เกี่ยวกับฉัน
หลักพิจารณาในการแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาทุกข์จากความรักในคนโสดและคนคู่
ข้อคิดเห็นของฉัน : หลักพิจารณาในการแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาทุกข์จากความรักในคนโสดและคนคู่
ในเพจนี้มักจะมีแต่บทความเกี่ยวกับความโสด พูดถึงแต่ในบริบทของคนโสด มักจะไม่ค่อยกล่าวถึงในมุมของคนมีคู่สักเท่าไหร่
บทความส่วนมากของผมเจาะจงลงไปที่ปัญหาความรัก ชี้ให้เห็นเหตุของปัญหา แต่ไม่เคยแนะนำให้หนีปัญหา หรือหักดิบทิ้งปัญหาเหล่านั้น แล้วเอาตัวรอดคนเดียว นั่นหมายถึงผมไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนให้คนมีคู่ หนีคู่ไปด้วยข้ออ้างที่ว่าโสดนั้นดีกว่า
ซึ่งผมเองไม่ได้มีเจตนาที่จะไปยุ่งเกี่ยว หรือไปมีอิทธิพลต่อชีวิตใครจนกระทั่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคู่จนเป็นทุกข์ เพราะเจตนาที่แท้จริงก็เพียงแค่ต้องการชี้ให้เห็นโทษของกิเลสเท่านั้น และการจะแก้ปัญหาความรักที่มีความซับซ้อนน้อยที่สุด ก็คือการแก้ปัญหาตั้งแต่ยังเป็นโสด เพจนี้จึงมักจะมีบทความชวนให้เห็นโทษของการมีคู่ เห็นคุณของความโสด
เพราะการแก้ปัญหากิเลส ตอนโสดนั้นเป็นการแก้ต่อเดียว แก้ที่คนคนเดียว ปัญหามีความซับซ้อนน้อย สามารถจัดการได้ง่าย แต่การแก้ปัญหากิเลสในคนมีคู่นั้นยาก ซับซ้อน มีเรื่องปิดบังอำพรางมาก มีเรื่องส่วนตัวเยอะ มีเหตุแห่งทุกข์มากมายที่เป็นเรื่องลึกลับ ไม่สามารถไขความหมายหรือเข้าใจได้ ไม่ใช่ลักษณะแบบ (1+1 =2 ) แต่เป็น (กิเลส + กิเลส = อภิมหากิเลส)
เพียงแค่การแก้ปัญหากิเลสในคนๆเดียวก็ไม่รู้จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้ความเพียรแค่ไหน ผมเองก็ผ่านมาแบบแผลเหวอะหวะ ถ้าเป็นสงครามก็เสียแขนเสียขาไปอย่างละข้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเรียนรู้โดยไม่เจ็บช้ำ ไม่ง่ายที่จะเอาชนะกิเลสโดยไม่ต้องเสียอะไรไป ไม่ง่ายเพราะต้องแพ้กิเลสซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังต้องสู้อยู่…นี่แค่ตัวคนเดียวนะ
แต่การแก้ปัญหากิเลสในคนคู่นั้นซับซ้อนยิ่งกว่า มันมีความผูกของกิเลสสองคน ถ้าเป็นเชือกก็เป็นเชือกสองเส้นที่สีเดียวกันบ้าง คนละสีบ้างในแต่ละเส้น พันกันเป็นปมใหญ่ ไม่รู้อันไหนต้นอันไหนปลาย ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน ไม่รู้จะแก้ปัญหาที่ใด
สำหรับคนคู่ผมจึงได้พิมพ์บทความไว้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในตนเองเท่านั้น ไม่ต้องไปมุ่งแก้ที่คู่ของตน เพราะลำพังแก้ที่ตนก็ยากพออยู่แล้ว ควรจะเอาตัวเองให้รอเสียก่อนแล้วค่อยไปช่วยคนอื่น ใครจะคิดไปแก้คู่ของตนด้วยก็ตัวใครตัวมัน
ซึ่งในความจริงมันก็ต้องลากกันไปแบบนั้น คนโสดแก้ปัญหาตัวเองได้ เรื่องก็จบ แต่คนคู่แค่แก้ปัญหาตัวเองได้นั้นยังไม่พอ ยังต้องช่วยคู่แก้ปัญหาอย่างมีศิลปะด้วย เพราะหากคู่ครองยังมีปัญหาอยู่ ก็สามารถลากกันไปลงนรก ลากกันไปทุกข์ได้เช่นกัน ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงเปรียบคู่ เหมือนกับบ่วง จะเดินไปไหนก็ต้องลากกันไปด้วย ต้องลำบากเพิ่มขึ้น ใครมีลูกก็ต้องลำบากเพิ่มขึ้นอีกตามบ่วงที่สร้างมา
และผมก็ยังถือหลัก “ ผูกเองก็ต้องแก้เอง ” ตอนผูกพันก็สมยอมผูกกันมาเอง แล้วตอนจะแก้มาให้คนอื่นแก้ให้ เก่งแค่ไหนก็คงไม่สามารถแก้ให้ได้ เพราะไม่รู้ว่าผูกกันมายังไง มีแต่คนที่ผูกเท่านั้นที่จะรู้ว่าต้องแก้ปัญหายังไง
ถ้าจะให้แนะนำกันในส่วนตน เรื่องของตนเอง เฉพาะจิตใจตนเอง ไม่ว่าจะเป็นคนโสดที่ยังเร้าร้อนแสวงหาคู่ หรือคนคู่ที่ทุกข์มาจากเรื่องคู่ของตน การแนะนำเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องส่วนบุคคลนั้นยังเป็นเรื่องที่พอจะทำได้
แต่ถ้าจะให้ไปวิเคราะห์กันถึงบุคคล ที่ 2 3 4 … ไปคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเรื่องนอกตัว เช่นว่า ทำไมเขาต้องทำกับฉันแบบนี้ , เขาจะต้องได้รับกรรมอะไร, เขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะแก้นิสัย ฯลฯ ผมว่ามันจะเลอะเทอะ เสียเวลากันเปล่าๆ เอาแค่เวลาที่มีในชาตินี้ทั้งหมดจะแก้ปัญหาที่ตัวเองให้ได้หมดก็ดูท่าจะยังไม่พอกันเลย แล้วใครที่คิดจะไปแก้ปัญหาของคนอื่นแต่ไม่มุ่งแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อนนี่ ผมเองไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนแนวคิดแบบนี้
ในมุมธรรมะ คนที่มุ่งแต่จะแก้ไขคนอื่นนั้น ไม่มีทางที่เขาจะพ้นทุกข์ได้เลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้หมั่นทำนาของตนเอง อย่าไปทำนาคนอื่น ซึ่งถ้าใครมีความคิดเห็นในแนวทางมุ่งแก้ปัญหาคนอื่น ไม่มองว่าตัวเองมีปัญหา ผมก็คิดว่ายากที่เขาจะแก้ปัญหาในชีวิตได้
ส่วนคนที่น้อมปัญหากลับมามองตน กลับมาทบทวนว่าเหตุแห่งทุกข์ของเรานั้นอยู่ตรงไหนในจิตใจเรา คนที่มีความคิดในแนวทางนี้เจริญได้ง่าย แก้ปัญหาได้ง่าย ถ้าให้ผมเลือก ก็คิดว่าควรใช้เวลาให้กับคนที่มีความเห็นเช่นนี้ เพราะเขามุ่งแก้ปัญหาในตนจริงๆ ซึ่งการแนะนำต่างๆจะสามารถเข้าถึงปัญหาได้ง่าย เพราะไม่มีตัวแปรที่ซับซ้อนเหมือนคนที่ดึงเอาบุคคลที่ 2 3 4 … มาเกี่ยวด้วย
– – – – – – – – – – – – – – –
3.10.2558
ลากันสักพัก
ลากันสักพัก
บางครั้งบางเวลา เราก็ควรจะมีช่วงเวลาที่ละเว้นจากกิจกรรมเดิมๆ เพื่อใช้เวลาเหล่านั้นในการคิดทบทวนและทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่ทำลงไปแล้วหรือคิดไว้ว่าจะทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้บทความในเพจนี้จะถูกเผยแพร่เป็นจำนวนมาก ถี่ที่สุดก็เผยแพร่กันหลายบทความต่อวัน ซึ่งนอกจากเยอะแล้วยังจะยาวอีกด้วย
แต่ก็มีบางช่วงที่ผมรู้สึกว่าไม่สมควรจะเรียบเรียงอะไรออกมาเลย ไม่ควรแม้แต่จะคิด แต่ควรจะศึกษาให้มากขึ้น เพื่อลับความคมที่มีอยู่ ให้คมยิ่งขึ้นกว่าเดิม
มีหลายครั้งที่ผมหายไปและกลับมาพร้อมความรู้ความเข้าใจชุดใหม่ จนบางครั้งผมก็แปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่าการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้เชียวหรือ…
สรุปแล้วที่ผมหายไปเป็นช่วงๆ ก็คือไปทบทวนตัวเอง ให้เวลากับตัวเองได้ลองเปลี่ยนแปลงบ้าง ให้ตัวเองได้พบกับความสงบบ้าง ซึ่งในชีวิตปกติแล้วผมมักจะอยู่กับความ “ฟุ้ง” เป็นหลัก ไม่ว่าจะการศึกษา หาข้อมูล วิจัยวิจารณ์ คิดเรื่องต่างๆ แต่การเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่ความ “ดับ” คือไม่ต้องคิดอะไรเลย ก็เอื้อให้ชีวิตสมดุลขึ้นได้เหมือนกัน
ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ก็ควรจะประมาณตนไม่ให้ฟุ้งจนเหนื่อย และไม่ให้ดับจนไม่เหลืออะไรเลย เมื่อเรายังไม่เก่งในการใช้จิตของตัวเองจัดการทุกอย่าง เราก็ควรจะใช้องค์ประกอบภายนอกในการสร้างสภาวะให้เหมาะสมต่อการเข้าใจชีวิตด้วย
– – – – – – – – – – – – – – –
25.9.2558