Tag: ความรักในอุดมคติ
ความมัวเมาในรสรัก
ความมัวเมาในรสรัก เมื่อความหลงผิด ทำให้หลงสร้างบาป ท่ามกลางความหลงสุข
การที่คนเรานั้นไปหลงมัวเมากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกจากจะสร้างภัยอันน่ากลัวให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นพากันหลงผิด และนั่นคือบาปที่จะย้อนกลับมาเล่นงานผู้ที่หลงมัวเมานั่นเอง
คนที่หลงในความรักนั้น นอกจากที่เขาเหล่านั้นจะเสียเวลาที่สำคัญในชีวิตไปกับการหลงสุขในการมีคู่ ไปหลงสร้างบาป คือการเพิ่มกิเลสให้กับตนเองโดยแลกกับการเสพสุขลวงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยังเป็นสื่อให้ผู้อื่นได้หลงผิดมาเห็นดีเห็นงามกับเรื่องทางโลกด้วย
คนที่หลงในความรักนั้น บางคนก็หลงกันอยู่นานหลายปี สิบปี ยี่สิบปี หรือตลอดชีวิต และตลอดเวลาแห่งความหลงนั้น เขาก็ได้เป็นทูตแห่งความหลงที่คอยเผยแพร่ความเห็นที่ว่า การมีคู่นั้นดี การได้มีความรักนั้นดี การมีคนดูแลเอาใจนั้นดี ฯลฯ แต่ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกหรือเผยแพร่ความเห็นใดๆเลยก็ตาม แค่เพียงความเป็นไปของเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงให้คนที่ไม่รู้เดียงสา ได้เห็นว่าการมีคู่นั้นน่าจะมีความสุขจริงอย่างที่ใครเขาว่า
เป็นบาปของคนมีคู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายั่วกิเลสคนอื่นตั้งแต่เราคบหาเป็นแฟนกับคู่ของเรา ทำให้ผู้อื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพบ้าง เรายั่วกิเลสคนอื่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเราแต่งงาน ทำให้คนอื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก และเรายั่วกิเลสคนอื่นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเราสร้างของรักใหม่ที่เรียกว่าลูก แสดงให้เห็นว่ารักนั้นได้เสพอะไร ให้เห็นว่ารักนั้นเป็นสุขอย่างไร ให้เห็นว่ารักนั้นเที่ยงแท้ยืนนานอย่างไร โดยผ่านความเป็นไปที่เราได้แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ใช่ความจริงเลย
ด้วยความหลงในสุขของเรา หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการมีคู่ การอวดคู่ หรือการบูชาความรักที่เกิดจากความหลงนั้นเป็นโทษภัยอย่างไร ความหลงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่ทำให้เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงทำให้คนที่หลงในการมีคู่นั้นภูมิใจในสถานะที่ตนเองมี เพราะหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าเราคบหากันไป 10 ปี เราก็สร้างวิบากบาป กลายเป็นตัวอย่างของคนที่หลงสุขในกิเลส ให้คนอื่นเอาอย่างไป 10 ปี ถ้าเราคบไปร้อยปีก็เป็นตัวอย่างไปร้อยปี หลงนานเท่าไหร่ก็สร้างบาปให้ตัวเองและผู้อื่นมากเท่านั้น
ทีนี้คนที่มีคู่แล้วไม่ใช่ว่ารู้ถึงโทษภัยผลเสียต่างๆแล้วจะออกกันได้ง่ายๆ การเลิกกันด้วยความไม่ยินยอมทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การไม่ผูกพันกันด้วยความหลงเป็นสิ่งที่ดี คนที่มีคู่นั้นจะมีขอบเขตในการทำกุศลที่จำกัด แม้จะพากันออกจากความหลง ไม่สร้างอกุศลกรรม พากันถือศีล ไม่สมสู่ ไม่แตะเนื้อต้องตัว ไม่พูดจากันด้วยคำหวานของกิเลส ไม่เอาแต่ใจเพราะความยึดติด แม้จะทำได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะเป็นตัวอย่างให้คนหลงติดหลงยึดในความเป็นคู่อยู่ดี เพราะคนดีที่มัวเมาในความเป็นคู่รักก็ย่อมจะอยากได้คู่รักที่ดีเป็นตัวอย่าง
ดังนั้นการเป็นโสดแต่แรกจึงดีที่สุด ไม่ต้องไปผูกให้ต้องลำบากมาแก้กันทีหลัง เพราะเมื่อมีคู่ไปแล้ว มันผูกพัน มันแก้กันไม่ง่าย ถึงจะตัดทันทีก็จะมีวิบากกรรม แม้จะใช้ความติดดียึดดี เลิกกัน อย่าร้างกัน แต่กรรมก็จะไม่ยอมอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายยังหลงในความรัก เขาก็ยังจะจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติอยู่ดี ดังนั้นคนที่มีคู่จึงไม่สามารถตัดความเป็นคู่ออกได้ง่ายๆแม้จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแค่ไหนก็ตาม
และเมื่อเขาเหล่านั้นยังมีภาพลักษณ์ของคนคู่ที่สวยงามอยู่ ก็จะเป็นสื่อให้คนที่หลงนั้น อยากได้อยากเสพในภพของคนดี อยากมีคู่รักแบบคนดี เช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นความเป็นสื่อแห่งบาป ที่จะต้องมารับวิบากบาปในภายหลัง เกิดมาชาติหน้าก็ต้องโดนคนอื่นเขามอมเมาว่ามีคู่แล้วทำดีด้วยกันได้ มีคู่แล้วพาเจริญด้วยกันได้ มีคู่แล้วปฏิบัติธรรมด้วยกันได้ ก็เลยหลงไปมีคู่ สุดท้ายก็ติดบ่วง ซ้ำไปซ้ำมา เป็นความเมาในรสรักที่ให้ผลสืบเนื่องหลายต่อหลายชาติ ต้องรับทุกข์ สร้างอกุศล สร้างบาปกันอย่างไม่จบไม่สิ้น
จนกว่าจะทุกข์จนเกินทน จนกว่าจะเห็นว่าการหลงมัวเมาในรสรักเหล่านั้นสร้างทุกข์ โทษ ภัย อย่างไร จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นภพคนโสด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกได้ง่ายๆขนาดนั้น แม้จะเกิดชาติไหนก็จะมีคนมายั่วกิเลส เอาความรักในอุดมคติมานำเสนอ เป็นคนดีก็มีความรักได้ พากันเจริญได้ ฯลฯ อีกทั้งคู่เวรคู่กรรมที่จ้องจะเข้ามาลากไปลงนรกกันทุกภพทุกชาติ
สรุปแล้วคนมีคู่ก็ต้องเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริงและรับกรรมตามที่ตัวเองก่อไว้ต่อไป ส่วนคนโสดก็เป็นโอกาสที่จะคิดทบทวน ตัดสินใจว่าจะเอาไหม? จะดีไหม? สุขลวงแป๊ปเดียวทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์เลยนะ ผูกนิดเดียวต้องตามไปแก้กันทุกภพทุกชาติเลยนะ จะเอาไหม? จะลองไหม? มันทุกข์มากนะ มันเป็นสุขลวงแต่นรกจริงๆนะ ยังจะเอาอีกหรือ?
– – – – – – – – – – – – – – –
23.8.2558
เรียนรักเพื่อผ่านพ้น มิใช่วนไปรักใหม่
เรียนรักเพื่อผ่านพ้น มิใช่วนไปรักใหม่
ความรักและความผิดหวังที่เข้ามานั้น เป็นเพียงบทเรียนในชีวิตที่เราจะต้องนำมาเรียนรู้กิเลสของตน เราจึงใช้วิบากกรรมที่มากระทบครั้งแล้วครั้งเล่าในการจะหาทางออก ไม่ใช่หาทางเข้า
คนที่หลงในความรัก มักจะเข้าใจผิดว่าความผิดหวังจากความรักนั้น เกิดมาเพียงเพื่อให้เราเรียนรู้จักรัก ระวังตัวมากขึ้น ได้เจอคนที่ดีกว่า ถ้าในความเห็นของความรักที่ไม่ครอบครองนั้นก็ใช่ แต่ถ้ายังเป็นรักที่ครอบครองนั้นไม่ใช่
ความผิดหวังไม่ได้เข้ามาเพียงแค่ทำให้เราได้เรียนรู้ความผิดพลาดของเราเพื่อไปใช้กับคนอื่นในอนาคตเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นบทพิจารณาธรรมว่าเราได้ทำกรรมอะไรมาบ้าง แล้วเรายังต้องการเสพอะไรจากความรักนั้นอีก ดังนั้นความผิดหวังเกิดขึ้นมาไม่ใช่เพียงเพื่อให้วนอยู่ในห้วงแห่งความรัก แต่มีขึ้นมาเพื่อให้ออกจากนรกของผู้หลับใหลหลงเฝ้าฝันเฝ้าละเมอถึงความรักในอุดมคติด้วย
เมื่อคนที่หลงในความรักผิดหวัง ก็จะหาวิธีที่ตนจะยังสามารถอยู่ในความรักได้อย่างเป็นสุข จะพัฒนาตนเป็นคนดีขึ้น ระมัดระวังตัวมากขึ้น การคัดกรองดีขึ้น คาดหวังมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้รักครั้งใหม่ต้องผิดหวังอย่างครั้งเก่า แต่สุดท้ายก็ยังต้องประสบทุกข์จากกรรมกิเลสของตนเองอยู่เนืองๆ เพราะยังเป็นผู้มัวเมาในความรัก เป็นคนดีที่ตาบอด เป็นคนดีที่เป็นทาสกิเลส
ส่วนคนที่มีปัญญาจะใช้โอกาสแห่งความผิดหวังแต่ละครั้งในการสำรวจใจตนเอง ว่าเราไปหลงอะไรในรักนั้น? เรายังอยากจะทุกข์อีกไหม? เรายังอยากได้อยากเสพอะไรอีกหรือ? ชีวิตเรามีสิ่งสำคัญเพียงเท่านี้เองหรือ? เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทียังต้องเป็นทาสกิเลสให้ต้องเล่นบทเป็นขอทานขอความรักขอความเห็นใจจากคนอื่นอีกหรือ? ไม่มีเขาแล้วเราจะไม่สามารถมีความสุขได้จริงหรือ?
คนที่หลงในความรัก เมื่อผิดหวังก็จะไม่ตรวจสอบให้ถึงกิเลสในใจตน แต่จะแก้ปัญหาเพียงปลายเหตุ สุดท้ายเมื่อวิบากกรรมชุดเก่าผ่านพ้นไป ได้เจอคนใหม่ที่ถูกใจ หรือคนรักเก่ามาตามง้อ ก็จะหลงวนเวียนกลับไปเสพสุขในความรักเช่นเคย แล้วเข้าใจว่าตนนั้นน่าจะเก่งขึ้น น่าจะฉลาดขึ้น น่าจะรับมือกับความเอาแต่ใจของตนและผู้อื่นได้บ้าง ตนจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนเดิมบ้าง
นี่คือการสะสมความยึดมั่นถือมั่นของคนดีที่ล้างกิเลสไม่เป็น แม้ในตอนแรกมันจะดี แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีไปตลอด วิบากกรรมนั้นมีทั้งชั่วทั้งดี เช่นที่เขาว่า ชั่ว 7 ที ดี 7 หน แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น เราจะได้รับชั่วหรือสิ่งเลวร้ายตามกรรมที่เราทำมา และได้รับดีตามที่ทำมาเช่นกัน ซึ่งเราไม่สามารถรู้ชัดได้เลยว่าเราทำกรรมอย่างไรสะสมมามากเท่าไหร่ อย่างเก่งก็คงพอจะรู้ได้จากกรรมในชาตินี้ ดังนั้นคนดีที่หลงในความรักคือคนที่ประมาทต่อความไม่เที่ยง เหมือนนักโทษที่รอคอยวันประหารที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่
สุดท้ายฉากความผิดหวังเก่าๆก็จะกลับมาซ้ำรอยที่เดิม วนมาให้เรียนรู้เช่นเดิม ให้เข้าใจว่าโลกนี้มีความพร่อง มีความไม่แน่นอน มีความพลัดพรากอยู่เสมอ ดังนั้นความผิดหวัง ความไม่ถูกใจเรา จึงเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดอย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะเตรียมใจมาดีแค่ไหน จะเป็นคนดีแสนดีมากเท่าไหร่ และถึงวันนั้นคนดีที่เอาแต่ทำดีเพื่อให้ได้รักที่ดีก็จะต้องทุกข์ระทมด้วยความผิดหวังเช่นเคย
ส่วนคนที่มีปัญญานั้น เมื่อความผิดหวังมาถึง เขาจะใช้ความผิดหวังนั้นเป็นพลังในการศึกษาทุกข์ หาเหตุแห่งทุกข์ หาการดับทุกข์ หาวิถีทางสู่การดับทุกข์ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดจากความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ด้วยปัญญาที่เห็นแล้วว่าการมีความรักที่อยากจะครอบครองนั้นเป็นทุกข์ เขาจึงเริ่มที่จะผลักกิเลสออกจากตัวเองตามกำลังที่เขามี
สุดท้ายและท้ายที่สุด นับตั้งแต่วันที่เขาได้เรียนรู้ความผิดหวัง แล้วใช้ความผิดหวังนั้นมาเป็นอาหารที่ทำให้เขาเจริญเติบโต จนกระทั่งเขามีปัญญามากพอจะรู้แจ้งโทษชั่วของกิเลสและเห็นความจริงตามความเป็นจริง
ว่าความรักแบบต้องมีคู่ ความอยากครอบครอง ความอยากได้อยากมี เหล่านี้ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เราเห็นกิเลสแล้ว เรารู้ทันกิเลสแล้ว กิเลสไม่สามารถทำอะไรกับเราได้อีกแล้ว อย่าหลอกเราอีกต่อไปเลย เรารู้แล้วว่าความอยากเหล่านี้เป็นเพียงความโง่ที่เราเคยมี บัดนี้เรามีปัญญาแล้ว เราหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว
สุดท้ายเมื่อกิเลสถูกรู้จนสิ้นสงสัย จึงสลายตัวไปตามธรรม หลังจากนั้นความผิดหวังที่เคยมีกลับไม่มี ความหวังที่เคยมีก็ไม่ปรากฏ แม้จะมีคนที่เคยรักแสนรัก เคยหลงใหลหัวปักหัวปำ เคยเป็นสุข เคยเป็นทุกข์จากเขามามากเท่าไหร่ เคยหัวเราะร้องไห้ให้กับเขามาแล้วสักกี่ครั้ง บัดนี้ทุกอย่างก็หมดความหมายไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อใจนั้นไม่มีกิเลส จึงมองความจริงตามความเป็นจริง โดยปราศจากความลำเอียงใดๆ คนที่เคยรักก็เป็นคนที่เคยรัก แต่ก็กลายเป็นเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ บนโลก ไม่มีทั้งความรัก ไม่มีทั้งความชัง ไม่ดูดดึง ไม่ผลักไส ถึงจะมีอยู่ก็จะอยู่ไปแบบนั้น ถึงจะไม่มีอยู่ก็ไม่ได้สำคัญว่าไม่มี
หลังจากนี้จะมีแต่กุศลและอกุศล มีแต่การประมาณว่าทำเรื่องใดแล้วผลจะออกมาดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องของกิเลสเข้ามาปน ไม่มีความอยาก ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นทุกข์จากความรักและความผิดหวังอีกเลย เพราะพ้นแล้วซึ่งอำนาจของความไม่รู้
และนี่คือความแตกต่างของการเรียนรักเพื่อที่จะผ่านพ้น กับคนที่เรียนรักเพื่อวนไปมีความรักใหม่ ทางแรกนั้นมีจุดจบที่แน่นอน ส่วนทางที่สองไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ ไม่รู้จะต้องวนไปถึงชาติไหน ไม่รู้จะต้องทนทุกข์ไปอีกกี่กัปกี่กัลป์ ถึงจะเห็นว่าความอยากได้อยากมีของตนเองนั่นแหละคือที่มาของความผิดหวัง
– – – – – – – – – – – – – – –
9.5.2558