Tag: ถูกทิ้ง

โดนทิ้ง ควรจะดีใจไหม?

January 4, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 725 views 0

มีคำถามมาว่าโดนทิ้งข้ามปี ควรจะดีใจไหม?

จะโดนทิ้งข้ามปี อกหักข้ามปี หรือจะโดนเทข้ามปี จริง ๆ โดนทิ้งมันก็ไม่ข้ามปีหรอก โดนทิ้งตอนไหนก็ตอนนั้น เพราะโดนทิ้งเป็นลักษณะเชิง active คือเกิดขึ้นเป็นครั้ง ๆ ไม่ใช่สถานะที่แช่อยู่อย่างถาวร

ส่วนควรจะดีใจไหม? ถ้ามีคู่แล้วมันทุกข์มาก การจะดีใจที่หลุดพ้นมาได้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายนัก แต่ก็อย่าไปเสียพลังงานกับมันมากเกินเพราะ เพราะการเจอกัน(เกิดขึ้น) คบกัน(ตั้งอยู่) เลิกกัน(ดับไป) มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

สิ่งที่เราควรจะทำคือทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันหมดกรรมหมดวาระต่อกัน เขาก็ต้องจากไปตามกรรมของเขา เราทำดีทำชั่วมาเท่านี้ ก็ได้รับผลเท่านี้ มันก็จบไป

การที่เขาทิ้งเรานี่มันดีอย่างหนึ่งตรงนี้เราไม่ได้มีเจตนาจะทิ้งใคร ก็ควบคุมแค่ตนเองไม่ให้ไปเศร้าโศกเสียใจก็พอ แล้วทิ้งปีเก่านี่มันดีกว่าข้ามมาทิ้งปีใหม่นะ เพราะคนส่วนใหญ่เขาก็สำคัญว่าปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามา อะไรอย่างนี้ ถ้ามันข้ามปีมาแล้วค่อยทิ้งต้นปีมันจะเจ็บปวดมากขึ้น เพราะมันจะหาเหตุให้ลืมทุกข์ได้ยากขึ้น ถ้าทิ้งก่อนปีใหม่ นี่มันยังมีเหตุผลมากลบ ๆ ได้อยู่บ้าง

เราควรจะยินดีที่เขาทิ้งเรา ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าความรักมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันยึดอะไรไว้ไม่ได้เลย เราก็ทำความเห็นให้ถูกว่า รักไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นเหมือนกันทั้งหมด คือ เจอกัน คบกัน เลิกกัน มีแค่นี้จริง ๆ ไม่บอกเลิกก็ต้องตายจากกันอยู่ดี ดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเสียเขาไป แล้วเราจะไปหยิบเขามายึดไว้ทำไมในเมื่อสุดท้าย เขาหรือเธอเหล่านั้นก็เป็นเหตุให้เราต้องเป็นทุกข์

อย่าไปพยายามหาเหตุผลเอาคู่มาอยู่ในการดำรงชีวิตให้มันมาก มันจะวุ่นวาย คนที่เขาอยู่เป็นโสดแล้วได้ดิบได้ดีก็มีเยอะ แม้แต่มีลูกแล้ว แยกออกมาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยวก็มีให้เห็นกันแล้วว่าหลายคนก็เป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิต ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้

ดังนั้นสถานะ ถูกทิ้ง หย่าร้าง หม้าย พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว อะไรพวกนี้มันไม่ใช่ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะไปยึดเขาไว้ ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับเขาเราก็จะไม่ทุกข์ ถ้าเราหัดพึ่งตน ไม่พึ่งเขาเราก็จะไม่ทุกข์เมื่อขาดเขาไป

จะพ้นทุกข์ มันต้องเลิกยึดไปตามลำดับ เอาคนนอกกายก่อน คนที่มีเป็นคู่นี่ไม่ใช่เลือดเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่ญาติเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้มีความเกื้อกูลอะไรเลย นอกจากการพากันไปหลงงมงายอยู่กับเรื่องกิเลส มันก็ต้องเลิกยึดเขามาเป็นของเราก่อนให้ได้ กลับมายึดตัวเอง มาพึ่งตัวเองเป็นลำดับ แล้วค่อยหัดสลายตัวตนของเราอีกทีหนึ่ง ถ้าเป็นลำดับแบบนี้จะพ้นทุกข์ได้

แต่ถ้าไม่หัดพึ่งตนเลย จะพึ่งแต่คู่ครอง เกาะเขาไว้เป็นที่พึ่ง พึ่งเงินเขา พึ่งบารมีเขา พึ่งความสบาย อันนี้มันก็ไม่ใช่ทางที่ถูก เพราะมันไม่พึ่งตน แถมยังจะไปเอาจากเขามาเสพอีก ส่วนมากความรักก็แอบเสพกันแบบนี้ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เปรียบเหมือนเอาป้ายมาแปะบังไว้ให้สวย ๆ เฉย ๆ แท้จริงก็มีแต่เรื่องกิเลส เรื่องกาม เรื่องอัตตา ก็ยึดกันไว้ด้วยสารพัดเหตุผล พอเขาทิ้งมันก็ทุกข์สิ มันจะเหลืออะไร

คนยึดคู่ไว้ ต่อให้บอกว่าควรดีใจก็ดีใจไม่ออกหรอก มันจะซึมเศร้าเพราะเสียของรักวันยังค่ำนั่นแหละ นี่ถ้าไม่รักก็ไม่ทุกข์แล้ว ก็หลงไปรักเอง รักเอง ยึดเอง ช้ำเอง เราอวดเก่งจะโทษใคร … พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ มีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 1 ทุกข์ 1 ไม่รักเลย ไม่ทุกข์เลย แล้วจะไปพยายามหารักมาใส่หัวให้มันทุกข์ทำไม อย่าไปเก่งเกินพระพุทธเจ้าเลย อย่าไปหลงตามใครเขาว่ารักแบบนั้นแบบนี้มันจะไม่ทุกข์ ระวังให้ดีเถอะ นั่นพญามารปลอมตัวมาหลอก ให้คนหลง เมา ๆ กันไป แท้จริงตัวเองนั่นแหละ อยากเสพ เลยสร้างวาทกรรมที่พาให้คนหลงว่ามีรักแต่ไม่มีทุกข์ก็ได้ อะไรประมาณนั้น ระวังไว้ อันนั้นมันตรงข้ามกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

สุดท้ายก็จะสรุปไว้ว่า ถ้าเราไม่มีความยึดในคู่ ถ้าเขาเลิกไป มันจะมีแต่ความยินดีในจิต เพราะมันหมดภาระที่มีต่อกัน หมดเหตุผลที่จะต้องแบกกัน มันก็เบาขึ้น สบายขึ้น มันจะมีแต่ความโล่ง เบาสบาย ไม่หดหู่ ไม่เศร้าหมอง ยินดี พอใจ ถูกทิ้งด้วยใจผาสุก

ขอบคุณที่…ทิ้งฉันไว้กลางทาง

July 12, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,910 views 0

ขอบคุณที่...ทิ้งฉันไว้กลางทาง

ขอบคุณที่…ทิ้งฉันไว้กลางทาง ก่อนที่เราจะทำบาปแก่กันและกันมากไปกว่านี้

เรื่องราวของคู่รักบนเส้นทางอันยาวไกล ไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายนั้นอยู่ที่ไหน เราอาจจะพอรู้ได้ว่าความสัมพันธ์นั้นมาถึงจุดไหนเมื่อผ่านสถานะของ เพื่อน คนรู้ใจ แฟน หรือสามีภรรยา ถึงแม้เราจะผ่านช่วงเหล่านั้นมาแล้วแต่การเดินทางของชีวิตคู่ก็ต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่คนใดคนหนึ่ง จะถูกทิ้งไว้กลางทางเพียงลำพัง

เมื่อความสัมพันธ์ในรูปแบบคู่รักได้เกิดขึ้น ก็ต้องคอยประคองความสัมพันธ์ ไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป คอยเอาอกเอาใจรับใช้ เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ เป็นเหตุแห่งความสุขของกันและกัน เป็นตัวตนของกันและกัน เป็นสิ่งผูกมัดซึ่งกันและกัน เป็นบาปของกันและกัน จนสุดท้ายกลายเป็นอกุศลกรรมที่ผูกกันและกันไว้

แต่ถึงแม้จะเอาพยายามทำตัวเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี ก็ไม่ได้หมายความจะต้องได้รับสิ่งที่ดีตลอดเวลา คนเราทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ผลของกรรมไม่ได้ผูกกันด้วยเรื่องดีเพียงอย่างเดียวมันยังมีเรื่องร้ายด้วย คนที่เข้ามาผูกพันจึงถูกเรียกว่า “คู่เวรคู่กรรม” เพราะเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ต้องมาคอยใช้หนี้บาปหนี้กรรมแก่กันและกัน

การพลัดพรากสร้างความทุกข์ให้กับคนที่ยึดมั่นถือมั่น การถูกทิ้งเป็นเพียงฉากละครฉากหนึ่งที่ผลของกรรมลิขิตไว้ เรามักจะเห็นว่ามีหลายเหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นแล้ว เพราะนั่นเป็นผลของกรรมที่เราทำมาเอง ไม่ใช่จากเหตุอื่นใด

เมื่อผลของกรรมได้พรากคนรักไปจากชีวิตรักในอุดมคติที่เคยฝัน ก็เหมือนกับม้าที่ถูกเปลี่ยนกลางศึก กลายเป็นม้าตัวเก่าที่ถูกทิ้งอย่างไรเยื่อใย ได้แต่มองเขาจากไปพร้อมกับม้าตัวใหม่ที่เขาชอบใจมากกว่า การถูกทำลายคุณค่าในตัวตน ทำลายความหวัง นั้นทำให้ผู้ยึดมั่นถือมั่นทุกข์แสนสาหัส

แต่ถ้าหากเราลองพิจารณาให้ดี การที่ความสัมพันธ์ใดๆ ถูกทำลายไปก่อนจะถึงฝั่งฝันนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ การที่เขาออกไปจากชีวิตเรา นอกจากเรื่องของวิบากกรรมซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แล้ว ก็มักจะเป็นเรื่องของกิเลสเป็นส่วนใหญ่

การที่คู่รักต้องพรากจากกันไปเพราะมีคนใหม่ก็มักจะเกิดจากการที่คนเก่าไม่สามารถสนองกิเลสให้ได้ พอคนกิเลสหนาไม่ได้รับการบำเรอให้เกิดสุขก็ต้องไปหาคนใหม่มาบำเรอตน ทำให้คนเก่าที่ไม่สามารถสนองกิเลสได้อย่างใจถูกทิ้งให้กลายเป็นอดีต

ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วที่เราถูกทิ้ง เราไม่ได้ถูกคนดีทิ้งไป แต่เราถูกคนกิเลสหนาทิ้งไป คนกิเลสหนาก็ชั่วตามปริมาณของกิเลสที่มี คนที่ทิ้งคู่รักที่บำเรอตนไม่ได้ไปหาคนใหม่เพื่อจะสนองตนเองได้มากกว่า คือคนที่เสพไม่เคยพอ นั่นหมายถึงการที่เขาทิ้งไปคือ คนชั่วหนึ่งคนหายไปจากชีวิตเรา เราก็ควรจะยินดีที่ได้พ้นจากภาระ ที่ต้องคอยสนองกิเลสแก่กันและกัน ไม่ต้องสะสมบาปกันไปให้ชีวิตมันทุกข์ไปมากกว่านี้

การที่นักรบเปลี่ยนม้ากลางศึก ม้าตัวเก่าที่ถูกทิ้งก็มีโอกาสไปทำประโยชน์ให้ตัวเอง ดูแลตัวเอง แต่ม้าตัวใหม่ก็ต้องไปทำบาปร่วมกันนักรบคนนั้น ไปเป็นเครื่องมือที่เอื้อให้ไปทำร้ายทำลายผู้อื่น เรียกได้ว่าไปร่วมบาปกันนั่นเอง

เพราะจริงๆแล้วเราไม่รู้หรอกว่าความเป็นคู่รักนั้นจะไปสิ้นสุดลงตรงไหนแบบใด เราต้องเวียนว่ายตายเกิดตามไปผูกพัน ไปรัก ไปทุกข์กันอีกกี่ชาติกว่าจะจบ ต้องได้อีกเท่าไหร่กว่าจะสมใจหมาย เหมือนกับการเดินทางที่ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าต้องเสพสุขจากความเป็นคู่รักอีกแค่ไหนถึงจะพอ แม้จะทำได้เพียงแค่ยึดเขาไว้เป็นของตนแล้วก็หลงคิดไปว่าเขาจะต้องอยู่กับเราตลอดไป

ดีเสียอีกที่เขาทิ้งเราตั้งแต่วันนี้ เพราะเราได้รู้จุดจบ ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคือความพลัดพราก คู่รักนั้นไม่ยั่งยืน มีแล้วเป็นทุกข์ และมันก็ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนอะไรของเราเลย ขาดเขาเราก็ยังอยู่ได้ ยังกินได้ ยังนอนได้ ยังหายใจได้ จริงๆแล้วเขากับเราไม่เกี่ยวกันเลยด้วยซ้ำ เราไปหลงเอาเขามาผูกเป็นคู่ไว้เอง พอเขาทิ้งเราหนีไปเราก็เสียใจ ทั้งที่จริงๆแล้วเขาไม่ใช่ของของเราตั้งแต่แรก ไม่มีใครมีกันและกันตั้งแต่แรก มีแต่คนที่หลงว่าการมีคู่เป็นสุข แล้วก็มาเจอกันร่วมเสพสุขบำเรอกิเลส ชาติแล้วชาติเล่า สร้างบาป สร้างอกุศลกันมากมาย ยิ่งเสพยิ่งหิว ได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่ม จึงต้องหาคนมาเสพเพิ่ม ทำร้ายคู่ชีวิต วนเวียนกันล้างแค้นเอาคืนกันไม่จบไม่สิ้น

จะดีไหมหากเราจะ ”ขอบคุณ” ที่เขาได้ทิ้งเราไว้ก่อนที่จะผูกพันกันไปมากกว่านี้ ก่อนที่เราจะทำบาปร่วมกันไปมากกว่านี้ ก่อนที่เราจะผูกภพผูกชาติกันไปมากกว่านี้

จะดีไหมหากเราจะใช้ “การถูกทิ้งครั้งนี้เป็นโอกาส” ในการเลิกผูกปม เลิกจองเวรจองกรรม เลิกไปผูกพันกับใครให้ต้องคอยมาแก้ มาคอยแบกทุกข์กันอีก

จะดีไหมหากเราจะใช้ “อิสระที่ได้กลับคืนมา” ในครั้งนี้ ศึกษาให้เห็นเหตุและผลของเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ให้รู้ลึกถึงความเป็นมาว่าทำไมเราจึงต้องทนทุกข์ขนาดนี้ เหตุแห่งทุกข์คืออะไร และจะดับทุกข์นั้นได้ไหม แล้วจะดับด้วยวิธีอะไร

เราไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระใดๆอีก ไม่ต้องคอยสนองกิเลสใคร ไม่ต้องให้ใครมาบำเรอกิเลสเรา นั่นหมายถึงเราไม่ต้องสร้างบาปใดๆแก่กันและกันอีก การที่เราถูกทิ้งนั้น หากจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีกก็คงจะมีแต่เรื่องดี เพราะเราได้ใช้กรรมชั่วไปหมดแล้ว ถูกทิ้ง ถูกทำให้ทุกข์ไปแล้ว รับกรรมไปแล้ว ผลของกรรมนั้นก็หมดไป เราก็ไม่ต้องสร้างเพิ่ม ไม่ต้องพยายามหาเหาใส่หัว ไม่ต้องไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ต้องลำบากทีหลัง

สรุปได้ว่า ดีแล้วที่ทิ้งฉัน ขอบคุณที่ทิ้งกันไว้ที่ตรงนี้ ดีแล้วที่ไม่ต้องพากันไปลงนรกอีก ขอบคุณที่เข้ามาให้ได้ชดใช้กรรมชั่วที่เคยทำไว้ และเห็นใจจริงๆกับบาปครั้งนี้ที่เธอได้ทำไว้ เพราะเธอคงต้องได้รับมัน “เหมือนกับที่ฉันได้เคยทำชั่วไว้หนักหนาจนมีผลของกรรมให้ต้องทนทุกข์เพราะโดนทิ้งในชาตินี้เช่นกัน

– – – – – – – – – – – – – – –

12.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)