รักแท้ เสียสละ ไม่ยึดยื้อรั้ง ให้เขามาเป็นของของเรา
รักแท้ เสียสละ ไม่ยึดยื้อรั้ง ให้เขามาเป็นของของเรา
ในบทความนี้ จะมานิยามความรัก ที่เรียกว่า “รักแท้” ในอีกมุมหนึ่งที่ต่างจากที่โลกของทำกัน ต่างจากที่เขาเป็นกัน ต่างจากที่เขาคิดกัน และเป็นความแท้ ที่จริงที่สุด ไม่ใช่รักที่ล่อลวงด้วยกิเลสแล้วหลงว่าเป็นรักแท้
รักแท้คือการเสียสละ ยอมสละออก ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องมีใครมาบำรุงบำเรอหรือมาดูแล ไม่ต้องมีใครมาเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อบูชาความรัก ไม่ต้องลวงเขามาเพื่อสนองกามตนเอง ไม่ต้องล่อเขามาเพื่อเติมอัตตาตัวเองให้เต็ม ยอมเป็นคนเต็มคน ไม่ต้องแสร้งว่าพร่อง เพื่อหาใครสักคนมาเติมเต็มชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยากและความยึด
หากว่าเราสามารถเลือกที่จะสละออกไปตั้งแต่แรกเลย ก็จะยิ่งบริสุทธิ์ ถ้าการนำใครสักคนเข้ามาในชีวิตแล้วทำเป็นว่าจะเสียสละเพื่อเขา อันนั้นยังไม่ใช่การเสียสละ ยังไม่ใช่ความรักที่แท้ เพราะยังต้องใช้ใครสักคนมาเพื่อบำเรอการเสียสละของตน ยังต้องการคนรับการเสียสละจากตนอยู่ ยังต้องใช้บุคคลเพื่อสนองความต้องการเสียสละของตนอยู่ ซึ่งมักจะเป็นเล่ห์ลวงของกิเลส ที่จะใช้ความเสียสละจ่ายไปเพื่อจะได้สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่จะมาสนองความอยากของตน เป็นอุบายของกิเลสที่จะแสร้งว่า “นี่ฉันจะเสียสละนะ ถ้าได้คนคนนี้มาเป็นคู่ครอง” มันยังมีเงื่อนไขในการเสียสละอยู่ คือ การได้เขามาครอบครอง ดังนั้นจึงไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นการ “เอา” มาเพื่อตนโดยวิธีการอันแนบเนียนยากที่จะสังเกตได้
ความรักที่แท้จริงนั้นไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน พาให้เจริญ ไม่ทำให้หลง แต่ความรักโลกีย์หรือรักที่เต็มไปด้วยกิเลสนั้น กลับไปในทิศทางตรงกันข้าม แล้วยังสร้างมนต์สะกดให้หลงมัวเมาว่ารักนั้นไม่ทำร้าย รักนั้นไม่เบียดเบียน พากันทำดี พากันเจริญได้ พากันมีสติรู้แจ้ง อะไรก็ว่ากันไปตามแต่กิเลสจะสรรหาคำมาปรุงแต่งให้รักโลกีย์นั้นดูสวยงาม เลิศเลอ น่าจับต้อง ไม่เป็นพิษเป็นภัย เป็นของน่าได้น่ามี
ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ดังนั้นจึงไม่ควรยึดสิ่งใดไว้เลย โดยเฉพาะเรื่องการเสียสละในความรัก เมื่อเรารู้แล้วว่ารักไม่เที่ยง รักเป็นทุกข์ และสุดท้ายรักนั้นก็ไม่มีตัวตน คือรักก็เป็นเพียงภาพลวงที่กิเลสสร้างขึ้นมา แท้จริงมันก็คือความหลงติดหลงยึดในสิ่งที่ตนชอบ พอยึดแล้วมันก็จะผูกเอาไว้ ติดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย ไม่ปล่อยวางเขาเสียที ไม่ปล่อยให้เขาเป็นไปในแบบของเขา ยังใช้อำนาจ วิธีการ อุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะยื้อและรั้งเขาไว้ ไม่ให้ไปจากเรา ให้ลุ่มหลงในตัวเรา ให้สนใจแต่เรา ให้เป็นทาสรักของเราไปจนกว่าจะเสพสุขจนสาแก่ใจ สุดท้ายก็ใช้ความเป็นเรานี่แหละเป็นบ่วงผูกเขาไว้
และแน่นอนว่าบ่วงนั้นก็ย่อมไม่เที่ยงเช่นกัน คนเราก็มีอำนาจในตัวเอง มีธรรมะ มีกิเลส มีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่อยู่นิ่ง ๆ ตลอดไป ถ้าเขาพยายามศึกษาและปฏิบัติธรรมจนเจริญ บ่วงที่เราพยายามผูกไว้ก็ย่อมไร้อำนาจ แม้ว่าจะเป็นบ่วงที่เลิศยอดที่สุด รูปที่งาม มารยาทดีเยี่ยม ทรัพย์สินมหาศาล อำนาจหน้าที่ ลูกหลานบริวาร อุดมการณ์สร้างฝัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ค่าเมื่อเทียบกับธรรมะ ดังนั้นถ้าเขาไม่เที่ยงไปในทิศทางเจริญ คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็ย่อมจะต้องทุกข์จากการพลัดพราก แต่ถ้าเขาไม่เที่ยงไปในทางเสื่อมหรือในทิศทางของกิเลส บ่วงของเราก็ย่อมจะต้านทานอำนาจกิเลสของเขาไม่ไหวเช่นกัน เขาก็จะแหวกออกไปแสวงหาคนที่เขาจะได้เสพสุขมากกว่าเรา ตามฤทธิ์ของกิเลสที่เพิ่มขึ้นของเขา เมื่อเราไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาก็จะจากไป ดังนั้น รักที่มีการยึดยื้อเหนี่ยวรั้งไว้ ย่อมไม่ใช่รัก แต่มันคือความหลง ซึ่งจะนำพาให้เกิดการทำร้าย การเบียดเบียน ความทุกข์ ความร่ำไร คร่ำครวญ หดหู่ ซึมเศร้า ฯลฯ ทั้งตนเองและผู้อื่น
เมื่อรู้แล้วว่ารักนั้นไม่เที่ยง ก็ย่อมไม่ควรยึดเอามาเป็นของตน คนที่เข้าใจสัจธรรม จะไม่แสวงหาผู้ใดมาเป็นคู่ของตน มาเป็นของของตน มาเป็นตัวเราของเรา เพราะรู้แล้วว่าสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พาให้ทุกข์ แล้วท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็ไม่ใช่สาระใด ๆ ที่สำคัญในชีวิตเลย สภาพคู่ครองไม่ใช่ที่พัก ไม่จำเป็นต้องแวะ ไม่ใช่ที่อาศัย ไม่จำเป็นต้องอยู่ สรุปคือไม่จำเป็นต้องมีในชีวิต ซึ่งจะเป็นไปตามทิศทางความเจริญตามที่พระพุทธเจ้าตรัส นั่นก็คือ ผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด คือบัณฑิต , คือคนที่ตั้งใจที่จะปฏิบัติตนให้เป็นโสดนั่นแหละคือผู้ที่เจริญ ส่วนคนที่ทำตรงข้าม ก็ต้องตกต่ำและเสื่อมลงไปตามสัจธรรม
ถ้าหากเราสามารถเสียสละได้จริง เสียสละได้ถึงจิตวิญญาณคือสละความโลภ ความอยากเอาชนะ ความหลงมัวเมาที่เคยยึดไปได้ ก็จะเหลือแต่ความแท้ของความรัก นั่นคือความหวังดี หวังให้เกิดประโยชน์แก่เขา เหลือแต่ความเมตตา ที่ไม่มีก้อนอัตตามาปน มีแต่รสแท้ ๆ ของความรัก ไม่มีหวานปรุงแต่ง เปรี้ยวแปลกปลอมปน ความขมขื่นที่ต้องยอมทน หรือความเผ็ดเร่าร้อนใด ๆ ให้แสบคันทุกข์ทรมาน มันจะมีแค่หวังดี มีเท่านั้นจริง ๆ ไม่มีหลอกล่อลวง หรือการตลบตะแลง หรือแม้กระทั่งการแลกเปลี่ยนใด ๆ คือหวังดีอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละ คนอื่นจะดีหรือไม่ดีไม่ใช่เป้าหมาย แต่จิตของเราที่หวังดี เมตตา เกื้อกูลอยู่ตลอดนั่นแหละคือสภาพของผลที่เกิดจากการเสียสละกิเลสออกไปได้อย่างแท้จริง
เป็นความรักแท้ ที่มีแต่ให้ ไม่มีการเอา เป็นสภาพของความรักที่เที่ยงแท้ที่สุด ไม่ใช่เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็ชัง แต่จะเป็นรักอยู่แบบนั้น ไม่มีความชัง เป็นรักที่เบา สงบ ร่มเย็น ประณีต ลึกซึ้ง และขัดเกลาไปในทิศทางที่พาเจริญ ไม่ใช่การให้แบบสนองกิเลส ไม่ใช่การหวังดีให้เกิดความสุขที่หลงงมงาย หากแต่เป็นความหวังดี เมตตา เกื้อกูลให้เกิดความเจริญทางจิตวิญญาณ ให้พ้นทุกข์ ให้รู้จักโทษชั่วของกิเลส ให้รู้ภัยของวัฏสงสารที่พากันหลงมัวเมาในคู่ครอง จนต้องเวียนว่ายตายเกิดแสวงหาบุคคลที่จะมาเติมเต็มตนชาติแล้วชาติเล่า
รักแท้จะเกิดได้เพราะสละกิเลสออกไป กิเลสคือสิ่งแปลกปลอมในจิตวิญญาณ เหมือนหนามที่ฝังอยู่ เหมือนฝีที่อักเสบอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้เกิดหลุม เกิดช่องที่เหมือนจะต้องหาอะไรมาเติมเต็มตลอดเวลา เมื่อสละกิเลสออกไป จิตวิญญาณก็เป็นคนเต็มคน ไม่มีรูรั่ว ไม่มีแผลอักเสบใด ๆ ให้ต้องหายาวิเศษหรือคนพิเศษใด ๆ มารักษาใจหรือมาเติมใจให้เต็ม แต่ถ้ารักนั้นยังถูกควบคุมด้วยกิเลส ก็จะต้องพบกับความทุกข์ ความปวดร้าว เศร้าโศก เสียใจ ทุรนทุราย ไปจนชั่วนิจนิรันดร์
17.5.2562
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์