Tag: ความรัก
โสดดีหรือมีคู่ – ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ผมได้ร่วมโครงการเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย โครงการโสดดีหรือมีคู่ โดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ครับ ล่าสุดก็มีผลงานออกมาเผยแพร่กันมากมายทีเดียว เป็นแนวคิดของคนที่ปฏิบัติตนให้เป็นโสด ตามแนวทางของพุทธศาสนา ด้วยวิธีการสอนแบบแพทย์วิถีธรรม ก็ติดตามกันได้ครับ เนื้อหาด้านล่างก็ยกมาสำรองไว้ แต่ในหน้าหลักจริง ๆ ก็จะเป็นหน้า โสดดีหรือมีคู่ ครับ
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ ชื่อเล่น: ดิน เพศ:ชาย อายุ:36 ปี สถานภาพ:โสด (เคยมีแฟน)
รู้จักและปฏิบัติตามหลักแพทย์วิถีธรรมมาแล้วเป็นระยะเวลา:6 ปี
ก่อนพบแพทย์วิถีธรรม ท่านมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการอยู่เป็นโสดหรือมีคู่อย่างไร?
ตั้งแต่เด็กจนโตขึ้นมา ก็ศึกษาธรรมะทั่ว ๆ ไป ความคิดไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ การอยู่เป็นโสด ไม่เคยมีในหัว ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าดีอย่างไร ไม่สนใจ ไม่ใช่เป้าหมาย แน่นอนว่าความเชื่อก็ต้องเป็นด้านตรงกันข้าม คือเชื่อว่ามีคู่แล้วชีวิตมันจะเป็นสุขแน่นอน อย่างน้อยก็ได้สุขจากสารพัดเสพ
จริง ๆ ในการมีคู่มันก็ทุกข์อยู่ แต่สุขลวงมันก็บังไว้ ให้หลง ให้งง ให้แสวงหา ให้ยึดติดอยู่แบบนั้น ไม่ละ ไม่หน่าย ไม่คลาย นั่นเพราะยังไม่เห็นทุกข์ที่เป็นของแท้ของจริง แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะเป็นทุกข์แสนสาหัสอยู่ก็ตาม แต่ด้วยความมืดบอด ตามองเห็น แต่ปัญญาไม่มี จึงไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริง อีกทั้งธรรมะโลก ๆ จนถึงกระทั่งกลุ่มที่ศึกษา ก็ไม่มีพลังในการส่งเสริมการเป็นโสด ไม่สอนให้เห็นโทษภัยของการมีคู่ แม้ธรรมะที่แสดงอยู่ในโลกตามที่ได้รู้ เมื่อศึกษาดูก็ไม่ได้รู้สึกถึงโทษภัยใด ๆ เลย
หลังพบแพทย์วิถีธรรม ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?
มาเข้าค่ายครั้งแรกเป็นค่ายสุขภาพ แต่เมื่อได้ยินอาจารย์หมอเขียว ยกธรรมะในหมวดของการอยู่เป็นโสดและคนคู่ โดยยกพระไตรปิฎกมาอ้างอิง ก็ได้รู้มากขึ้น ได้เข้าใจถึงน้ำหนักที่มากขึ้น ได้ความชัดเจนอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน
แต่ถึงกระนั้นความอยากมีคู่ก็ไม่ได้หายจางไปไหน ความรู้ยังคงเป็นเพียงแค่ความรู้ ไม่ใช่ความเข้าใจตามจริง ก็ยังมีจิตแสวงหาอยู่ สมัยนั้นก็นั่งหน้าเวที อาจารย์ก็แสดงธรรมเรื่องคู่ ใจก็คิดถามอาจารย์ว่า แล้วมีได้ไหม? แล้วมีได้ไหม? ว่าแล้วก็หาทางจนได้ มันมีช่องเล็ก ๆ ให้มุดเข้าไป เป็นช่องอนุโลมของเด็กน้อย เราก็คิดว่าเราไม่ไหวหรอกชาตินี้ ขอมีก่อนแล้วกันนะ เอาฐานนี้แหละ
ไป ๆ มา ๆ เจอของจริงเลย คือต้องเจอทุกข์จากความรักจริง ๆ ใช้เวลาเกือบ 2 ปีกว่าจะเข้าใจ ว่าความทุกข์ที่แท้จริงคืออะไร ประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไร อะไรคือการเกื้อกูล อะไรคือการเบียดเบียน อะไรคือความรักที่แท้จริง อะไรคือความลวงของกิเลส แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนผ่านสงความมา แขนขาด ขาขาด จากการรบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในสองปี เล่นจริง รักจริง เจ็บจริง ทุกข์จริง เรียกว่าสาหัส แต่ก็ทำให้ได้เข้าใจทุกกระบวนการของกิเลสในเรื่องความรัก ตั้งแต่เกิดยันดับ จะเรียกว่าคุ้มค่าไหม? ก็ไม่หรอก เพราะถ้าเราไม่หลงไปแบบนั้นมันก็ดีกว่า เพราะอะไรที่ทำไปแล้วมันก็จะกลายเป็นวิบากกรรม มันก็ต้องรับ มันก็ต้องทนใช้
สุดท้ายก็พบว่าที่พระพุทธเจ้าตรัส ที่ครูบาอาจารย์สอน นี่แหละจริงที่สุด ผาสุกที่สุด ทางอื่นไม่สุขเลย ทุกข์ไม่จบไม่สิ้น ตอนนี้เราปฏิบัติจนได้ปัญญามาแล้ว เราก็ไม่ต้องไปโง่แสวงหาทุกข์มาใส่ตัวแล้ว มันก็สบายไป
ท่านมีการปฏิบัติต่อไปอย่างไร?
การปฏิบัติต่อจากนี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นอย่างแท้จริง ให้ได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือตนเองก็ยินดีในการอยู่เป็นโสด ยินดีในธรรมที่พาให้คนเป็นโสด และยังส่งเสริมผู้อื่นให้ยินดีและปฏิบัติตนในการอยู่เป็นโสด หรือถ้าอยู่เป็นคู่ ก็ให้มีศิลปะในการพราก ในการปฏิบัติเพื่อความละหน่ายจากคลายจากความยึดมั่นในความผูกพันธ์ ในบทละครที่หลงไปเล่น เพราะจริงๆ แล้ว สถานะคู่คือสถานะสมมุติที่คนปั้นกันขึ้นมาเอง จริง ๆ มันไม่มีอะไรหรอก คนเต็มคน จะไม่ต้องการแสวงหาคนอื่นมาเติม และยังสามารถเผื่อแผ่แบ่งปันโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือสำคัญมั่นหมายว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา นี่เป็นคนของเรา นี่คนรักเรา นี่ญาติเรา นี่เพื่อนสนิทเรา ฯลฯ มันจะเป็นอิสระจากสภาพยึดจะเสพสิ่งดีจากบุคคลหนึ่ง ๆ
และเพื่อการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น ก็จะพยายามรักษาระยะห่างกับเพศตรงข้ามที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิต ไม่ให้สนิทเกินไป ไม่ให้หวั่นไหวจนเกินเลย โดยใช้ปัญญาของเรานี่แหละ ในการตรวจจับอาการที่ดูเหมือนจะเป็นอกุศล ถ้ามีแนวโน้มว่าท่าจะไม่ดีก็ถอยออกมา หรือคบหาในระยะที่ไม่ใกล้จนเป็นอกุศลในใจเขา
รักแท้ เสียสละ ไม่ยึดยื้อรั้ง ให้เขามาเป็นของของเรา
รักแท้ เสียสละ ไม่ยึดยื้อรั้ง ให้เขามาเป็นของของเรา
ในบทความนี้ จะมานิยามความรัก ที่เรียกว่า “รักแท้” ในอีกมุมหนึ่งที่ต่างจากที่โลกของทำกัน ต่างจากที่เขาเป็นกัน ต่างจากที่เขาคิดกัน และเป็นความแท้ ที่จริงที่สุด ไม่ใช่รักที่ล่อลวงด้วยกิเลสแล้วหลงว่าเป็นรักแท้
รักแท้คือการเสียสละ ยอมสละออก ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องมีใครมาบำรุงบำเรอหรือมาดูแล ไม่ต้องมีใครมาเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อบูชาความรัก ไม่ต้องลวงเขามาเพื่อสนองกามตนเอง ไม่ต้องล่อเขามาเพื่อเติมอัตตาตัวเองให้เต็ม ยอมเป็นคนเต็มคน ไม่ต้องแสร้งว่าพร่อง เพื่อหาใครสักคนมาเติมเต็มชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยากและความยึด
หากว่าเราสามารถเลือกที่จะสละออกไปตั้งแต่แรกเลย ก็จะยิ่งบริสุทธิ์ ถ้าการนำใครสักคนเข้ามาในชีวิตแล้วทำเป็นว่าจะเสียสละเพื่อเขา อันนั้นยังไม่ใช่การเสียสละ ยังไม่ใช่ความรักที่แท้ เพราะยังต้องใช้ใครสักคนมาเพื่อบำเรอการเสียสละของตน ยังต้องการคนรับการเสียสละจากตนอยู่ ยังต้องใช้บุคคลเพื่อสนองความต้องการเสียสละของตนอยู่ ซึ่งมักจะเป็นเล่ห์ลวงของกิเลส ที่จะใช้ความเสียสละจ่ายไปเพื่อจะได้สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่จะมาสนองความอยากของตน เป็นอุบายของกิเลสที่จะแสร้งว่า “นี่ฉันจะเสียสละนะ ถ้าได้คนคนนี้มาเป็นคู่ครอง” มันยังมีเงื่อนไขในการเสียสละอยู่ คือ การได้เขามาครอบครอง ดังนั้นจึงไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นการ “เอา” มาเพื่อตนโดยวิธีการอันแนบเนียนยากที่จะสังเกตได้
ความรักที่แท้จริงนั้นไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน พาให้เจริญ ไม่ทำให้หลง แต่ความรักโลกีย์หรือรักที่เต็มไปด้วยกิเลสนั้น กลับไปในทิศทางตรงกันข้าม แล้วยังสร้างมนต์สะกดให้หลงมัวเมาว่ารักนั้นไม่ทำร้าย รักนั้นไม่เบียดเบียน พากันทำดี พากันเจริญได้ พากันมีสติรู้แจ้ง อะไรก็ว่ากันไปตามแต่กิเลสจะสรรหาคำมาปรุงแต่งให้รักโลกีย์นั้นดูสวยงาม เลิศเลอ น่าจับต้อง ไม่เป็นพิษเป็นภัย เป็นของน่าได้น่ามี
ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ดังนั้นจึงไม่ควรยึดสิ่งใดไว้เลย โดยเฉพาะเรื่องการเสียสละในความรัก เมื่อเรารู้แล้วว่ารักไม่เที่ยง รักเป็นทุกข์ และสุดท้ายรักนั้นก็ไม่มีตัวตน คือรักก็เป็นเพียงภาพลวงที่กิเลสสร้างขึ้นมา แท้จริงมันก็คือความหลงติดหลงยึดในสิ่งที่ตนชอบ พอยึดแล้วมันก็จะผูกเอาไว้ ติดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย ไม่ปล่อยวางเขาเสียที ไม่ปล่อยให้เขาเป็นไปในแบบของเขา ยังใช้อำนาจ วิธีการ อุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะยื้อและรั้งเขาไว้ ไม่ให้ไปจากเรา ให้ลุ่มหลงในตัวเรา ให้สนใจแต่เรา ให้เป็นทาสรักของเราไปจนกว่าจะเสพสุขจนสาแก่ใจ สุดท้ายก็ใช้ความเป็นเรานี่แหละเป็นบ่วงผูกเขาไว้
และแน่นอนว่าบ่วงนั้นก็ย่อมไม่เที่ยงเช่นกัน คนเราก็มีอำนาจในตัวเอง มีธรรมะ มีกิเลส มีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่อยู่นิ่ง ๆ ตลอดไป ถ้าเขาพยายามศึกษาและปฏิบัติธรรมจนเจริญ บ่วงที่เราพยายามผูกไว้ก็ย่อมไร้อำนาจ แม้ว่าจะเป็นบ่วงที่เลิศยอดที่สุด รูปที่งาม มารยาทดีเยี่ยม ทรัพย์สินมหาศาล อำนาจหน้าที่ ลูกหลานบริวาร อุดมการณ์สร้างฝัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ค่าเมื่อเทียบกับธรรมะ ดังนั้นถ้าเขาไม่เที่ยงไปในทิศทางเจริญ คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็ย่อมจะต้องทุกข์จากการพลัดพราก แต่ถ้าเขาไม่เที่ยงไปในทางเสื่อมหรือในทิศทางของกิเลส บ่วงของเราก็ย่อมจะต้านทานอำนาจกิเลสของเขาไม่ไหวเช่นกัน เขาก็จะแหวกออกไปแสวงหาคนที่เขาจะได้เสพสุขมากกว่าเรา ตามฤทธิ์ของกิเลสที่เพิ่มขึ้นของเขา เมื่อเราไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาก็จะจากไป ดังนั้น รักที่มีการยึดยื้อเหนี่ยวรั้งไว้ ย่อมไม่ใช่รัก แต่มันคือความหลง ซึ่งจะนำพาให้เกิดการทำร้าย การเบียดเบียน ความทุกข์ ความร่ำไร คร่ำครวญ หดหู่ ซึมเศร้า ฯลฯ ทั้งตนเองและผู้อื่น
เมื่อรู้แล้วว่ารักนั้นไม่เที่ยง ก็ย่อมไม่ควรยึดเอามาเป็นของตน คนที่เข้าใจสัจธรรม จะไม่แสวงหาผู้ใดมาเป็นคู่ของตน มาเป็นของของตน มาเป็นตัวเราของเรา เพราะรู้แล้วว่าสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พาให้ทุกข์ แล้วท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็ไม่ใช่สาระใด ๆ ที่สำคัญในชีวิตเลย สภาพคู่ครองไม่ใช่ที่พัก ไม่จำเป็นต้องแวะ ไม่ใช่ที่อาศัย ไม่จำเป็นต้องอยู่ สรุปคือไม่จำเป็นต้องมีในชีวิต ซึ่งจะเป็นไปตามทิศทางความเจริญตามที่พระพุทธเจ้าตรัส นั่นก็คือ ผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด คือบัณฑิต , คือคนที่ตั้งใจที่จะปฏิบัติตนให้เป็นโสดนั่นแหละคือผู้ที่เจริญ ส่วนคนที่ทำตรงข้าม ก็ต้องตกต่ำและเสื่อมลงไปตามสัจธรรม
ถ้าหากเราสามารถเสียสละได้จริง เสียสละได้ถึงจิตวิญญาณคือสละความโลภ ความอยากเอาชนะ ความหลงมัวเมาที่เคยยึดไปได้ ก็จะเหลือแต่ความแท้ของความรัก นั่นคือความหวังดี หวังให้เกิดประโยชน์แก่เขา เหลือแต่ความเมตตา ที่ไม่มีก้อนอัตตามาปน มีแต่รสแท้ ๆ ของความรัก ไม่มีหวานปรุงแต่ง เปรี้ยวแปลกปลอมปน ความขมขื่นที่ต้องยอมทน หรือความเผ็ดเร่าร้อนใด ๆ ให้แสบคันทุกข์ทรมาน มันจะมีแค่หวังดี มีเท่านั้นจริง ๆ ไม่มีหลอกล่อลวง หรือการตลบตะแลง หรือแม้กระทั่งการแลกเปลี่ยนใด ๆ คือหวังดีอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละ คนอื่นจะดีหรือไม่ดีไม่ใช่เป้าหมาย แต่จิตของเราที่หวังดี เมตตา เกื้อกูลอยู่ตลอดนั่นแหละคือสภาพของผลที่เกิดจากการเสียสละกิเลสออกไปได้อย่างแท้จริง
เป็นความรักแท้ ที่มีแต่ให้ ไม่มีการเอา เป็นสภาพของความรักที่เที่ยงแท้ที่สุด ไม่ใช่เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็ชัง แต่จะเป็นรักอยู่แบบนั้น ไม่มีความชัง เป็นรักที่เบา สงบ ร่มเย็น ประณีต ลึกซึ้ง และขัดเกลาไปในทิศทางที่พาเจริญ ไม่ใช่การให้แบบสนองกิเลส ไม่ใช่การหวังดีให้เกิดความสุขที่หลงงมงาย หากแต่เป็นความหวังดี เมตตา เกื้อกูลให้เกิดความเจริญทางจิตวิญญาณ ให้พ้นทุกข์ ให้รู้จักโทษชั่วของกิเลส ให้รู้ภัยของวัฏสงสารที่พากันหลงมัวเมาในคู่ครอง จนต้องเวียนว่ายตายเกิดแสวงหาบุคคลที่จะมาเติมเต็มตนชาติแล้วชาติเล่า
รักแท้จะเกิดได้เพราะสละกิเลสออกไป กิเลสคือสิ่งแปลกปลอมในจิตวิญญาณ เหมือนหนามที่ฝังอยู่ เหมือนฝีที่อักเสบอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้เกิดหลุม เกิดช่องที่เหมือนจะต้องหาอะไรมาเติมเต็มตลอดเวลา เมื่อสละกิเลสออกไป จิตวิญญาณก็เป็นคนเต็มคน ไม่มีรูรั่ว ไม่มีแผลอักเสบใด ๆ ให้ต้องหายาวิเศษหรือคนพิเศษใด ๆ มารักษาใจหรือมาเติมใจให้เต็ม แต่ถ้ารักนั้นยังถูกควบคุมด้วยกิเลส ก็จะต้องพบกับความทุกข์ ความปวดร้าว เศร้าโศก เสียใจ ทุรนทุราย ไปจนชั่วนิจนิรันดร์
17.5.2562
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
รัก เพื่อ ทุกข์
รัก เพื่อ ทุกข์
บางครั้ง การที่เราพยายามแสวงหาไขว่คว้าความรักและกอดมันไว้ นับเดือน นับปี จนถึงหลายสิบปีหรือกระทั่งหลายต่อหลายล้านชาติ ก็เพียงเพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่า รักมันทุกข์อย่างนี้นี่เอง…
ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่หลายคนกลับยินดีที่จะหลงรักใครสักคนหนึ่ง หลงยึดมั่นถือมั่นคนที่เพิ่งพบเจอได้ไม่นานมาเป็นหลักชัย มาเป็นเป้าหมาย มาเป็นที่พึ่งพิงของชีวิต แม้ตัวเราเองอยู่กับตัวเองมาจนถึงป่านนี้ ก็ยังทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์ ต้องเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยความโลภ โกรธ หลง ใด ๆ ก็ตาม เราก็ยังแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ แต่เรากลับเชื่อมั่นว่าใครสักคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตในบทบาทของคู่รักนั้น จะทำให้เราพ้นไปจากทุกข์ได้
มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่การมีคู่นั้นจะทำให้พ้นไปจากทุกข์ ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว เราคนเดียวก็ทุกข์จากความโลภโกรธหลงของเราจะแย่อยู่แล้ว ยังเพิ่มอีกคนเข้ามาและยึดเขาเป็นของเรา แล้วมาเพิ่มความโลภโกรธหลง แบ่งปันกิเลสตัณหาให้มันเป็นทุกข์ทวีทับถมหนักขึ้นไปอีก
จริงอยู่ที่แรกรักนั้นว่าหวาน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น” รสหวานหรือความรู้สึกสุขของความรักนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่คนปั้นแต่งขึ้นมาหลอกจิตว่าเมื่อได้เสพสิ่งนั้นแล้วจะเป็นสุข เป็นสิ่งที่คนหลงหลอกตัวเองและหลอกกันเองมาหลายภพหลายชาติ และจะหลอกกันไปอีกนานไม่จบไม่สิ้น สามารถพิสูจน์ความลวงของความหลงได้โดยการทดลองเปรียบเทียบ เช่น มีคนร้อยคน แม้เขาจะทำบางสิ่งบางอย่างที่เหมือน ๆ กันให้กับเรา เราจะไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนกันทุกคน หรือ ให้เราไปทำดีกับคนร้อยคน ให้ทำแบบเดียวกันเลย เราจะไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนกันทุกคน มันจะมีชอบมากชอบน้อยต่างกันไปตามความหลง ตามความลำเอียง ตามความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกที่เกินหรือขาดตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือความหลงทั้งนั้น ความรักที่จะต้องมีคู่มาสนองนั้นจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของความหลง
ความทุกข์จากความรัก เกิดขึ้นเมื่อไม่ได้สมใจอยาก การมีคู่คือการหาใครสักคนมาสนองตัณหา ให้ใครคนนั้นมาสร้างสุขให้ แรก ๆ มันก็อาจจะพอทนทำดีต่อกันไปได้ เพราะได้ผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน แต่วันหนึ่งสิ่งที่เขาเคยอยากได้ เคยหลงชื่นชอบ ยกย่องและให้คุณค่า มันเสื่อม มันเก่า มันแก่ มันเปลี่ยนแปลง ฯลฯ หรือไม่มันก็มีอะไรที่มันดีกว่า เขาก็อาจจะเลิกสนองตัณหาให้เราก็เป็นได้
เมื่อถึงวันใดวันหนึ่งที่เกิดความพร่อง เขาไม่ส่งส่วย ไม่บำเรอความรัก ไม่บำบัดความใคร่อยากของเราเหมือนดังเดิม วันนั้นแหละ คือวันที่จะทุกข์และทุกข์สะสมไปเรื่อย ๆ จากความไม่พอใจบ้าง จากความอยากเอาชนะบ้าง จากความหึงหวงบ้าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือผลจากความโลภโกรธหลงที่สะสมมาตั้งแต่แรกรัก หรือที่เรียกว่ากิเลส หรือรู้จักกันสั้น ๆ ว่า “บาป”
การหลงรักแล้วไม่ทุกข์นั้นไม่มีหรอก ถึงจะพยายามเลี่ยงบาลี หาคำวิเศษวิโสหรือนิยามอันสวยหรูขนาดไหนมาอ้าง การเข้าไปหลงรักมันก็ทุกข์อยู่ดี เพราะถ้าไม่มีความหลง มันก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะเข้าไปสัมพันธ์กับใคร ๆ ในเรื่องชู้สาวเลย “เหตุ” นั้นแหละคือความหลง คือกิเลส คือบาป คือทุกข์ คือความชั่วที่ทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน
ถ้ามีใครสักคนเอ่ยขึ้นมาว่า “การที่เราเข้าไปหลงรักสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะความไม่รู้” อาจจะฟังดูเป็นประโยคสรุปปัญหาที่แสนจะสั้น แต่ในความเป็นจริงนั้นการเดินทางสู่การปลดเงื่อนแห่งความหลงนั้นเป็นเส้นทางที่แสนจะยาวไกลและยากลำบาก
เพราะการที่เราจะ “รู้” โทษภัยของความหลงอย่างแท้จริงนั้น ต้องไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือทุกข์จะพอใจ ทุกข์จนสาสมใจ ทุกข์จนสาแก่ใจให้มันเข็ดขยาดไม่เอาสิ่งนั้นด้วยปัญญารู้โทษชั่วของสิ่งนั้นอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการหลงรักนั้นมีแต่ทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ สุขไม่มีอยู่จริงเลย และสิ่งนั้นไม่จำเป็นกับชีวิตแม้แต่นิดเดียว มีแล้วจะเป็นภาระด้วยซ้ำ
ความทุกข์จากความรักนั้น เป็นสิ่งที่หลายคนได้รับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะ “รู้” ถึงขนาดจะปลดปล่อยตัวเองจากความหลงได้ จะเห็นได้ว่ามีคนที่ทุกข์แต่ก็ยังทน ทนอยู่ทนเจ็บ นั่นเพราะเขาทนเพื่อจะเสพบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่เขาเรียกว่าความรักนั้น เพราะเขาหลงว่านั่นเป็นสุขมากกว่าทุกข์ ดังนั้นแม้เขาจะเป็นทุกข์ แต่เขาก็จะไม่ยินดีออกมาจากวังวนนั้น
บางคนทุกข์มากจนต้องหนีออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาได้อย่างถาวร เพราะไม่ได้มีความรู้จริงว่าการหลงรักนั้นสร้างทุกข์อย่างไร ก็จะทำได้เพียงแค่ออกจากความรักเก่า ไปแสวงหาความรักใหม่ วนเวียนทุกข์จริงและเสพสุขลวงไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน
หลักสำคัญไม่ใช่เราจะหลุดพ้นจากสภาพของคนคู่ได้หรือไม่ มันสำคัญตรงที่ว่า เราหลุดพ้นจากความหลงติดหลงยึด หลงสุขลวง ๆ ในการมีคู่ได้หรือไม่ต่างหาก รูปธรรมหรือสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่ตัวยืนยันว่าจะพ้นจากทุกข์ แต่นามธรรมหรือสิ่งที่มองไม่เห็น คือความหลงกับเรื่องใดในจิตได้ถูกกำจัดไปหรือยังต่างหาก คือตัวยืนยันว่าจะพ้นจากทุกข์ในเรื่องนั้น ๆ
เมื่อคนได้เรียนรู้ความทุกข์จากความรักหรือถึงความเข้าใจที่สุดแห่งทุกข์ของการหลงรัก คือไม่มีวันที่จะทุกข์ได้มากกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีความโง่ที่จะหลงสร้างบาปเพื่อทำทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่นไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เขาจะปล่อยวางความรักเหล่านั้นได้เอง เพราะรู้จริงแล้วว่า รักนั้นมีไว้เพื่อเป็นทุกข์เท่านั้นเอง
10.2.2560
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ความรักของแม่ไก่
ความรักของแม่ไก่
เริ่มต้นปี(ไก่) ก็นึกถึงภาพนี้ เป็นภาพที่เขาเล่าว่าแม่ไก่ช่วยดูแลลูกแมวตอนที่มีฝนฟ้าคะนอง
นิยามความรักสำหรับผม ก็มีแค่ “หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง” อะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์แก่คนอื่นผมก็เรียกว่าความรักทั้งนั้น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เหมือนรักแบบเป็นคู่ตามที่โลกเข้าใจกัน แต่เมื่อสัตว์ใดได้สัมผัสก็รับรู้ได้ว่านั่นคือความรักความห่วงใย
จริง ๆ แล้วความรักนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไรนัก แต่ที่มันยากและลึกลับซับซ้อนมันไม่ใช่เพราะความรักหรอก นั่นเป็นเพราะกิเลสต่างหาก