Tag: ตัวเวรตัวกรรม

คนรักในฝัน มีอยู่จริงหรือ?

April 25, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,501 views 0

คนรักในฝัน มีอยู่จริงหรือ?

คนรักในฝัน มีอยู่จริงหรือ?

ความรักในมุมของคู่ครองกับความฝันนั้นก็เป็นเหมือนกับเรื่องเดียวกัน หลายคนเฝ้าฝันว่าวันใดวันหนึ่งจะเจอกับคนในฝัน จินตนาการปั้นปรุงแต่งกันไปตามความอยากของแต่ละคน

ในทางโลกนั้นเขาก็ว่า ต้องเหมาะสมกันบ้าง ต้องพอดีกันบ้าง ต้องส่งเสริมกันบ้าง ต้องสร้างกุศลร่วมกันบ้าง ต้องพากันเจริญบ้าง หลายๆเหตุผลที่จะทำให้เราเฝ้าฝันถึงคู่ครองในอุดมคติ

แต่ในทางธรรมนั้นกลับบอกว่าการไม่มีคู่ครองนี่แหละดีที่สุด คนที่ปัญญายังไม่รอบ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ยังจะพยายามแสวงหาคู่ครอง ที่ว่าดี ที่ว่าเลิศ ตามหาในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ตั้งสเปค ตั้งภพว่าอย่างน้อยๆต้องแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ถึงจะยอมเป็นคู่ มีกำแพง มีกฎเกณฑ์ มีรูปแบบ หรือเรียกรวมๆว่ายังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่

ถ้าจะให้ตรงๆเน้นๆ เลยก็คือ “การที่ยังคิดว่าคนในฝันยังมีอยู่จริง ก็คือยังโง่อยู่นั่นเอง” เพราะแท้จริงแล้วการที่เราไปแสวงหาคู่ครองในฝันนั้นก็เหมือนไปคว้าสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มาเป็นตัวตนของเราแม้แรกเจอจะดูดี หน้าตาดี ฐานะดี การงานดี บุคลิกดี นิสัยดี ธรรมะก็มี แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ล่อให้เราเข้าไปติดกับดักของความหลง และคนที่ถูกใจเรานั่นแหละคือ “ตัวเวรตัวกรรม

กิเลสของเราจะล่อเราให้ไปติดกับดักที่ตัวเองคาดฝันไว้ มีเหตุผลมากมายที่จะยอมสละโสดหรือพลีกายให้กับคนในฝัน สุดท้ายไม่ว่าจะได้คู่ที่แย่สุดแย่หรือดีปานเทวดามาเกิด มันก็อยู่ใต้อำนาจของกิเลสอยู่ดี มันก็วนอยู่ในความหลงอยู่ดี ไม่มีหรอกที่ว่าคนมีปัญญาเต็ม สติเต็ม จะยังหลงอยู่ได้ มีแต่คนด้อยสติปัญญาเท่านั้นที่จะละเมอเพ้อพกไปกับสิ่งที่ไม่จริง

หลายคนมีข้ออ้างมากมายที่ดูเหมือน “ฉลาดฉิบหาย” เพียงเพื่อที่จะได้มีคู่ ข้ออ้างเหล่านั้นเองคือความร้ายกาจของกิเลสที่พาให้คนหลงว่าตนเองมีปัญญา ซึ่งแม้แต่นักปฏิบัติธรรมหรือนักบวชก็ต้องพลาดพลั้งเพราะพลังของกิเลสมานักต่อนักแล้ว

สุดท้ายพวกเขาก็ยอมโง่อย่างยินดีเพื่อแสวงหามาเสพให้สมกิเลส หลอกตัวเองและหลอกคนอื่นว่าคนในฝันยังมี รักที่ดีก็ยังมี หลงมัวเมาอยู่ในความลวง วนเวียนทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนไปเรื่อยๆจนกว่าจะเรียนรู้ได้เองว่า “ความเป็นโสดนี่แหละดีที่สุด

– – – – – – – – – – – – – – –

25.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร

December 1, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,335 views 0

เนื้อคู่...อยากรู้ว่าใคร

เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร

ถ้าพูดกันถึงเรื่องความรักก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเนื้อคู่ โดยเฉพาะคนโสดที่ยังเฝ้าฝัน เฝ้าใฝ่หาใครสักคนมาครองคู่ซึ่งเรามักจะเรียกคนนั้นว่า “เนื้อคู่” เรามักจะเข้าใจคำว่าเนื้อคู่ไปในเชิงอุดมคติ ฟังดูโรแมนติก เหมือนเรื่องในนิยาย พาให้ฝันหวาน พาให้เคลิ้มไป ทั้งๆที่เนื้อคู่นั่นแหละคือ “ตัวเวรตัวกรรม” ของจริงเลย

ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่ในบทของคู่รัก โดยรวบรวมมาทั้งหมด 13 หัวข้อ ซึ่งจะค่อยๆตอบคำถามคลายความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อคู่ไปตามลำดับ

1).เนื้อคู่อยากรู้ไปทำไม?

คงจะสงสัยว่ามันมีจริงไหม ที่เขาว่ากันว่าคนเรามีเนื้อคู่ คนที่มีครอบครัวหรือมีคนรักแล้วส่วนใหญ่ก็คงจะไม่สงสัยเพราะได้เจออยู่ตรงหน้าแต่ส่วนจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่อง คนที่อยากรู้เรื่องเนื้อคู่โดยมากจะเป็นคนโสดหรือคนอกหักที่ผิดหวังกับความรักมา

จริงๆแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องเนื้อคู่ไปทำไม เพราะถึงรู้ไปแต่ไม่เจอมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี หรือถึงจะเข้ามาในชีวิตแต่เราไม่ยินดีหรือไม่ประทับใจมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี เนื้อคู่จึงกลายเป็นวิมานบนฟ้าที่จับต้องไม่ได้เป็นเหมือนภาพสวยๆเอาไว้ปลอบใจคนให้เฝ้าฝันว่าสิ่งที่ค้นหานั้นมีอยู่จริงสักวันคงจะเจอ

ก่อนจะอ่านต่อไปก็ให้ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราอยากจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม รู้แล้วมันมีประโยชน์อะไร รู้ไปแล้วมันมีความสุขขึ้นไหม หรือยิ่งรู้ยิ่งทุกข์

2).เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร?

การที่เราจะไปอยากรู้ว่าเป็นใคร คนไหน ทำอะไร มาเมื่อไร เรามักจะใช้ช่องทางที่ผิด คือไปดูดวง ไปดูหมอ ไปฟังการทำนายต่างๆ ซึ่งส่วนมากก็จะไม่ตรงและเป็นโทษ

เพราะทำให้เราหลงสะกดจิตตัวเองเข้าไปในภพหรือในความคาดหวังตามลักษณะที่เขาระบุเข้าให้แล้ว เมื่อเจอคนที่ตรงตามลักษณะก็อาจจะทำให้หลงไปเองทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแต่กิเลสนั้นพาให้เราเข้าไปเกี่ยวเอง

การจะรู้ได้ว่าเนื้อคู่เป็นใครนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อพบแล้ว เจอแล้ว หลงแล้ว รักแล้ว ทุกข์แล้ว คือพอเจอแล้วสุขแล้วทุกข์ หนีเท่าไรก็หนีไม่ได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็เล่นเอาหลงแทบตายหรือไม่ก็ไปตาสว่างตอนแต่งงานแล้ว คนที่อยู่กับเราใกล้ชิดกับเราแล้วทำให้เกิดทุกข์สุขนั่นแหละเนื้อคู่ เป็นคู่เวรคู่กรรม เป็นตัวเวรตัวกรรมที่เกิดมาสร้างบุญสร้างบาปร่วมกับเรา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางสร้างบาป

3).เนื้อคู่จะพบเจอได้อย่างไร?

การพบเนื้อคู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดที่ต้องเดินทางไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนให้มันลำบาก ถ้าไม่มีกรรมร่วมกันขอให้ตายก็ไม่มีวันเจอ จะบินไปอ้อนวอนบนบานเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลกก็ไม่มีทางได้พบ เพราะเนื้อคู่เป็นเรื่องของบุญและกรรม

ผู้คนมักเฝ้ารอคอยว่าเนื้อคู่จะเป็นใคร มาถึงเมื่อไหร่ เขาจะเป็นอย่างไร เฝ้าตามหา เฝ้ามองหาซึ่งจริงๆแล้วเรื่องเนื้อคู่มันง่ายกว่านั้น ง่ายจนไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พอถึงเวลาเขาก็มาเคาะประตูหน้าบ้านเอง หรือไม่ก็จะมีอะไรบางอย่างดลให้ได้พบเจอ ได้ผูกพัน ได้ใกล้ชิด ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยไม่จำเป็นต้องไปวอนขอกับใครที่ไหน

การวอนขอหรือตั้งจิตขอนั้น แท้จริงเป็นการเบิกบุญกุศลของตัวเองนำสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาออกมาใช้ นั่นหมายถึงถ้าเราเคยทำกรรมเรื่องคู่ไว้ เราก็อาจจะได้เจอก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลใครไว้ ไม่เคยทำดีหรือทำชั่วกับใครไว้ก็ยากที่จะดึงใครเข้ามาในชีวิตเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วหากเราเบิกกุศลที่ตัวเองเคยทำมามันจะไม่ได้ทันที ฟ้าหรือกรรมจะแกล้งไม่ให้เรารับผลที่เราอยากได้ในทันที เรามีกรรมที่จะมีคู่จริงนะแต่โอกาสนั้นมันจะยังไม่เป็นของเรา เพราะเราอยากมีด้วยความอยากซึ่งเป็นกิเลส พอเป็นกิเลสกรรมก็จะดึงอกุศลเข้ามาร่วมด้วย ทำให้เราต้องพบกับทุกข์ทรมานทางจิตใจ เหมือนจะได้เหมือนจะไม่ได้อยู่นั่น ผลสุดท้ายแล้วจะได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมที่เรามีและเคยมีร่วมกัน

4).เนื้อคู่ถ้าเจอแล้วจะมีลักษณะอย่างไร?

ลักษณะหรืออาการเวลาที่เจอกับเนื้อคู่นั้น มักจะมีอาการพิเศษแตกต่างจากคนอื่นจนรู้สึกได้ การได้พบเจอนั้นไม่ได้หมายว่าต้องตอนนั้นหรือในเวลานั้นทันที อาจจะต้องรอไปจนถึงเวลาที่เหมาะสม เวลาที่กรรมจะเขียนบทให้ได้มีความสัมพันธ์ร่วมกัน

เมื่อเจอแล้วจะพบว่ามีความรู้สึกดูดดึงแปลกๆ จะดูดตลอดเวลา จะผลักก็ไม่ได้ ถึงจะพยายามผลักไสเขาออกจากชีวิตแต่เดี๋ยวก็จะวนกลับมา จะมีเหตุให้ต้องกลับมาคบหากันอีกเรียกได้ว่าถึงไล่ก็ไม่ไป เพราะส่วนหนึ่งคือเราก็จะไปหลงเขาเองอีกส่วนหนึ่งคือกรรมมันผูกกันมาด้วย

เนื้อคู่ที่เคยร่วมภพร่วมชาติกันมานั้นจะมีลักษณะที่เห็นได้เด่นชัดคือทั้งดูดทั้งผลัก ทั้งรักทั้งชัง คือมีทั้งดีและร้ายซึ่งเป็นกรรมของคนที่เคยปฏิบัติดีและปฏิบัติไม่ดีต่อกันมาก่อน เป็นผลกรรมที่เคยร่วมชาติกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดใดๆในชาติก่อนๆเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ญาติ ลูกน้อง ศัตรู ก็สามารถที่จะวนกลับมาเป็นเนื้อคู่ของเราได้ เพราะมีกรรมที่ผูกพันกัน

เราสามารถดูลักษณะได้จากการคบหาว่าเคยมีกรรมแบบใดกันมา เช่น ถ้าคบหาแล้วสร้างแต่ทุกข์ เอาแต่พลาญเงินทอง ทำลายชื่อเสียงนั่นแหละกรรมเขาดึงศัตรูมาให้เป็นคู่ แต่มันจะออกไม่ได้นะมันจะรักจะหลงเขาไปจนหมดกรรมนั่นแหละ หรือถ้าเป็นแม่กันมาก็จะคบกันแล้วมีลักษณะคล้ายแม่กับลูก มีคนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็กและทั้งคู่ก็ยินยอมให้เกิดสภาพนั้นด้วยนะ ส่วนถ้าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนก็มักจะเสมอกันจะมีอาการดูดผลักรักชังกันอย่างชัดเจน เพราะเคยรักกันทะเลาะกันมาก่อน ชาตินี้ก็เลยต้องมารับกรรมเดิมต่อ

การพบเจอใครสักคนแล้วหลงรักหลงชอบไม่ได้หมายความว่าเป็นเนื้อคู่เสมอไป แต่อาจจะเป็นเพราะกิเลสเราทำให้เราคิดจินตนาการไปเอง เช่นเราชอบคนหน้าตาแบบนี้พอวันหนึ่งไปเจอคนแบบนี้แล้วได้ใกล้ชิดเราก็หลงไปว่าเป็นเนื้อคู่ อันนี้เราคิดไปเองเพราะกิเลสเราสั่งให้เราพยายามที่จะไขว่คว้าในสิ่งที่เราหลงชอบ

เนื้อคู่จริงๆนั้นมันจะมาแบบทะลุสติ จะกันไม่อยู่ ถึงจะมีสติมากเก่งกล้าเพียงใดแต่จะทะลุกำแพงที่ป้องกันไว้ทั้งหมด เพราะกรรมนั้นทะลุทุกสิ่ง กรรมจะดลให้ต้องพบ ต้องเจอ ต้องหลง ต้องรัก ต้องทุกข์ทรมานเศร้าโศกเสียใจคร่ำครวญรำพัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีทดสอบดูว่าเนื้อคู่จริงหรือไม่ก็ให้ล้างกิเลสของเราให้ได้ก่อนจึงจะเห็นได้อย่างแท้จริงว่าคนที่เรารู้สึกดูดดึงนั้นมาจากกิเลส หรือมาจากกรรมเก่าจัดฉากให้เราต้องรับกรรมนั้น

5).เนื้อคู่มีแล้วได้อะไร?

เราอาจจะไม่เคยคิดไปว่ามีเนื้อคู่ไปแล้วได้อะไร มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนในชีวิตแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น เราต้องการเพียงแค่คนแก้เหงา คนดูแล คนปรนเปรอเรื่องการสมสู่การมีลูก หรือสิ่งที่เรียกว่าการสร้างครอบครัวเท่านั้นหรือ

น้ำหนักโดยส่วนมากของการมีคู่จะหนักไปในทางการสมสู่หรือการมี sex ด้วยซ้ำ คนจะเข้ามาหากันส่วนหนึ่งก็เพราะดึงดูดทางเพศ คนจะเบื่อหน่ายกันทะเลาะกันส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาเรื่องการสมสู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ยอมรับแต่กลับเป็นเรื่องจริงที่ทรงอิทธิพลต่อการมีคู่ มีสักคู่ไหมที่คบหากันแต่งงานกันแล้วมีการสมสู่เพียงแค่ต้องการมีลูก โดยมากก็สมสู่ด้วยความอยาก ด้วยกามราคะ ด้วยกามตัณหา ด้วยความใคร่อยากเสพกันทั้งนั้นซึ่งจริงๆแล้วการมีคู่คือการเอาคู่มาปรนเปรอกิเลสตัวเองโดยใช้คำว่าธรรมชาติ การแต่งงาน ความสมบูรณ์ของชีวิตเป็นคำที่ดูเหมือนจะดูดีมาปิดปังกิเลสไว้

อีกเหตุผลหนึ่งคือการมีครอบครัว อยากมีลูก อยากมีใครให้ดูแล แล้วที่มีอยู่มันไม่พอดูแลหรืออย่างไร พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรที่เคยเกื้อกูลเรามาตั้งแต่เด็ก คนเหล่านี้ไม่เรียกว่าครอบครัวหรืออย่างไร ทั้งที่จริงครอบครัวของคนส่วนใหญ่นั้นก็สมบูรณ์อยู่แล้วไม่ต้องไปหาเพิ่มแล้ว เพียงแค่กลับมาดูแลผู้มีพระคุณก็ประเสริฐมากแล้ว

แต่กลับไปแยกครอบครัวสร้างครอบครัวใหม่ เพิ่มภาระให้ตัวเองลดเวลาในการที่จะดูแลพ่อแม่ลง มันเป็นสิ่งที่สมควรจริงหรือ เป็นสิ่งดีงามจริงหรือ แม้จะดูเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องขยายพันธุ์แล้วมันดีจริงหรือ ถ้าดีจริงทำไมพระพุทธเจ้าให้อยู่เป็นโสด ให้งดสมสู่ ให้ออกบวชเพื่อพ้นจากเพศฆราวาส ทั้งหมดก็เพื่อการพ้นทุกข์ นั่นหมายถึงว่าการสร้างครอบครัวใหม่ การสมสู่ การมีลูก เป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกข์อยู่นั่นเอง

เรามีคู่เพียงแค่ต้องการเสพเรื่องสมสู่ อยากมีคนดูแลเอาใจใส่ อยากมีลูก อยากรู้สึกมีความมั่นคงในชีวิต มันคุ้มแล้วจริงหรือที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาครอบครองโดยแลกกับทุกข์ชั่วนิรันดร์

6).เนื้อคู่ของขวัญจากฟ้าจริงหรือ?

คำว่าเนื้อคู่นั้นถ้าได้ฟังแล้วก็เหมือนสิ่งดีสิ่งพิเศษที่ฟ้าส่งมาให้ แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ดลบันดาลให้เราเจอเนื้อคู่ก็คือกรรมของเราเองและเนื้อคู่นั้นก็คือคู่กรรมของเราเองคู่ที่สร้างกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่สร้างร่วมกันมาก็ต้องมารับต่อ

ดังนั้นเนื้อคู่จึงไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะคนที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาก็ต้องมีทั้งเรื่องดีและร้ายเราก็ต้องมารับทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ซึ่งกรรมดีเหล่านั้นก็มักจะให้ผลเป็นสุข ส่วนกรรมชั่วก็จะพาให้ทุกข์ จึงต้องเจอทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป

ทีนี้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะรับทั้งสุขและทุกข์เพราะเข้าใจว่ามันเท่าๆกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่เท่ากันเพราะการอยากมีคู่นั้นเป็นกิเลส เรื่องราวในชีวิตของคนคู่ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ การมีลูก การพากันเสพสุขต่างๆ ปัญหาในครอบครัวล้วนแต่เป็นเรื่องที่พาให้เพิ่มกิเลส พอเพิ่มกิเลสมันก็เพิ่มทุกข์ แรกๆมันจะสุขเพราะได้เสพแต่หลังๆมันจะทุกข์สุดทุกข์ ทุกข์แต่ก็ออกไม่ได้บอกใครไม่ได้เพราะหลงติดสุขลวงเล็กๆที่กิเลสหลอกให้สุขน้อยทุกข์มากอยู่ร่ำไป

ดังนั้นเนื้อคู่คือของขวัญจากฟ้าหรือสิ่งดีคงจะตอบได้ว่าไม่ใช่ เป็นแค่เพียงกรรมเก่าของเรา เราดีทำมามากกว่าชั่วเราก็รับดีมากกว่า เราทำชั่วมากกว่าดีเราก็รับชั่วมากกว่า แต่สุดท้ายถ้าเรารับเนื้อคู่คนนั้นเขามาในชีวิตเราก็จะสะสมเรื่องชั่วไปเรื่อย เพราะเรื่องดีที่สุดคือปล่อยเนื้อคู่คนนั้นไปตามกรรมของเขาเสีย

7).เนื้อคู่คือสุดท้ายของชีวิตคู่

หลายคนเข้าใจว่าเนื้อคู่คือที่สุดของชีวิต คือสุดท้ายของชีวิต คือบทจบอย่างสวยงามของชีวิต ก่อนจะเข้าเรื่องก็ถามกันก่อนว่าจนป่านนี้แล้วเจอเนื้อคู่มากี่คนแล้ว มีแฟนคบหาดูใจกันมากี่คนแล้ว แล้วมันสุขไหม มันจบไหม ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นแต่อาจจะมีกรรมไม่แรงพอจะดลให้แต่งงานก็ได้

คนที่ได้แต่งงานก็หลงไปว่าแต่งงานครั้งสุดท้ายในชีวิต ชีวิตจะจบสวยงามเหมือนในนิทานในหนังที่ตัดจบอวสานไปตอนที่พระเอกนางเอกตกลงครองรักกัน แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหลายคู่คบกันไม่นานก็ต้องหย่าร้างกัน หลายคู่มีลูกด้วยกันหลายคนแล้วก็ยังมีปัญหาชู้สาว คบหากันมาเป็นสิบยี่สิบปีสุดท้ายเลิกรากันก็มีให้เห็นอยู่มาก

ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นนะ ตอนแต่งงานไม่เห็นมีสักคนที่คิดว่ารักฉันจะล่มในวันใดวันหนึ่ง คิดแค่ว่าคนนี้แหละคู่ฉันคนสุดท้ายของฉัน เขาทั้งคู่คิดอย่างนั้นจริงๆนะ แต่สุดท้ายมันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ คือกิเลสมันไม่เที่ยง มันเพิ่มได้ พอเราเสพสมใจในคู่ตัวเองแล้วเบื่อ แต่กิเลสยังมีฤทธิ์แรงอยู่ก็จะผลักดันให้ไปหากินนอกบ้านไปสมสู่คนอื่นไปมีชู้ไปมีคู่ใหม่ อาการเหล่านี้เป็นได้ทั้งชายและหญิงเพราะกิเลสไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ

ปัญหาเรื่องการสมสู่ที่ไม่เป็นไปดังใจหวังนับเป็นปัญหาระดับโลกของการมีคู่ เพราะต้องคอยสนองกิเลสให้คู่ของตนบำรุงบำเรอกาม หากไม่บำเรอกามคู่ของตนก็อาจจะมีปัญหาภายในบ้าน และสุดท้ายก็ต้องพบปัญหาเพราะเราไม่สามารถสนองกิเลสใครได้ตลอดเวลาและตลอดไป ไม่ว่าอายุมากแค่ไหนแต่ถ้ากิเลสไม่ดับกามเมถุนก็ไม่ดับ ความอยากสมสู่ไม่มีวันดับไปด้วยการเสพสมใจแต่จะดับไปได้ด้วยการพิจารณาธรรมให้ถูกตัวกิเลส

ดังนั้นการจะบอกว่าเนื้อคู่เป็นที่สุดของชีวิตนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันก็คงจะไม่ใช่คำที่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด

8).เนื้อคู่ที่ใช่ในวันที่ไม่ใช่

คนที่เข้ามาในวันเวลาที่ไม่สมควร ไม่เป็นกุศลเป็นข้าศึกต่อศีล ไม่ใช่เนื้อคู่ที่มาดีแน่ ผู้ที่เข้ามาและพาให้ผิดศีลผิดธรรมนั้นเป็นคู่บาปอย่างแน่นอน เพราะคู่บุญนั้นแม้ว่าจะมีอาการดูดดึงต่อกันก็จะมีความรู้สึกผิดและเกรงกลัวต่อบาปหรือที่เรียกว่ามี “หิริโอตัปปะ

สมควรแล้วหรือที่เราจะต้อนรับคู่บาปเข้ามาในชีวิต จะดีจริงหรือที่เราจะเปิดโอกาสให้เขาทำบาปกับเรา ถ้าเราตัดใจเสียก็ไม่ต้องก่อเวรก่อบาปซ้ำซ้อนไปอีก คนที่เข้ามานั้นเขาเพียงแค่เข้ามาเพื่อทดสอบความมั่นคงของเรา ทดสอบศีลธรรมของเราว่าเรานั้นยังควรคู่กับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐอยู่หรือไม่

9).เนื้อคู่กับการจองเวรข้ามภพข้ามชาติ

การมีเนื้อคู่นั้นหมายถึงการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพชาติ ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจก็ตามแต่ผลมันจะเป็นไปตามกรรมที่ทำเช่น ชาตินี้เรามีแฟนผูกพันกัน ทำดีต่อกันเราก็ยึดดี พอทำไม่ดีต่อกันเราก็ผูกโกรธพยาบาท ทั้งดีทั้งร้ายนี้เราก็ต้องมารับผลกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะจองเวรจองกรรมในด้านดีหรือร้ายก็ตาม เราก็ต้องตามไปรับผลนั้นด้วย นั่นหมายถึงว่าชาตินี้คือตัวกำหนดภพหรือสภาพที่จะต้องเจอของชาติหน้าหรือเหตุการณ์หน้า นั่นอาจจะหมายถึงคู่คนถัดไปในชาตินี้หรือจะทะลุไปยังชีวิตหน้าก็ได้

เมื่อเห็นอนาคตดังนั้นจึงย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน สภาพของปัจจุบันที่เราเจอนั้นเกิดจากกรรมในอดีต เกิดจากการจองเวรจองกรรมในอดีต ทุกคนทุกคู่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทั้งสมหวังทั้งผิดหวังคือเนื้อคู่ที่จองเวรจองกรรมกันมา แล้วแต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเวรกรรมน้อยก็แค่ทนทุกข์ในขณะคบหาเป็นแฟน แต่ถ้าเวรกรรมมันมากก็ต้องแต่งงานไปชดใช้กรรมร่วมกัน จะหนีก็หนีไม่ได้นะ ยิ่งถ้าไม่ได้ล้างกิเลสนี่ยิ่งไปกันใหญ่นอกจากกรรมเก่าจะไม่ได้ชดใช้จนหมดแล้วยังสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกผูกภพผูกชาติกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมต่อกันไปในชาติหน้าอีก

โดยทั่วไปคนอาจจะมองว่าดีจัง มีคนผูกไปทุกชาติ ลองไปถามคนที่ทุกข์เพราะรัก และรักแล้วยังทนทุกข์หรือคนที่ชีวิตพังเพราะรักว่าให้เจอแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม ให้สุขน้อยทุกข์มากแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม พอคนรู้แล้วว่าสุขน้อยทุกข์มากก็จะไม่มีใครเอาเพราะเขารู้ความจริง

ทีนี้คนที่หลงไปกับโลกหลงไปกับสื่อที่โลกลวงในเรื่องของเนื้อคู่ คนรัก แฟน ครอบครัวว่าถ้ามีแล้วจะมีความสุขมีแล้วชีวิตจะสมบูรณ์ก็คือคนที่ยังไม่เห็นทุกข์ ดังนั้นเลยต้องไปลองทุกข์ให้เห็นก่อนจึงจะเข้าใจ ส่วนคนที่มีปัญญาเห็นคนอื่นทุกข์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะสิ่งนี้มันสะสมมาหลายภพหลายชาติ เขาเจ็บเขาทุกข์เพราะการมีเนื้อคู่มาหลายชาติมันก็เลยจดจำในวิญญาณแม้ชาตินี้จะไม่เคยมีคู่แต่มันจะไม่เอาโดยธรรมชาติ ให้ไปเสพก็จะไม่สุข ถึงสุขก็ไม่นาน พอได้รับทุกข์ก็จะกระเด็นออกมา เพราะมันเข็ด มันขยาด มันทุกข์

เนื้อคู่นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่ดีไปเสียหมด เพราะต้องมาคอยใช้เวรใช้กรรมกัน และส่วนมากเป็นการใช้หนี้ เพราะเมื่อมีคู่เราก็ทำแต่บาป ทำบาปมันก็มีแต่ทุกข์ มีแต่หนี้บาปที่ต้องมาชดใช้กันข้ามภพข้ามชาติเพียงเพราะหลงไปเสพสุขลวง

10).เนื้อคู่เมื่อไหร่จะหนีพ้น

เมื่อเห็นความทุกข์ทรมานจากสุขน้อยทุกข์มากของการมีเนื้อคู่มาตามจองเวรจองกรรมแล้วก็อาจจะเริ่มขยาด เริ่มรู้สึกไม่อยากทุกข์ อยากจะเจอแต่ความสุขจะได้ไหม ก็จะตอบกันว่า ”ได้” นั่นคือหนีเนื้อคู่ให้พ้น

การหนีไม่ใช่การวิ่งหนี ย้ายบ้านหนี หลบหน้า ไม่ยอมพบเจอ ไม่รับโทรศัพท์อันนี้มันหนีแบบโลกๆ มันหนีไม่พ้นเพราะถึงจะหนีพ้นชาตินี้ชาติหน้าก็เจออยู่ดีเพราะกรรมมันไม่ได้ถูกชดใช้มันก็จ่อรอส่งผลอยู่นั่นเองและมันจะสะสมมากขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นก้อนใหญ่ขนาดที่หลบไม่พ้นหนีไม่ได้ในวันใดวันหนึ่ง

การจะหนีจากเนื้อคู่ต้องหนีด้วยการล้างกิเลสในตัวเราและทำกุศลทำดีกับเขาหรือคนรอบข้างเขาให้มาก เพราะคนที่เป็นเนื้อคู่กันมาคือคนที่มีหนี้บาปหนี้บุญกันมา ดังนั้นจึงต้องใช้หนี้จนหมดจึงจะพ้นจากการไล่จองเวรจองกรรมและล้างกิเลสของเราเพื่อไม่ให้ตัวเราไปจองเวรจองกรรมเขาจนต้องวนเวียนมาใช้กรรมกันอยู่เรื่อยๆ

11).ประโยชน์ของเนื้อคู่

มาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าเนื้อคู่จะไม่ได้มีแค่มุมดีเพียงอย่างเดียว ยังมีมุมร้ายมุมทุกข์ซ่อนอยู่มากมายเหมือนขนมหวานที่สอดไส้ด้วยยาพิษ จะว่าไปแล้วมันก็ทุกข์ทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะสุขที่ได้ก็เป็นเพียงสุขลวงที่รอให้เกิดทุกข์แท้ๆ

แต่การมีเนื้อคู่เข้ามาในชีวิตก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด ผู้มีปัญญาสามารถหาประโยชน์ได้แม้ยามตัวเองต้องตกหล่นไปในกองกิเลส พยายามหาทางแหวกว่ายดิ้นหนีจากบ่วงกรรมที่ผูกมัด เนื้อคู่นี้เองที่เข้ามาเป็นโจทย์ให้เราศึกษาธรรม ให้เราบรรลุธรรม ให้เราพ้นทุกข์

การจะออกจากทุกข์ได้นั้น เราจำเป็นต้องทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เข้าใจทุกข์จึงจะเห็นธรรม การมีอยู่ของเนื้อคู่จึงมีคุณค่าตรงที่เป็นตัวกระตุ้นเป็นตัวกระทุ้งให้เราเห็นกิเลส เพราะต้องเป็นคนนี้เท่านั้นที่เราจะเกิดอาการหลง อาการมัวเมาไปกับเขาได้ กับคนอื่นเราไม่หลงขนาดคนนี้เราก็ต้องใช้คนนี้แหละเป็นโจทย์ในการล้างกิเลสเพื่อบรรลุธรรมของเรา

จะว่าเนื้อคู่นั้นมีอยู่เพื่อให้เราออกจากคู่ก็ว่าได้ เขาจะเข้ามาทำให้เราทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกชาติจนกว่าเราจะเกิดปัญญา จนกว่าจะเห็นว่าการมีคู่ชีวิตที่รับเข้ามาเป็นคู่รัก เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นครอบครัวนั้นเป็นภาระ พาทุกข์ พาชั่ว พาจน พาวนเวียนในวัฏสงสารอย่างไร

12).เนื้อคู่กับความรักที่เหนือโลก

คงจะมีคำถามว่าถ้ามีคู่กันแล้วร่วมสร้างกุศลช่วยเหลือเกื้อกูลกันทำประโยชน์กันไปเรื่อยๆได้ไหม เพราะการจะไม่มีคู่เลยมันก็รู้สึกทุกข์มากเหมือนกัน เหตุเพราะความอยากมีคู่กับความเหงานั้นรุนแรงเหลือเกิน

ก็คงจะตอบว่าได้ ถ้าความรักกับเนื้อคู่คนนั้นพาให้เกิดกุศลจริง ในกรณีคนที่คบกันแล้วสามารถพากันลดกิเลสได้ ลดกิเลสกันเป็น ไม่พากันเพิ่มกิเลส อยู่ในศีล ๕ กันเป็นเรื่องปกติในชีวิตก็ถือว่าอยู่ในขีดที่พ้นทุกข์และพ้นภัยไปได้หลายส่วน แต่ก็ยังต้องทุกข์อยู่ดี ถ้าจะคบกันให้เกิดกุศลมากขึ้นก็ให้ถือศีลเพิ่มคือ “อพรหมจริยา เวรมณี” คือให้เว้นขาดจากการประพฤติที่ไม่เป็นพรหมวิหาร ในความเข้าใจทั่วไปก็คือการไม่สมสู่กัน รักที่ไม่สมสู่กันคือการไม่เสริมกิเลสแก่กัน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและยากจะเข้าใจถึงเนื้อหาสาระแท้ของศีลข้อนี้ หลายคนเข้าใจว่าการสมสู่คือหน้าที่ คือความสุข คือความสมบูรณ์แบบในชีวิตคู่ทั้งที่จริงสิ่งนั้นเป็นกิเลสแท้ๆ กิเลสบริสุทธิ์แบบไม่มีอะไรเจือปน ผู้ที่คิดจะคบหามีคู่ครองแล้วพากันเจริญไปทั้งทางโลกและทางธรรมจึงควรปฏิบัติศีลข้อนี้บ้าง และขัดเกลากิเลสจนถือศีลข้อนี้ให้ได้เป็นปกติ คือไม่สมสู่กันเป็นเรื่องปกติ เป็นความรักที่เหนือโลก เพราะตามโลกหรือโลกียะคนเป็นคู่เขาต้องสมสู่กันจึงจะมีความสุข แต่เราเป็นคนเหนือโลกคือไม่ไหลไปตามโลก แม้จะไม่สมสู่กันเราก็ยังคงรักกัน ดูแลกัน เกื้อกูลกัน และอยู่กันอย่างมีความสุข

13).เนื้อคู่กับกัลยาณมิตร

จะดีไหมหากเราจะเปลี่ยนเนื้อคู่ที่ต้องมาใช้เวรใช้กรรมกันทุกภพทุกชาติเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหาย เป็นกัลยาณมิตร เพราะในที่สุดแล้วการจะคบหาเป็นคู่ครองนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นกัลยาณมิตรต่อกันแล้วก็คงจะช่วยกันลดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตไปได้อีกมายมาย

กัลยาณมิตรหมายถึงมิตรที่ดีงาม มิตรที่พาเจริญไปทั้งในทางโลกและทางธรรม เป็นเสมือนเพื่อนคู่ชีวิตใกล้ชิดเรื่องใจ แต่ไม่ใกล้ชิดกาย เนื้อคู่หรือคู่รักที่เจริญทางธรรมมากสุดท้ายก็จะก้าวเข้าสู่ลักษณะของกัลยาณมิตรไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ร่วมกันหยุดชั่ว พากันไม่ทำชั่ว พากันถือศีล เจริญในธรรม พากันทำแต่ความดี สิ่งดี สิ่งที่เป็นกุศล พากันทำจิตใจให้ผ่องใส่ พากันลดกิเลส พากันล้างกิเลส มีความยินดีต่อกันเมื่อเกิดสิ่งดี และพร้อมจะช่วยเหลือกันหากพลาดพลั้งทำผิด และยอมรับคำตักเตือนของกันและกันเพื่อความเจริญแห่งสุขแท้

ถ้าเรามองว่าชีวิตนี้เหงา อยากมีคู่ อยากมีเพื่อนร่วมชีวิต อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คอยช่วยคิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข เนื้อคู่ในเชิงคู่รักคงจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่ากับกัลยาณมิตร เพราะความเป็นเพื่อนนั้นตั้งอยู่ได้นานกว่า เป็นประโยชน์กว่า ทุกข์น้อยกว่า สุขใจเมื่อได้ใกล้ ยินดีแม้ยามห่างไกล กัลยาณมิตรนั้นแม้ตัวไกลแต่ใจก็ยังใกล้กันยังระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน พร้อมเพรียงกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สภาวะเหล่านี้คือที่สุดแห่งมิตร เป็นสุดยอดแห่งกัลยาณมิตร และเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นแห่งการพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

28.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ทำไมเธอไม่เป็นดังที่ฉันหวัง

August 31, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,389 views 0

 

ทำไมเธอไม่เป็นดังที่ฉันหวัง

ทำไมเธอไม่เป็นดังที่ฉันหวัง

คงจะมีหลายครั้งหลายเหตุการณ์ในชีวิต ที่เราหมายมั่นตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อเราลงมือทำบางสิ่งลงไปแล้ว สิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปตามที่เราคาดหวังไว้ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น กลายเป็นเหมือนกับว่าเราพยายามที่ทำให้น้ำทะเลจืด พยายามทำไปอยู่อย่างนั้นโดยไม่เข้าใจความเป็นจริง…

อาจจะเพราะทำกรรมอะไรเอาไว้…

คงจะเหมือนกันกับตอนที่เรายังเป็นเด็ก พ่อแม่ของสอนสั่ง แนะนำสิ่งที่ดีให้กับเรา แต่เราก็ยังจะดื้อ ไม่ทำตาม ไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ดี ก็จะเอาแต่สิ่งที่กิเลสของตัวเองต้องการ จนถึงเวลาที่ผลของกรรมสุกงอม เราจึงได้รับผลของกรรมนั้น พ่อแม่อาจจะไม่ได้มาดื้อกับเราเหมือนที่เราไปดื้อกับท่านก็ได้ แต่อาจจะส่งคนบางคน สิ่งบางสิ่ง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ ที่ทำให้เราต้องทุกข์กับความดื้อรั้น เอาแต่ใจของสิ่งๆนั้น ซึ่งอาจจะมาในรูปของ คนในครอบครัว คนรัก เพื่อน ลูกน้อง สิ่งของ หรือเหตุการณ์อื่นๆก็ได้เหมือนกัน เป็นอะไรก็ได้ เดาไปก็ไม่ถูก แต่เมื่อเวลาถูกกระทำกลับก็จะสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองได้บ้าง

ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้ว ไม่มีทางผ่านพ้นไปโดยที่เราไม่ได้รับผลนั้นอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าชาตินี้เราไปทำกับใครไว้ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่ได้รับ เราได้สิทธิ์นั้นแน่นอน แล้วกรรมเขายังใจดีแบ่งให้เรารับไปในชาติหน้า และชาติอื่นๆสืบไปด้วย จึงเรียกได้ว่า การทำกรรมดีหรือกรรมชั่วครั้งเดียว ก็สามารถนอนรอรับผลกันได้จนคุ้มข้ามชาติกันเลย

ในเวลาที่เหมาะสม กรรมก็จะดึงคู่เวรคู่กรรมของเราเข้ามา หรือที่ใครหลายๆคนอาจจะเรียกว่าเนื้อคู่ก็ได้ เป็นคนที่ทำให้เราสุขหรือทุกข์ได้รุนแรงกว่าคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ในเหตุการณ์แบบเดียวกัน คนทั่วไปทำอะไรกับเราแบบหนึ่ง เราไม่ถือสา แต่พอเป็นคนนี้ทำกับเรา เรากลับถือสา คิดมาก ถ้าเป็นเชิงคู่รักที่เคยเสพสมกิเลสร่วมกันมา ก็จะมีลักษณะเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่คนอื่นเขาจีบเราแทบตาย เราไม่สนใจ แต่คนนี้พูดไม่กี่ประโยค เรากลับหลงใหล ลักษณะแบบนี้แหละที่เรียกว่าตัวเวรตัวกรรม เจอแล้วก็ให้พึงระวังตั้งสติกันไว้ดีๆ เพราะกรรมจะลากเขาเหล่านั้นเข้ามาใช้เวรใช้กรรมด้วยกันต่อ อาจจะเป็นคนมาร่วมรัก คนที่ได้รักแค่ฝ่ายเดียว คนที่เข้ามารัก หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือคนใดๆที่มีจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของเราก็ได้

กรรมส่วนหนึ่งก็มาจากกิเลสของเรานี่แหละ ด้วยความที่เราอยากจะสนองกิเลสของเรา ก็เลยไปทำสิ่งที่ไม่ถูกใจใครหลายๆคนไว้มาก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กรรมเหล่านั้นก็จะส่งผลมาเป็นเหตุการณ์ที่พาให้ขัดใจเรา ทำให้เราทุกข์ แต่เราก็ไม่สามารถหนีออกไปได้ เรายังต้องวนอยู่กับทุกข์เหล่านั้นโดยไม่เห็นทางออก แม้จะมีคนมาบอกแนะนำ เราก็จะไม่ฟัง ถึงฟังก็ไม่เข้าใจ จนบางครั้งพาลไปสร้างกรรมใหม่ ไม่พอใจคนที่หวังดี ไม่พอใจคนที่มาแนะนำทางออกให้เราด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่หลงในกิเลส เมื่อเวลาที่มีคนมาพูดขัดใจ ขัดกับกิเลสของเรา เราก็มักจะไม่พอใจ ไม่สนใจ ด้วยเหตุนั้นเราก็เลยต้องทนทุกข์ไปจนกว่าจะรับวิบากกรรมชุดนั้นหมด

กรรมที่เราได้รับนั้น เป็นเพียงภาพเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่เราได้ทำมา ที่เราเคยทำชั่วมาตั้งแต่ชาติไหนๆก็ตาม เป็นสิ่งที่เราต้องรับเพราะเราทำมา แต่โลกก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น เรายังสามารถทำกุศล เพื่อที่จะละลาย ลด บรรเทาอกุศล หรือความทุกข์ โทษ ภัย ที่เกิดขึ้นได้ …หากยังรู้สึกทุกข์ มืดมัว ปวดหัว หาทางไปไม่เจอ ก็ให้ทำดีมากๆ ทำดีไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาหมดวิบากกรรมชุดนั้นๆ ก็จะมีเหตุการณ์ที่พาหลุดจากสภาพนั้นเอง อาจจะเกิดปัญญาเข้าใจก็ได้ หรือเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ แต่จะพ้นจากสภาพของทุกข์ที่เคยแบกเอาไว้

ดังนั้นการล้างกรรมที่ดีที่สุด ก็คือการล้างกิเลส เพราะเมื่อเราหมดกิเลสนั้นๆ เราก็จะไม่สร้างวิบากบาปต่อไปอีก และกุศลยังสามารถไปละลายวิบากบาปที่เคยทำในอดีตให้เบาบางได้อีกด้วย เรียกว่าปิดประตูนรกกันไปเลย

เมื่อเราจมอยู่กับความคาดหวัง ฝนลมๆแล้งๆ….

ความคาดหวังกับความผิดหวังเป็นของคู่กัน คงเพราะเรามีความฝัน อุดมคติ ความมั่นใจ ความยึดดีถือดี ว่าสิ่งดีจะต้องเกิดเมื่อเราคิดดีพูดดีทำดี แต่ในความเป็นจริง ดีนั้นอาจจะไม่เกิดก็ได้ เมื่อดีไม่เกิดสมใจ คนติดดีก็เลยเป็นทุกข์ บางคนก็ถึงกับฝันลมๆแล้งๆ หลอกตัวเองไปวันๆว่าสิ่งที่ดีจะต้องเกิด โดยไม่ได้เข้าใจเหตุปัจจัยที่ทำให้ดีนั้นเกิด เหมือนคนที่เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งจะสร้างชีวิตให้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังมัวแต่นอนฝันอยู่บนเตียง

การที่เราไปเฝ้าฝันให้เขาหรือใครเปลี่ยนนั้น เป็นการเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากเรื่องกรรมที่ถูกที่ควร เพราะการที่เขาจะเปลี่ยนได้นั้น จะเกิดจากกรรมของเขาเอง ไม่ได้เกิดจากการที่เราคิดหวัง ฝันไป หรือจะไปบอกให้เขาแก้ไข ไปช่วยเขาแก้ไข โดยมีความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าเขาจะแก้ไขเพราะเขาก็มีกรรมของเขา เขาก็เป็นอย่างนั้น เราจะอยากให้เขาเป็นอย่างที่เราหวัง เราก็จะผิดหวัง แล้วเราก็ทุกข์ เหมือนอย่างที่หลวงพ่อชาท่านได้สอนไว้ว่า เราอยากให้เป็ดมันเป็นไก่ มันก็ทุกข์ เพราะเป็ดมันก็เป็นเป็ด มันจะเป็นไก่ตามใจเราไปไม่ได้

จะไปแก้เขานี่มันยาก ลองกลับมาแก้ตัวเราก่อนดีไหม…

เมื่อเราไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ เราก็จะลองกลับมาแก้ตัวเองกันดู เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่ฝืนธรรมชาติ หรือฝืนกิเลสของตัวเองนั้น มันยากขนาดไหน เรามาลองปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆในชีวิตกันดู เช่น ตื่นให้เช้าขึ้น ,นอนให้พอดี ,ศึกษาแต่สาระหรือสิ่งที่มีประโยชน์ ,กินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ , ทำงานบ้านเป็นประจำ, เลิกสิ่งฟุ่มเฟือย, เลิกสิ่งที่ทำให้หลงมึนเมา ในแบบหยาบๆ ก็คือ เหล้า เบียร์ ยาเสพติด ฯลฯ หรือจะขยับขึ้นมาก็เลิกหลงเมามายในสิ่งที่หลงอยู่เช่น ชอบฟังเพลง ชอบดูกีฬา ชอบเล่นพนันชอบดูละคร ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบไปตระเวนกินของอร่อย บ้าดารา ฯลฯ,,,

ถ้ายังรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยลดสิ่งไร้สาระพวกนี้มันง่ายไป ก็ลองถือศีล ๕ ดู และยกระดับของศีลขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น ศีล ๘ ศีล ๑๐ ไปจนถึงนำจุลศีลบางข้อที่พอจะปฏิบัติได้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะศีลเหล่านี้เป็นไปเพื่อความสุข เพื่อการพ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ดีเลิศ เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลก

แล้วเราก็จะเห็นว่า…เป็นอย่างไรล่ะ เราเองก็ยังเปลี่ยนแปลงไปทำสิ่งที่ดีไม่ได้เลย ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ดี แต่ความคิดหรือกิเลสข้างในมันจะค้านแย้งตลอดเวลา มีหลายๆเหตุผลที่เราจะไม่ยอมทำดี เช่น ก็แค่อยากเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข , ไม่ได้เคร่งขนาดนั้น , แค่อยากมีชีวิตที่ดี ….ฯลฯ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั่นแหละ เป็นวิธีปฏิบัติสู่ชีวิตที่ดี ที่เราเองก็ทำไม่ได้แถมยังปฏิเสธ พร้อมทั้งหาเหตุผลมากมายที่จะไม่ทำดีเหมือนกัน

จะเห็นว่าการจะแก้ตัวเรานี่ยังทำได้ยากเลย จะทำตัวเราให้เป็นคนดีว่ายากแล้ว การไปแก้คนอื่นนั้นยากกว่า เพราะการจะไปแก้คนอื่นหรือไปสั่งสอน ไปแนะนำคนอื่นนั้น จำเป็นต้องทำตัวเองให้เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องนั้นๆอย่างถ่องแท้เสียก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง” เข้าใจกันง่ายๆว่า ทำตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยไปสอนคนอื่น

เมื่อเห็นดังนี้แล้วว่า ต้องทำตัวเองให้ดีก่อน จึงจะสามารถช่วยคนอื่นได้ เราก็พยายามทำตัวให้ดี ลดอบายมุข หยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสไปเรื่อยๆเมื่อเราทำดีมากๆ เวลามีคนที่เขามาทำสิ่งไม่ดีกับเรา เขาก็จะได้รับวิบากกรรมแรงกว่าทำสิ่งไม่ดีกับเราในสมัยเมื่อเรายังชั่วอยู่ เมื่อได้รับวิบากกรรมแรง ก็จะเกิดทุกข์แรง เมื่อเกิดทุกข์แรง ก็จะสามารถเข้าใจได้เร็ว ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม

ดังนั้น การที่เราพยายามทำดี ประพฤติตัวเป็นคนดี ก็เพื่อที่จะช่วยเขาทางอ้อม คือเร่งให้เขาได้รับ ทุกข์ โทษ ภัย จากการที่เขายังยึดมั่นในสิ่งไม่ดีให้เร็วขึ้น จะได้เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์ เลิกทำชั่วให้เกิดทุกข์ จะได้พ้นทุกข์ได้ไวขึ้น จากที่เคยต้องจมอยู่หลายปี ถ้าเราทำดีมากๆ เขาอาจจะหลุดจากสภาพดื้อรั้นนั้นได้ในเวลาไม่กี่เดือน โดยเฉพาะคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เช่น คนในครอบครัว คนรัก เพื่อนร่วมงาน คนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตกับเรามากๆ จะได้รับผลกระทบนี้โดยตรง

จนผู้ที่ได้ทดลองทำดีสามารถเห็นผลได้ด้วยตัวเองว่า เมื่อเราเปลี่ยน ทุกคนก็จะเปลี่ยนตาม โดยที่แทบจะไม่ต้องพูด บอกกล่าว ชี้แจง แถลง บังคับใดๆ กับคนเหล่านั้นเลย เขาจะเห็นดีตามเรา และเกิดศรัทธาจนเขาอาจจะทดลองที่จะเปลี่ยนตามเราดูบ้าง หรือในบางกรณี คนที่ร้ายกับเราก็อาจจะหลุดพ้นชีวิตเราไปเลยก็ได้ เพราะเราได้ใช้วิบากบาปที่ต้องมาทนใช้กรรมร่วมกันนั้นหมดไปแล้ว เมื่อเขาเองไม่คิดจะร่วมกุศลกับเรา เขาก็จะไปตามทางที่กิเลสเขาชี้นำ ในส่วนนี้ถ้าช่วยเขาได้ก็ช่วยไป ถ้าช่วยไม่ได้ก็ปล่อยเขาไป

แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำดีแล้วไม่เกิดดี นั่นก็เพราะว่าเรายังทำดีไม่มากพอ ก็ให้พยายามทำดีไปเรื่อยๆ อย่าไปหวังผล วันหนึ่งจะพบการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเอง กรรมจะจัดสรรช่องให้เราออกไปพบสิ่งที่ดี มีสิ่งดีในชีวิตเข้ามา แม้แต่คนรอบข้างก็อาจจะเปลี่ยนไปเพราะพลังแห่งความดี หรือกุศลที่เราทำมานั่นเอง

หรือในอีกกรณีคือการทำดีที่ไม่เข้าใจถึงผลแห่งความดี คือทำดีในความเข้าใจที่โลกเข้าใจ แต่ผิดไปจากทางของพุทธ คือผิดสัมมาทิฏฐิ เมื่อผิดไปจากความคิดเห็น ความเข้าใจ ความเชื่อที่ถูกที่ควร ก็มีแต่จะพาไปนรกเท่านั้น กลายเป็นดีที่ทำไปนั้น ไม่ได้ดีตามจริง เพียงแค่เป็นดีที่เขาบอกกันมา แต่ไม่ใช่สาระแท้ ไม่ได้พาพ้นทุกข์ ไม่ได้พาลดกิเลส จึงมีกุศลเพียงน้อยนิด หรือบางทีก็อาจจะกลายเป็น “ทำบุญได้บาป” มาแทนก็เป็นได้

ดังนั้น ในเรื่องของความดี จำเป็นต้องศึกษาจากผู้รู้ มีเพื่อนที่คอยช่วยแนะนำในทางที่ถูกที่ควร เพราะความดีที่ถูกตามหลักของพุทธนั้น จะคิดเอาเองไม่ได้ เข้าใจเองไม่ได้ ต้องมีผู้รู้มีแสดงให้เห็นเท่านั้น เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าว่า ถ้าคนจะบรรลุธรรม หรือจะปฏิบัติชีวิตไปสู่การพ้นทุกข์ ต้องคบหาสัตบุรุษเสียก่อน สัตบุรุษก็คือบัณฑิตที่มีสัจจะแท้ มีธรรมนั้นๆในตัวเอง ปฏิบัติจนเข้าใจแจ่มแจ้ง รู้จริงเรื่องกิเลส เกิดปัญญารู้แจ้งในตัวเอง แล้วจึงสามารถถ่ายทอด สอน แนะนำ คนอื่นได้

– – – – – – – – – – – – – – –

31.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์