Tag: คนรัก

การไม่รักใครคือที่สุดของความสุข ไม่มีความเศร้า

February 7, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 793 views 0

หามาก็นานกับหลักฐานคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับการอยู่เป็นโสดนี่มันมีแต่สุข ไม่มีทุกข์ เพราะคนทั่วไปเขาเข้าใจไม่ได้ เขาจะเข้าใจว่าโสดหรือมีคู่จะมีสุขทุกข์คนละมุม แต่จริง ๆ ไม่ใช่เลย อันนั้นก็เข้าใจตามมิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าสัมมาจะเป็นว่าโสดนี่ไม่มีทุกข์เลยมีแต่สุข ส่วนการมีคู่นั้นจริง ๆ มีแต่ทุกข์ สุขไม่มีเลย

วิสาขาสูตร “ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก

ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง เข้าใจได้ยาก รู้ตามได้ยาก ประณีต เดาเอาก็ไม่ได้ รู้ได้เฉพาะบัณฑิต

ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกตรงจนถึงผล เขาจะไม่คิดเหมือนพระพุทธเจ้า เขาจะคิดไปอีกทาง เรียกว่าความเห็นต่างกัน ที่เน้นว่า จนถึงผลนั้น เพราะในขั้นของมรรค ก็ยังไม่แนบแน่น 100% ยังมีส่วนของมิจฉา ยังพลาดได้

ที่ยกมานี้ จะได้เป็นเป้าหมายที่ถูกต้องให้คนที่พยายามปฏิบัติธรรม มันไม่มีอะไรดีกว่าความเป็นสุข ไม่มีความโศกเศร้าหรอก ไม่รักใครเลยนี่แหละ สุข เบาสบาย ไม่ต้องแบก ไม่ต้องหาม ไม่ต้องหวง ไม่ต้องเอาใครมาเป็นของเรา

ถ้าเข้าใจไม่ได้ถึงขั้นนี้อย่าเพิ่งสอนหรือบอกใครเลยเรื่องความรัก มันจะเพี้ยนไปทางหาเสพรสรัก นี่บอกตรง ๆ ผมยังเห็นใจนักเขียนดัง ๆ หลาย ๆ คนอยู่เลย ว่าเขาเอาธรรมะไปดัด ๆ ไปแปลงให้มันเอื้อไปในทางมีรัก ให้หมกมุ่นอยู่กับรัก บาปมหาศาลเลยนั่น เขาพาคนหลงมากได้ตามชื่อเสียงของเขา นั่นแหละคือปริมาณของอกุศลวิบากกรรมที่เขาจะได้รับต่อไป

ใช่ว่าเผยแพร่ธรรมะแล้วจะได้บุญกุศลเสมอไปนะ เผยแพร่มิจฉาธรรมนี่นรกกินหัวคูณไปกับปริมาณของความเห็นผิดที่ได้เผยแพร่ไปเลยนะ สรุปคือได้แต่บาปและอกุศล แต่กิเลสมันหลอกว่าได้บุญกุศล เขาก็เลยขยันทำชั่วไปอย่างนั้น …ถ้าที่ทำมันไม่พาพ้นทุกข์ อย่าทำเลยดีกว่า

ก็ตั้งเป้ากันให้ตรง ทำความเข้าใจว่าการไม่มีคนรักกับการมีคนรักนี่มันต่างกันยังกับฟ้ากับเหว สวรรค์กับนรก ไม่เสมอกัน ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน แล้วก็อย่าไปสลับตำแหน่งกันล่ะ ไม่มีรักนี่สวรรค์ มีรักนี่นรก คนหลงเขาจะกลับหัวกลับหาง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไม่เชื่อไปทำโพลดูได้ กลับหัวจากพระพุทธเจ้าเป็นส่วนมากนั่นแหละ ดีไม่ดี ถาม 1000 คน เขาก็ว่ามีรักสุข ไร้รักทุกข์ เศร้าหมองอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วหมดรักนั่นแหละสุขแท้ แถมยังไร้ความเศร้าหมองอีกด้วย โลกมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

เพิ่มคนรัก เพิ่มอัตตา

January 21, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 690 views 0

ผมสังเกตว่าคนทั่วไปเนี่ย พอเขาโสด เขาก็ลงรูปเดี่ยวใช่ไหม แล้วพอเขามีคู่ เขาก็ลงรูปคู่ แล้วลงเป็นรูปโปรไฟด์อีกด้วย มันก็เห็นเลยนะ คนเรานี่พากันเพิ่มอัตตา ด้วยความหลงรักนี่แหละ

พอมันรักแล้วมันจะเอาอีกคนมาเป็นตัวเขาของเราเลย เราเป็นของกันและกัน สารพัดสัญญาพัวพัน มันก็ยึดกันทั้งรูปทั้งนาม

เหมือนคนไปติดบ่วงยังไงอย่างนั้น บ่วงความรักนี่เหมือน เหล็กที่มันมีหนามแหลมน่ะ คือโดนคล้องไปก็จะมีทุกข์ไปเป็นลำดับในชีวิตตามการขยับ

มันก็น่าเห็นใจนะ กิเลสนี่มันไม่ปราณีใครเลย ก็เคยมีคนที่เขาว่าแน่ ๆ มาคุยกับผมนะ ก็คุยกันถึงวิธีปฏิบัติธรรม เราก็บอกว่าที่เขาเล่ามา เราเข้าใจ เราทำได้ ว่าแล้วเขาก็เกทับว่า เขามีมากกว่านี้อีก แต่ไม่บอกว่าคืออะไร เอาแต่พูดว่ามีดีกว่า มีมากกว่า รู้มากกว่า ผมก็ไม่ใช่คนจะเอาชนะอะไร เพราะเขาก็เป็นคนทักมาเอง เราก็ไม่ได้อยากจะสนใจอะไร

ผ่านมานาน มาถึงวันนี้ มาเห็นชีวิตเขา กับรูปโปรไฟด์กับแฟนสาว ก็เข้าใจ อ่อ เขามีกิเลสมากกว่านี้นี่เอง แหมก็อั้นไว้นานไม่ยอมบอกตั้งแต่วั้นนั้นว่ากามมันจัด กามมันท่วมปาก ก็เลยพูดไม่ออก สุดท้ายก็ไปเอาสาวที่ไหนไม่รู้มาเป็นอัตตาเพิ่มทุกข์ในชีวิต

นักปฏิบัติธรรมเรานี่ไม่ต้องไปเอาชนะใครหรอก ชนะใจตัวเองให้ได้ก็พอ เดี๋ยวตัวเวรตัวกรรมมาแล้วจะเอาตัวไม่รอด พอเอาตัวไม่รอดมันก็ชั้น ตกดิวิชั่นทันที ทำท่าเหมือนชนะกิเลสมาตั้งมากตั้งมาย มาแพ้สาวคนเดียวนี่มันน่าขายหน้าจริง ๆ ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้หลุมไหน

แต่เขาก็ไม่ค่อยจะมีหิริโอตตัปปะกันนะ แต่ที่จะละอาย เกรงกลัว ไม่หรอก เขาก็โชว์กันให้เห็นกันจะ ๆ นั่นแหละ นี่แหละน้า หลงกับมิจฉาธรรม แล้วกิเลสมันก็โตไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็โดนมันกิน

จะบอกเรื่องโทษภัยของความรักกับคนอื่นอย่างไร?

January 11, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 768 views 0

ต่อจากคำถามก่อนหน้านี้ที่ว่า ทำไมถึงเลือกที่จะพิมพ์เกี่ยวกับความรัก ก็มาถึงคำถามว่า ถ้าเราจะบอกเรื่องนี้กับคนคนหนึ่ง จะบอกอย่างไร

ตอบ : บอกไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจ

ผมก็ตอบไปสั้น ๆ แค่นั้น ก็ไม่ได้ขยายอะไร ก็มาขยายในนี้เหมือนเดิม

กิเลสนี่เป็นสิ่งที่คนรักและหวงแหนที่สุด คนทั่วไปไม่มีหรอก ที่จะอยากให้ใครมาบอกว่าสิ่งนั้นคือกิเลส สิ่งนี้คือกิเลส

แค่ชี้ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือกิเลส เขาก็ไม่เอาแล้ว จะให้ไปชี้โทษ มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงชี้โทษแล้วแจกแจงวิธีปฏิบัติ ไม่ต้องคิดเลย เพราะเขาไม่ได้อยากออกจากกิเลส เขาอยากอยู่กับกิเลส การไปพูดสิ่งดีที่เขาไม่อยากฟังนั่นก็คือการพูดเพ้อเจ้อนั่นเอง

ถ้าคนเขาไม่ได้อยากรู้ ไม่ได้สนใจ เราเก่งแค่ไหน เราก็บอกอะไรไม่ได้ ที่พูดไปเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เขาจะไม่ฟัง ถึงจะฟังก็ไม่รับไว้พิจารณา ถ้าเขาไม่สนใจ ไม่ถือสา ก็รอดตัวไป แต่ส่วนใหญ่ไม่รอดหรอก จะกลายเป็นเขาชังเอาล่ะซิ ก็เขาอยากได้ความรัก อยากมีความรัก เขาไม่ได้อยากออกจากความรัก ถึงเราจะไปสร้างประตูออกประดับเพชร ปูพรมแดงส่องไฟสปอตไลท์ดูดีแค่ไหน เขาก็ไม่เปิดประตูเข้าไปหรอก

ผมคิดว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ไปบอกคนนั้นคนนี้ แต่เราจะมีหน้าที่นั้นก็ต่อเมื่อเขายินดีให้เราบอกเขา อันนี้มันก็เป็นสิทธิ์ที่เขายกให้ เขาให้เราบอก ให้เราพูด เราก็พูด แต่ก็ต้องประมาณ เพราะมันเปลี่ยนแปลงกันได้ทุกวินาที เช่น วินาทีแรกเขาอยากฟังความเห็นเรา เราพูดไป 1 ประโยค เขาไม่อยากฟังแล้ว มันก็ต้องประมาณ แล้วตัดรอบไปเท่าที่เขายินดี มันก็ดีที่สุดแค่ 1 ประโยคนั่นแหละ แม้ประโยคที่ 2 3 4 … มันจะดีมาก แต่เขาไม่เอา แล้วเราจะให้ มันก็ไม่ดี เขาไม่ได้ให้สิทธิ์ในการพูดนั้นแก่เรา เราไปเอา มันก็เกินเลย ผิดศีล

เรื่องความรักนี่ไม่ใช่จะพูดทุกคนได้ เขาต้องสะสมทุกข์มามากประมาณหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม” แล้วถ้าเขายังเห็นว่าความรักสวยงาม เป็นสุข เป็นสวรรค์วิมาน เขาไม่ฟังหรอก ทุกข์ โทษ ภัยของความรักนั่นน่ะ ดีไม่ดีเขาเถียงสู้อีก ที่นี้มันก็แย่ไปอีก จากที่เขาหลงอยู่แล้ว มันก็ติดลบมากขึ้นไปอีก ติดแน่นในความเห็นผิดของตัวเองแน่นขึ้นไปอีก

เพราะเถียงนี่คือการแข่งดีอยู่ในที ว่าฉันมีดีกว่า แล้วถ้าเราลดกิเลส แล้วเขาเถียง มันก็ไปคนละทางนั่นเอง ยิ่งเถียงยิ่งแพ้ ถ้าเห็นต่างนี่ส่วนใหญ่ผมยอมเลย ไม่สู้ดีกว่า เมื่อยหัวเปล่า ๆ อันที่เขายกมาว่าความรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เราก็รู้อยู่หรอก เพราะเราก็เคยผ่านมา แต่ไอ้ที่เรามีจะให้คนไม่มีมารู้นี่มันยาก เขาต้องปฏิบัติเอาเอง แต่ก่อนที่เขาจะปฏิบัติ เขาก็ต้องอ่านต้องฟังกันก่อน ว่าจะปฏฺิบัติไปในทิศทางไหน ไม่งั้นมันจะไม่มาไม่ไป

ก็ยังดีที่การพิมพ์เผยแพร่ใน facebook นี่ยังพอขายออกอยู่บ้าง ถ้าขายไม่ออกเลย ก็คงต้องเลิก เพราะมันจะเข้าขีดเพ้อเจ้อ มันจะเลอะเทอะเปล่า ๆ แต่อันนี้ก็ดู ๆ ทรง ว่ามีคนได้ประโยชน์อยู่บ้าง มีเข้ามาถามกันเพิ่มอยู่บ้าง ได้จริงไม่จริงไม่รู้แหละ เอาเป็นว่าพอมีลูกค้าอยู่บ้างก็เลยพอไปได้

ก็อาศัยที่เขาถาม ๆ กันนี่แหละ เป็นตัวปรุงบทความขึ้นมา อีกส่วนก็เป็นข่าวสารบ้านเมือง แต่ก็ไม่ถนัดในการตอบคำถามเชิงส่วนตัวนัก เพราะมันสังเคราะห์เหตุปัจจัยได้น้อยมาก

เชื่อไหมว่าถ้าผมตอบคำถามเป็นส่วนบุคคุล เขาถามมา เราตอบไปเฉพาะเพื่อเขา ผมจะตอบได้ไม่ดีนัก คือมันต้องยั้งมือมาก ๆ ต้องเบามือมาก ๆ คือมันประมาณยากนั่นแหละ แต่ถ้าเอามาพิมพ์ตอบกันแบบเป็นบทความนี่มันจะลื่นกว่า เพราะมันสังเคราะห์องค์ประกอบร่วมที่มากกว่า มันไม่ต้องระวังมาก

มันก็ประมาณเป็นกลุ่มใหญ่เลย คือคนที่เขาสนใจ เป็นองค์รวมกว้าง ๆ ที่เราจะพอประมาณได้เท่าที่มีข้อมูล มันจะเพิ่มขอบเขตของเนื้อหาได้ ลงรายละเอียดลึกซึ้งขึ้นได้

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ส่วนหนึ่งผมไม่ค่อยตอบส่วนตัวสักเท่าไรนัก เพราะมันคิดไม่ออก เอาแบบรวม ๆ ดีกว่า แล้วค่อยมาอ่านหาประโยชน์กันเอาเอง สนใจก็อ่าน ไม่สนใจก็เลื่อนผ่านไป ง่ายดี ไม่ต้องไปบังคับบีบคอใครให้อ่าน

สิ่งดีเรามีอยู่ เราเผยแพร่อยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปยัดเยียดใครให้มาอ่านหรือให้ใครมาสนใจ เราก็พิมพ์ในหน้าเรานี่แหละ ใครสนใจเดี๋ยวเขาก็มาดูเอง

เดี๋ยวเขาทุกข์จนเกินทนเดี๋ยวเขาก็มาเอาถามเราเอง เขาไปลองวิธีอื่นมาแล้วมันไม่พ้นทุกข์ ถ้าเขาทำดีมาก ๆ เดี๋ยววันนึงเขาก็วนมาเจอเราเอง

ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธไม่ต้องแสวงหาหรือล่าบริวาร ไม่ต้องหาใครมาอ่านมาฟัง ไม่ต้องไปคิดใหญ่ เอาเท่าที่มีนั่นแหละ ได้เท่าไหร่ก็เป็นจริงตามนั้น มันสบายใจ ไม่ต้องพยายามจะล่อลวง หลอกล่อใคร เป็นการทำดีที่มีอิสระ

ความรักไม่เที่ยง

September 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,690 views 0

ความรักไม่เที่ยง

ความรักไม่เที่ยง

เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความรักในวันนี้จะเป็นเหมือนกับเมื่อวาน ความรักในวันพรุ่งนี้จะยังคงเป็นเหมือนในวันนี้ และในอนาคตต่อไปอีกหลายเดือนหลายปีข้างหน้าความรักที่เรารู้จัก จะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม?

ความไม่เที่ยงนั้นคือความเปลี่ยนแปลงที่มีทั้งสภาพที่เพิ่มขึ้น ลดลง จนกระทั่งดับไป และมันจะไม่อยู่คงที่เหมือนเดิมตลอดกาล

สำหรับคนที่ประมาทต่อพลังของกิเลสที่ซ่อนอยู่ในภาพของความรัก ก็อาจจะปล่อยให้ความรักที่ปนด้วยกิเลสนั้นเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เช่นเดียวกับการที่ใครสักคนก้าวเข้ามาในชีวิต เข้ามามีความสัมพันธ์หรือกระทั่งเข้ามาจีบ ในตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะหลงรัก แต่พอเขาเข้ามาดูแลเอาใจ เข้ามาบำรุงบำเรอกิเลส ซึ่งสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวก็มักจะสายไปเสียแล้ว หลงรักหมดตัวหมดใจไปแล้ว เหมือนกับโดนคำสาปให้ต้องหลงงมงายอยู่กับความรักจนถอนตัวไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้คงอยู่เช่นนั้นตลอดไป เมื่อมีเกิดมันก็ต้องเสื่อมและดับลงสักวันหนึ่ง ไม่มีความรักใดที่เหมือนเดิมทุกวัน มันมีความเปลี่ยนแปลง แต่เราจะสามารถเห็นและเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของมันได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผู้ที่เข้าไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าการมีความรัก การมีคนรัก การมีคู่รักนั้นดี เป็นสิ่งมีคุณค่า เป็นประโยชน์ เป็นความสุข จะไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่จะเห็นตามที่ตนเองอยากเห็นเท่านั้น คือเห็นว่ารักนั้นเที่ยง เห็นว่าเรานั้นสามารถรักษาความรักได้ยืนนาน เห็นว่ารักนั้นจะคงอยู่ยั่งยืนตลอดไป

…เมื่อความจริงไม่เป็นดังความฝัน เมื่อรักทั้งหลายนั้นย่อมเสื่อมและดับลงไปตามกาลเวลา ผู้ที่ยังหลงติดหลงยึดจึงต้องเจ็บปวดกับการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

ถ้าความรักนั้นดีจริง มันก็คงจะดีอยู่เช่นนั้นตลอดกาล แต่ในความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักนั้นมักจะต้องมีการดูแลเอาใจใส่ เพื่อเป็นอาหารให้ความรักนั้นคงอยู่ได้ แต่ความรักเช่นนี้ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันเต็ม ต้องให้อาหารตลอด ต้องเติมต้องเพิ่มตลอด เสพไม่รู้จักอิ่ม เมื่อไม่ได้เสพสมใจก็เกิดความไม่พอใจ หงุดหงิดรำคาญใจ เรียกร้องขออาหาร หากยังไม่ได้ก็จะทำให้เกิดทุกข์ยิ่งขึ้น ส่วนจะทุกข์มากทุกข์น้อยก็แล้วแต่ว่าเคยหล่อเลี้ยงความรักกันมาอย่างไรถ้าบำเรอกิเลสมากก็ทุกข์มาก บำเรอกิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย

ความหลงจะหลอกให้เราหาข้ออ้างในการมีคู่ หลอกให้เราเข้าไปคว้าสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน โดยจะมีความเห็นและเข้าใจว่าการเป็นคู่รักนั้นสามารถหาประโยชน์ได้แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่มีตัวตน ไม่มีจริง ไม่มีสาระตั้งแต่แรก ดังนั้นผู้ที่เห็นสิ่งที่ไม่มีสาระว่าเป็นสาระ จึงเป็นสภาพที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตั้งแต่แรก

ผู้ที่เข้าใจความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีสาระใดๆในความรักเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่เอาตัวเข้าไปคลุกคลีกับความรักที่มากกว่าการเป็นเพื่อน เพราะไม่มีประโยชน์ใดเลยที่เราจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่ไม่มีสาระ ว่าเป็นสาระ เป็นสิ่งสำคัญเป็นของจริง เป็นตัวตน

– – – – – – – – – – – – – – –

3.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)