอยากมีคู่ของเราได้สำเร็จจนไม่เหลือแม้เศษฝุ่น หรือเศษเสี้ยวแห่งความหวั่นไหวใด ๆ ในใจเลย เราก็จะเหลือแต่งานนอก คือช่วยเหลือผู้อื่น

ด้วยกำลังของปัญญาที่เราสะสมมา จะทำให้เราเห็นมากกว่าที่เคยเห็น คือมีตาทิพย์ หูทิพย์ จะได้เห็นได้ยินความจริงตามความเป็นจริง นี่กิเลส นี่มารยา นี่ทุกข์ ปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้ จะสามารถเป็นผู้จำแนกอาการกิเลสและรู้วิธีแก้ตามประสบการณ์เท่าที่เราเคยได้ทำมา เราทำมาเท่าไหร่เราก็เก่งเท่านั้น แม้เราจะเก่งน้อยที่สุดของผู้มีปัญญาพ้นความอยากมีคู่ แต่ก็ความเก่งนั้นก็ยังห่างไกลกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างมากจนเทียบกันไม่ได้ นั่นหมายถึงเราจะสามารถเริ่มนำมาความรู้มาช่วยคนได้

คนที่เราช่วยแบบผ่านมาผ่านไปก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่คนที่เข้ามาจีบเรานี่แหละ เราจะช่วยอย่างไร กรรมเป็นของของเรา เราทำมา เราก็ต้องรับ ชาติใดชาติหนึ่งก็ไปหลับหูหลับตาจีบคนที่ไม่สมควรจีบแบบนี้แหละ ก็ทำความเข้าใจตรงนี้ ว่าแล้วก็ช่วยแนะนำเขาเท่าที่ปัญญาตัวเองมี หรือไม่ก็แนะนำคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็ช่วยไปโดยสังเกตไปโดยลำดับว่าพาเขาลดกิเลสได้ไหม พาเขาคลายความอยากจะเข้าหาเราได้ไหม

ถ้าทำสำเร็จ นั่นก็เพราะความดีมันสังเคราะห์กันพอดี เขาก็ทำดีมามาก เราก็มีปัญญาพอจะช่วยเขา และที่สำคัญเขายอมให้เราช่วย มันจึงสำเร็จ

แต่โดยมากมันจะไม่สำเร็จ พอเมตตาไปแล้ว ลงมือช่วยไปแล้ว มันไม่สำเร็จ จะทำอย่างไร? ขั้นตอนนี้คือตอนจบของการปฏิบัติธรรม คือปล่อยวางให้ได้ ทำดีเต็มที่ สุดความสามารถแล้ว มันไม่ได้ผล งานที่ต้องทำมันก็เหลือแค่เลิกทำงานเท่านั้นเอง การปล่อยวางเป็นองค์ประกอบของหนึ่งที่สำคัญของนักปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การผลักดันช่วยเขาไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่พร้อม เขายังไม่ถึงวาระที่จะเข้าใจธรรมะจากเรา เขายังไม่ถึงเวลาที่เขาควรจะพ้นทุกข์ เขายังมีอกุศลวิบากที่ต้องใช้ เขายังมีบาปที่ต้องหลงต่อไป ให้เราทำความเข้าใจแล้วปล่อยวาง

ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ต้องห่วงใคร เพราะแม้ว่าเราจะไม่สามารถที่จะช่วยเขาไว้ได้ แต่เขาจะจำสิ่งที่เราสอน สิ่งที่เราทำให้ดู สิ่งที่เราอยู่ให้เป็นตัวอย่าง แล้วพอเขาทุกข์มาก ๆ จากบาป จากอกุศลกรรมของเขา เขาจะระลึกได้ แล้วเขาจะหันมาทำตาม การที่เขาได้ให้โอกาสเราได้ช่วยเขา มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้กันได้แล้ว เราจะได้ทำหน้าที่เท่าที่ฟ้าให้เราทำ ความสำเร็จไม่ใช่สมบัติของเรา สมบัติของเรามีเพียงความผาสุก สงบเย็น แม้จะไม่สามารถช่วยใครได้ก็ตามที แท้ที่จริงเราก็ได้ช่วยไปแล้วนั่นแหละ เราได้ลงมือไปแล้ว เราได้ทำมันก็สำเร็จเท่าที่เราทำ แต่ผลสำเร็จที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นของเขา ของโลก เป็นส่วนของคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สมบัติของเรา เราจึงไม่ได้สิ่งนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาเพื่อจะเอาอะไร แม้จะเอาการได้ช่วยเราก็ไม่เอา เราก็ทำหน้าที่ไปตามธรรม เขาให้ทำ เราก็ทำเต็มที่ เราไม่ให้ทำ เราก็ปล่อยวางให้เต็มที่ แค่นี้ก็สุขที่สุดหาอะไรเปรียบได้แล้ว

สรุป… ความดีงามที่สุดคือทำตนเองให้พ้นความอยากมีคู่ให้ได้นั่นแหละ ดีที่สุด สมบูรณ์และเป็นไปได้มากที่สุด ส่วนเรื่องที่ปฏิบัติต่อคนอื่นให้เกิดกุศล ก็ทำไปตามความรู้ของตนตามที่ได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านต่าง ๆ และพร้อมวางใจ เพราะโลกนี้ พร่องอยู่เป็นนิจ จะหาความสำเร็จที่สมบูรณ์ไม่ได้เลย

30.11.62

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์