แก้ทุกข์ ไม่แก้สุข จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงไปแก้ถึงเหตุแห่งทุกข์
แก้ทุกข์ ไม่แก้สุข จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงไปแก้ถึงเหตุแห่งทุกข์
เวลาที่เราเจอกับปัญหาความรัก หลายคนมุ่งแต่จะแก้ทุกข์ที่เกิดขึ้น แสวงหาหนทาง หาความรู้ในการดับทุกข์ ทั้งที่จริงแล้วการจะแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์เหล่านั้น ก็ต้องกลับมาแก้ว่าเราไปติดสุขในอะไร
ตอนที่คนเราตกหลุมรักใครสักคน น้อยคนนักที่จะปรึกษาคนอื่นว่าจะดีไหม จะเห็นอย่างไร ถ้าจะปรึกษาก็คงจะปรึกษากับผู้ที่เห็นด้วยเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็เป็นเพียงแค่สายลมเบาๆที่ผ่านหูไป โดยเฉพาะถ้าให้คนที่กำลังตกหลุมรักไปปรึกษากับพระ หรือผู้ที่ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ เขาย่อมไม่ยินดีที่จะรับฟังทางพ้นทุกข์เหล่านั้นอย่างแน่นอน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าการมีคู่นั้นเป็นทางแห่งทุกข์แต่คนก็ยินดีที่จะรับทุกข์นั้นเพราะหลงว่าในทุกข์นั้นยังมีสุข และเห็นว่าสุขที่มีนั้นมากกว่าทุกข์นั่นเอง
สรุปว่าตอนที่เรากำลังสร้างปัญหานี้ขึ้นมานั้น เราไม่ค่อยปรึกษาใครหรอก แต่ตอนที่รักนั้นมีปัญหา ชีวิตคู่มีปัญหา เป็นทุกข์ ทุรนทุราย คร่ำครวญ รำพัน จะเป็นจะตาย กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็มักจะแสวงหาทางออก ซึ่งหนทางยอดนิยมทางหนึ่งของคนไทยก็คือหันหน้าเข้าหาศาสนา
แล้วยังไง? ทีนี้คนก็มุ่งแต่จะแก้ทุกข์ที่เกิดพยายามแสวงหาผู้วิเศษ ที่มีอิทธิฤทธิ์ช่วยให้ทุกข์ของตนคลายได้ “ เป็นความเชื่อที่จะเปรียบไปแล้วก็เหมือน ไปหาคนอื่นมาเช็ดขี้ของตัวเอง “ รังเกียจขี้เหม็นๆ ของตัวเอง โดยไม่รู้ว่าขี้มันก็เกิดจากอาหารที่กินเข้าไปนั่นแหละ กินอะไรเข้าไปมันก็ขี้ออกมาอย่างนั้น แล้วก็มุ่งประเด็นว่าจะทำอย่างไรขี้ถึงจะหอม ถึงจะออกมาสะอาด เหมือนกับคนที่ทำชั่วแล้วหวังให้ผลออกมาดี ซึ่งไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้เลย
ปัญหาของตัวเองสร้างขึ้นมาเอง ก็ต้องแก้เอาเอง จะไปโยนปัญหาของตัวเองให้คนอื่นแก้นั้นไม่ได้ ความเห็นแก่ตัวไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ การพึ่งตนเองต่างหากคือทางพ้นทุกข์ ขยันสร้างทุกข์มาเท่าไหร่ก็ต้องแก้เท่านั้น ตอนสุขก็เออออไปกับกิเลสไม่เอาธรรมะ แต่พอทุกข์แล้วจะมาเอาธรรมะไปล้างทุกข์ แต่ไม่ยอมล้างกิเลส หวงกิเลส แล้วมันจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร?
ความทุกข์ทั้งหลายมีอาหาร ไม่ใช่ไม่มีอาหาร เพียงแต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นอาหารของความทุกข์เหล่านั้น ก็คงจะไม่มีใครเข้าไปรู้ใจคนอื่นได้ นอกจากคนที่กินอาหารนั้นเอง ต่อให้ครูบาอาจารย์เก่งแค่ไหนก็แนะนำได้แค่ภาพรวม แต่คนที่รู้ว่าอาหารของทุกข์นั้นคืออะไร คนนั้นคือผู้ที่เป็นทุกข์เองเท่านั้น
การเกิดของความทุกข์นั้นก็เกิดจากความหลงสุข หากเราไปหลงสุขหลงเสพ หลงติดหลงยึดในอะไร ก็จะต้องทุกข์เพราะเรื่องนั้น ดังนั้นจะแก้ทุกข์ก็ต้องลงไปแก้ที่ความติดสุข แล้วทีนี้ปัญหาก็คือคนที่เป็นทุกข์จากความรัก กลับไม่อยากทิ้งความสุขเหล่านั้น ไม่อยากแม้แต่จะไปข้องแวะในอาณาเขตแห่งความสุขเหล่านั้น เป็นพื้นที่หวงห้ามที่ถูกปกป้องอำพรางไว้ด้วยขุนพลกิเลสใหญ่น้อย ที่มีกำลังแกร่งกล้า เพราะกิเลสนั้นฝึกตนให้หลงมาหลายภพหลายชาติ
ผู้ที่กิเลสหนา จิตอ่อน ปัญญาน้อย เพียงแค่ถูกกิเลสจ้องหน้าก็เข่าอ่อน ล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว อยากพ้นทุกข์แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปแตะว่าสุขเพราะอะไร ทำให้เหตุของปัญหาเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องลึกลับ เป็นเหมือนเมืองลับแล เป็นพื้นที่หวงห้ามที่ถูกพรางให้ไม่ปรากฏบนแผนที่โลก เหมือนกับมันไม่เคยมีอยู่ในจิตใจ เพราะไม่เคยคิดจะไปค้นหา ไปวิเคราะห์ ไปพิจารณาว่า เรานี่ติดสุขในอะไร สิ่งนั้นมันสุขตรงไหน สุขแบบไหน ทั้งยังไม่ยินยอมให้ใครเข้าไปลุกล้ำพื้นที่เหล่านั้น เรียกได้ว่าหวงกิเลส กิเลสของฉัน ความสุขของฉัน ตัวตนของฉัน บางครั้งถึงกับยกไว้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามตีความ ห้ามเข้าถึง ห้ามหาความหมาย แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงอาการที่หลง ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่ชัดแจ้งในสมุทัย
สรุปแล้ว การแก้ปัญหาความรักก็ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก ไม่ต้องไปปรึกษาใครให้มันเวิ่นเว้อวุ่นวายเสียเวลากันมากมายหรอก แค่ศึกษาวิธีล้างกิเลส แล้วไปค้นว่าสร้างสุขลวงอะไรขึ้นมาก็ทำลายอั้นนั้นแหละ ทุกข์ก็จะดับไปเองแต่ถ้าไม่ชัดเจนในสุขลวงเหล่านั้น ไม่ทำให้สิ่งลึกลับนั้นถูกเปิดเผยให้รู้แจ้ง ก็จะต้องจมกับความทุกข์และความเศร้าหมองตลอดไป
– – – – – – – – – – – – – – –
2.10.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)