ความเห็นความเข้าใจ

เชื่อเรื่องดวง ไม่มีวันพ้นทุกข์

November 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,697 views 0

เชื่อเรื่องดวง ไม่มีวันพ้นทุกข์

เชื่อเรื่องดวง ไม่มีวันพ้นทุกข์

ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความรีบเร่งและสับสน ในสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแต่กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ทางจิตใจที่ยากจะเยียวยา แม้ว่าจะหันหน้าเข้ามาหาศาสนาเท่าไรแต่ก็ไม่รู้สึกว่าทุกข์จะหายไป ทำบุญทำทานเท่าไหร่ก็ไม่พ้นทุกข์ สุดท้ายจึงต้องหาสิ่งยึดมั่นจิตใจ ที่เรียกว่า “การดูดวง

การดูดวง ดูหมอ การทำทายทายทัก ทรงเจ้า เข้าทรง ดูฤกษ์ ดูฮวงจุ้ย การทำนายและการพยากรณ์ต่างๆกลับกลายเป็นที่ยึดถือทางจิตใจของใครหลายคน เป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตและสังคมถึงขนาดที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครหลายคนได้เลยทีเดียวเช่นบางคนเชื่อในเรื่องอาถรรพ์เจ็ดปีของคนที่คบหาดูใจกัน หรือเบญจเพส พอเชื่ออย่างนั้นจิตก็ปักมั่นว่าจะเกิดสิ่งร้าย จิตจึงตกสู่ความหดหู่ กังวล และความรู้สึกที่เป็นลบเหล่านั้นเองก็ดูดดึงให้เกิดสิ่งร้ายจนได้ยกตัวอย่างเช่นเรื่องอาถรรพ์เจ็ดปี ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเชื่อ เวลามีเหตุการณ์ผิดใจกันเกิดขึ้นก็จะมีความไม่ชอบใจ บวกกับความเชื่อเสริมแรงให้ทุกข์เข้าไปอีก หรือกระทั่งความเชื่อนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ทุกข์ ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ทุกข์ขนาดนั้นเลย

หรือการดูดวงทำนายทายทัก เช่น ไปดูหมอ แล้วเขาทักว่าจะได้แฟนเป็นข้าราชการ เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ตั้งความหวัง จิตจะเริ่มคัดครองคนที่เข้ามาในชีวิตโดยอัตโนมัติ ถ้าไปเจอข้าราชการ ที่มีรูปลักษณ์ตรงกับใจ จึงคิดว่าคนนั้นต้องใช่แน่นอน เป็นความหลงในรูป บวกกับความงมงายเสริมแรงกันไป เมื่อได้เจอคนที่หวังก็จะยิ่งปักมั่น เชื่ออย่างเต็มใจ สุดท้ายก็เทหมดหน้าตัก ทุ่มให้ทุกอย่าง คาดหวังทุกอย่าง และมักจะจบลงด้วยความผิดหวัง

การดูดวงเหล่านั้น ตามหลักศาสนาพุทธท่านว่าเป็น “เดรัจฉานวิชา” เดรัจฉานนั้นคือความโง่ เดรัจฉานวิชาก็คือวิชาที่จะนำมาซึ่งความโง่ สร้างโดยคนโง่ เชื่อโดยคนโง่ เป็นวิชาที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักกฎแห่งกรรม แต่เป็นไปตามสถิติและตรรกะวิธี ซึ่งเป็นวิสัยของโลกียะ เมื่อเป็นไปตามโลกจึงได้แค่วนอยู่ในโลก สุข ทุกข์แบบโลกๆ

การทำนายทายทักเหล่านี้ยังผิดต่อมหาศีล คือศีลที่เป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา ที่คุมความเชื่อและความเป็นไปโดยรวมของพุทธศาสนิกชน เพราะการดูดวงหรือแม้แต่การทำนายทายทักที่เข้าใจว่ารู้จริงเห็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญการทำนาย การเดาใจ หรือการใช้อาเทสนาปาฏิหาริย์ แม้ว่าจะสามารถใช้ได้จริงก็ตาม

เหตุนั้นเพราะการเดาใจ ทายใจ ไม่ทำให้ใครพ้นทุกข์ ไม่ได้ทำให้กิเลสใครลดลง และไม่ทำให้คนพึ่งตนเอง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการพึ่งตน พึ่งพากรรมของตนเอง ไม่ใช่พึ่งสิ่งอื่น เมื่อเราเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม เราจะไม่สนใจการดูดวง

เพราะเราจะรู้แน่ชัดแล้วว่าการทำดี ทำให้เกิดสิ่งที่ดีในชีวิตเรา ดังเช่นสิ่งดีที่เกิดขึ้นในชีวิตเราทุกวันนี้ก็เกิดมาจากกรรรมดีที่เราเคยทำมา ซึ่งเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องรอให้ใครมาพยากรณ์ มาทำนายดวงให้ เพราะถ้าตนเองอยากพบกับสิ่งที่ดี ได้เจอคนดี ได้งานดี ได้มีชีวิตที่ดี ก็เพียงแค่กระทำกรรมดี แล้วในวันใดวันหนึ่ง ชาติในชาติหนึ่งก็จะได้รับผลของกรรมดีนั้นอย่างแน่นอน

ในส่วนของกรรมชั่วก็เช่นกัน เมื่อเราได้รับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ทำให้ทุกข์ใจ คนที่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่โทษดวงชะตาฟ้าลิขิตใดๆ เพราะรู้แน่ชัดว่าชั่วที่ได้รับอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เราเคยทำมาก่อนอย่างแน่นอน อาจจะในชาตินี้ หรือในชาติก่อน

ในเมื่อเราเองก็มักได้รับผลดีหรือกรรมดี ที่เราไม่เคยได้ทำมาในชาตินี้ เช่น เกิดมาก็มีพ่อแม่เลี้ยงดู ซื้อของเล่นให้ ทั้งๆที่เราไม่เคยทำกรรมดีอะไรให้กับพ่อแม่เลย ดังนั้นกรรมดีที่ได้รับนั้นคือกรรมเก่าที่สะสมมา ซึ่งเมื่อเรายินดีรับสิ่งที่ดี เราก็ควรจะต้องยินดีรับสิ่งชั่วที่เราเคยทำมาเช่นกัน

การรับกรรมดีนั้น ส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่มีใครทุกข์ใจ ไม่มีใครลำบากใจ แต่พอได้รับสิ่งชั่วก็กลับทุกข์ใจ ลำบากใจ ขุ่นมัว หาคนผิด โทษดินโทษฟ้า ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องมารับกรรมนี้ ซึ่งนั้นเป็นลักษณะของมิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิด เพราะเราไม่มีทางได้รับสิ่งที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับเราทำมาแล้วทั้งนั้น กรรมชั่วนั้นก็เช่นกัน มันเป็นของเราอย่างแน่นอน

เมื่อเรายินดีรับกรรมชั่วที่ได้ทำไว้อย่างยินดีเต็มใจ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่า นี้คือสิ่งชั่วที่เคยทำมา และเป็นสิ่งที่ทำให้เราสังวรระวังที่จะไม่ทำชั่วอีก

ในอีกกรณีหนึ่งคือ เมื่อเราได้รับกรรมชั่วแล้วไม่ยอมรับว่าตัวเองทำมา จะเกิดสภาพที่เรียกว่าโกหกซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ผิดศีลข้อ ๔ ว่าด้วยการพูดปด คิดโกหกเข้าไปอีก เพราะเราไม่ยอมรับผลกรรมชั่วทั้งๆที่เราทำมา แถมยังโกหกว่าคนอื่นเป็นคนทำอีก เมื่อคิดแบบนี้ก็ต้องทุกข์ตั้งแต่ไม่ยอมรับกรรมชั่ว และทุกข์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำกรรมชั่วใหม่อีก นั่นคือการผิดศีล เรียกได้ว่าถ้าเข้าใจเรื่องกรรมไม่กระจ่างแจ้ง ก็จะมีโอกาสได้รับทุกข์ถึงสองต่อ หรืออาจจะมากกว่านั้นตามความหลงผิด

สรุปรวมได้ว่าการเชื่อในเรื่องดวงหรือการทำนายทายทัก ทำให้คนไม่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม เมื่อไม่เชื่อในเรื่องกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกตรงสู่ความพ้นทุกข์ ) ก็ไม่มีทางที่จะพ้นจากความทุกข์นั้นได้เลย

– – – – – – – – – – – – – – –

2.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

มนุษย์เป็นสัตว์กินตามกิเลส : ตอบสารพัดปัญหาไขทุกข้อข้องใจกับเรื่องมังสวิรัติ

October 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,759 views 0

มนุษย์เป็นสัตว์กินตามกิเลส : ตอบสารพัดปัญหาไขทุกข้อข้องใจกับเรื่องมังสวิรัติ

มนุษย์เป็นสัตว์กินตามกิเลส : ตอบสารพัดปัญหาไขทุกข้อข้องใจกับเรื่องมังสวิรัติ

ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้น หลายคนก็คงจะเข้าใจว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่มีเมตตา มีปัญญา มีจิตใจสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน สร้างสรรค์สังคมและโลกให้เป็นไปอย่างสงบร่มเย็น

แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็สามารถเป็นสัตว์นรกได้เช่นกัน เบียดเบียน แก่งแย่ง แข่งขัน เห็นแก่ตัว ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายผู้อื่น อยากได้อยากมีสิ่งต่างๆมาปรนเปรอกิเลสตนเอง เป็นมนุษย์นรกที่สามารถสร้างความเดือดร้อนฉิบหายวายวอดให้กับคน สัตว์ และโลก สามารถทำสิ่งที่เลวร้ายเกินกว่าที่สัตว์เดรัจฉานจะสามารถทำได้

สัตว์นั้นล่าเพื่อดำรงชีพ ประทังความหิว ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันในทุกวัน แต่มนุษย์นั้นล่ามาเพื่อบำรุงบำเรอกิเลส จะว่ามีปัญญาสูงกว่าสัตว์ก็คงใช่ และจะว่ามีตัณหาสูงกว่าสัตว์ก็คงใช่อีกเหมือนกัน

เมื่อได้ศึกษาข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับผู้กินมังสวิรัติและปัญหาที่มีการถกเถียงกันในสังคมจึงนำมาวิเคราะห์และตอบคำถามกันใน 7 ประเด็นนี้

1)…คนเป็นสัตว์กินพืช หรือสัตว์กินเนื้อ

มีประเด็นที่ถกเถียงกันบ่อยครั้งระหว่างนักมังสวิรัติกับคนที่หลงรักเนื้อสัตว์ในเรื่องคนเป็นสัตว์กินพืชหรือกินเนื้อ โดยมักจะเอาหลักฐานมาตอบโต้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของฟัน ลำไส้และระบบการย่อย สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เถียงกันไปก็เท่านั้น เอาชนะกันไปก็เท่านั้น ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าจริงๆคนเป็นสัตว์กินพืช ยังไงคนที่เสพติดเนื้อสัตว์ก็ยังเลิกไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละแต่ที่แน่ๆ คนเป็นสัตว์กินตามกิเลส

ในความเป็นจริงแล้วคนกินได้ทั้งพืชและเนื้อสัตว์ เราสามารถย่อยและได้พลังงานจากแหล่งพลังงานทั้งสอง แต่ผลที่ได้จะไม่เหมือนกัน หมู่คนที่มักกินเนื้อเป็นหลัก กินเนื้อเป็นส่วนมาก มักจะมีโรคมากและอายุสั้น เช่นชาวเอสกิโม มีโอกาสที่จะตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ด้วยเหตุแห่งโรคเช่น มะเร็ง ในทางกลับกันชาวฮันซาได้ชื่อว่าอายุยืนนั้น มักจะไม่กินเนื้อสัตว์ กินพืชเป็นหลัก มีผลทำให้อายุเฉลี่ยประมาณ 120 ปี และไม่มีอาการป่วยจากโรคยอดฮิตเช่น มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ ชาวฮันซาที่อายุ 90 ยังแข็งแรงและสามารถเต้นได้

ดังจะเห็นได้ว่าทั้งพืชและเนื้อสัตว์มันกินได้เหมือนกันแต่ผลออกมาไม่เหมือนกัน ดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น” ดังนั้นคนที่หลงเสพติดเนื้อสัตว์ กินเนื้อสัตว์มาก มีส่วนเบียดเบียนมาก เขาก็จะมีโรคมากและอายุสั้น เขาเหล่านั้นใช้ชีวิตของตัวเองพิสูจน์สัจจะนี้ เขาเสียสละให้เราเห็นว่าการกินเนื้อสัตว์มีทุกข์ มีโทษอย่างไร เราก็ดูเขาไป ไม่ต้องไปบังคับให้ใครเขามาเชื่อตามเราว่าการกินมังสวิรัตินั้นดี หรือไปบอกว่าทุกคนควรกินมังสวิรัติ

เพราะการจะมากินมังสวิรัติได้นั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้รู้อย่าลึกซึ้งถึงคุณค่าของการกินมังสวิรัติและโทษจากการเบียดเบียนสัตว์อื่นเป็นอย่างมาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ หลายคนยินดีที่จะเบียดเบียนเพื่อให้ได้เสพรสที่ตนติดใจและหลงใหล โดยไม่หวั่นเกรงต่อบาป เวร ภัยที่จะเกิดกับตัวเองแม้แต่น้อย

การที่เรามัวแต่จะไปเอาชนะกัน ข่มกัน เอาเหตุผลมาขัดแย้งกันด้วยอารมณ์เป็นการสร้างความบาดหมาง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลย ผู้กินมังสวิรัติไม่ควรจะไปเถียงกับใครจนเกิดความผิดใจกัน ควรจะชี้แจงด้วยเหตุผลแต่พอดี เขาจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เราได้บอกเขาแล้ว เราก็วาง สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่บาปบุญของเขา แต่เราจะไม่ไปทะเลาะกับเขาอย่างแน่นอน

ผู้กินมังสวิรัตินั้นนอกจากจะต้องมีเมตตาต่อเหล่าสัตว์เดรัจฉานแล้วยังต้องมีความเจริญทางจิตใจด้วย ไม่อย่างนั้นคนกินเนื้อเขาจะดูถูกเอาว่ากินผักกินหญ้าเหมือนวัวเหมือนควาย กินมังสวิรัติแล้วไม่มีปัญญา กินมังสวิรัติแล้วยังนิสัยเสียอยู่เหมือนเดิม เมื่อชาวมังสวิรัติถูกกล่าวหา พึงตั้งตนอยู่ในคำสอนสองประการของพระพุทธเจ้าคือ ๑ พึงตั้งตนอยู่ในความจริงแท้ ๒. ไม่หวั่นไหวขุ่นเคือง ผู้ที่สามารถทนต่อแรงกระแทกของโลก หรือทนต่อคำพูดของคนส่วนใหญ่ที่เขายังเสพเนื้อและหาเหตุผลมากมายที่จะยืนยันว่าการเสพเนื้อนั้นดีได้โดยไม่มีการทะเลาะวิวาท จึงจะเป็นผู้ที่เจริญ ดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า ผู้ไม่โกรธตอบ ผู้ที่กำลังโกรธอยู่ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก

คนที่เขาเห็นผิด เขาก็ต้องเห็นความถูก(มังสวิรัติ)เป็นความผิดอยู่แล้ว จะให้เขาเห็นเรื่องที่ถูกที่ดี เป็นเรื่องที่ถูกไม่ได้ ดังที่เขาเห็นว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นถูกนั้นดี ทั้งที่จริงๆแล้วการเบียดเบียนเป็นสิ่งไม่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เขาจะได้รับทุกข์ โทษ ภัย จากการเบียดเบียนของเขาในวันใดก็วันหนึ่ง และสุดท้ายในชาติใดชาติหนึ่งเขาก็จะเข้าใจและหันมากินมังสวิรัติเอง

2)…มังสวิรัติมีงานวิจัยรองรับไหม?

เรื่องมังสวิรัติมีงานวิจัยมากมาย และหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่างานวิจัยคือ มีคนกินมังสวิรัติที่ยังใช้ชีวิตปกติหรือมีศักยภาพมากกว่าคนทั่วไป ให้ได้ตรวจสอบคุณค่าของการกินมังสวิรัติ เป็นหลักฐานตัวเป็นๆ ไม่ใช่แค่กระดาษที่อาจจะสามารถอุปโลกน์กระบวนการวิจัยหรือบิดเบือนการเก็บข้อมูลได้ ยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตมังสวิรัติอยู่ในโลกใบนี้ โลกเดียวกับคนที่เห็นว่าเนื้อสัตว์นั้นดี โลกเดียวกับคนที่คิดว่าการขาดเนื้อสัตว์จะไม่แข็งแรงนั่นแหละ

ในปัจจุบันเรามีความเจริญทางด้านการแพทย์ในการดูแลสุขภาพมากมาย แต่เรากลับพบโรคมากขึ้น คนป่วยมากขึ้น หมอและพยาบาลทำงานหนักมาขึ้น ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อสังคมพัฒนาไปเรื่อยๆเราก็น่าจะมีความสุขขึ้น มีโรคน้อยลง อายุยืนยาวขึ้นสิ

แต่ในทุกวันนี้กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เรามีอายุน้อยลง มีโรคมากขึ้น มีความสุขน้อยลง แม้ว่าเราจะได้เสพสมใจในสิ่งต่างๆก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นไปอย่างสอดคล้องกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น” เรากำลังใช้ชีวิตเบียดเบียนใครอยู่หรือเปล่า ทางที่เราเดินนั้นจะพาเราไปสู่ความสุขจริงหรือ การกินเนื้อสัตว์นั้นทำให้แข็งแรงจริงหรือ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่องานวิจัยของพระพุทธเจ้าที่ท่านประกาศมาเมื่อกว่า 2600 กว่าปีมาแล้ว ว่าคนที่จะสงบจากกิเลสคือคนที่ไม่เบียดเบียน ,คนที่จะมีความผาสุกคือคนที่ไม่เบียดเบียน ส่วนใครจะเชื่องานวิจัยยุคใหม่ว่าเนื้อสัตว์ดีอย่างนั้นจำเป็นอย่างนี้ก็ตามใจ เพราะผมเองเชื่อเต็มใจว่าไม่มีใครรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งไปกว่าพระพุทธเจ้าแน่นอน

3)…ยังเห็นพระฉันเนื้อสัตว์อยู่เลย

กลายเป็นเรื่องปกติของนักบวชยุคนี้ไปแล้วที่มีการฉันเนื้อสัตว์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความพระทั้งหมดจะกินเนื้อสัตว์ ยังมีพระและนักบวชบางส่วนที่ท่านไม่ยินดีฉันเนื้อสัตว์ทำไมถึงมีทั้งนักบวชที่ยินดีและไม่ยินดี?

เหตุนั้นคงเพราะกิเลส นักบวชคนใดที่ไม่มีกิเลส รู้ถึงโทษของการเบียดเบียน ก็จะพร่ำสอนให้เหล่าศิษย์และผู้ศรัทธาได้เห็นโทษของการกินเนื้อสัตว์ ในกรณีเดียวกัน นักบวชใดที่ยังไม่ตระหนักว่าความอยากกินเนื้อสัตว์คือกิเลส ก็จะไม่พร่ำสอนให้เลิกกินเนื้อสัตว์ หากสอนให้เลิกกินเนื้อสัตว์ไปแล้ว ตนเองก็อาจจะอดเสพเนื้อสัตว์ที่ตนหลงชอบไปด้วย

นักบวชนั้นอาจจะรับประเคนเนื้อสัตว์ก็ได้ แต่ท่านจะฉันหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปถวายอาหารให้พระ ก็จะมีอาหารมากมายหลากหลาย ท่านสามารถพิจารณาอาหารได้ตามที่สมควร ตามกิเลสและปัญญาที่ท่านมี กิเลสมากก็หยิบเนื้อสัตว์กินไป กิเลสน้อยก็กินพืชผักแล้วพร่ำสอนให้คนได้เห็นโทษของการกินเนื้อสัตว์

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีคุณหรือประโยชน์ใดๆเลยในการเบียดเบียน ไม่ใช่สิ่งที่น่าสรรเสริญ กลับเป็นสิ่งที่ควรละอาย ว่าเรายังต้องใช้ชีวิตสัตว์อื่นมาเลี้ยงกายเพื่อเสพกิเลส

พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสว่าห้ามกินเนื้อสัตว์ เพราะจริงๆแล้วมีเนื้อสัตว์ที่กินได้อยู่ นั่นคือเดนสัตว์ ซากสัตว์ที่สัตว์อื่นล่ามาแล้วเหลือทิ้งไว้ และสัตว์ที่ตายเองตามกรรมของมัน นั่นคือเนื้อที่กินได้ ไม่บาปในส่วนของปานาติปาต

ท่านยังตรัสตอบในตอนที่พระเทวทัตขอให้บัญญัติว่าให้นักบวชในพุทธศาสนาห้ามกินเนื้อสัตว์ ใครกินถือว่าผิด พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เออออตามพระเทวทัต เพราะโดยสัจจะนั้นมีเนื้อที่กินได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น ท่านจึงได้บัญญัติว่าสามารถกินเนื้อได้โดยให้เนื้อนั้นบริสุทธิ์ โดย ๓ ประการ คือ

๑ไม่ได้เห็นว่าเขาฆ่ามา .. เนื้อชิ้นนั้นเราไม่ได้เห็นไม่ได้รับรู้ว่าเขาได้จากการฆ่าสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารในมื้อนี้ .. แต่เราก็เห็นแล้วว่ามีฟาร์มสัตว์ มีโรงฆ่าสัตว์..

๒ไม่ได้ยินว่าเขาฆ่ามา … เนื้อชิ้นนั้นเราไม่ได้ยินใครกล่าวอ้างว่าเขาได้จากการสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารในมื้อนี้ .. แต่เราก็ได้ยินแล้วว่าเนื้อชิ้นนั้นซื้อมาจากตลาด ที่มาจากโรงฆ่าสัตว์

๓ไม่รังเกียจว่าเขาฆ่ามา … ข้อสุดท้ายนี้คือข้อวัดคุณธรรมของคนอย่างแท้จริง ในสองข้อแรกนั้นยังพอใช้กิเลสหลีกเลี่ยงว่าไม่ผิดได้ แต่ในข้อสุดท้าย เรารู้อยู่เต็มอกว่าเนื้อสัตว์ในยุคสมัยนี้เกิดจากการฆ่ามา ไม่ว่าจะเนื้อสัตว์ในจานใดๆ เขาก็ฆ่ามาทั้งนั้น

เมื่อเกิดการฆ่า นักบวชผู้สงบจากกิเลสย่อมไม่ยินดีในการฆ่านั้น เมื่อไม่ยินดีจึงเกิดความรังเกียจในเนื้อนั้น เมื่อเกิดความรังเกียจก็ไม่สามารถกินเนื้อนั้นได้ เพราะไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่จะกินเนื้อสัตว์ที่เบียดเบียนมา

ในข้อสุดท้ายนี้ก็มีคนเฉโกเป็นอย่างมาก คือตีความเข้าข้างกิเลส ประมาณว่าอยากกินเนื้อเลยตีความให้กินเนื้อได้ ก็เลยบอกว่าตนเองไม่รังเกียจเนื้อที่เขาฆ่ามา ตีความเป็นแบบนี้ก็ออกนอกพุทธแล้ว เพราะพุทธนั้นย่อมไม่เบียดเบียน ย่อมไม่ยินดีในการเบียดเบียน พอตนรู้ว่าเนื้อนี้เขาฆ่ามา ไม่รังเกียจ เฉยๆ จิตว่าง คิดเอาเองว่ากินได้ ไม่บาป แล้วสุดท้ายก็กินเข้าไป มันก็มีแต่เพิ่มกิเลสเท่านั้นเอง เหมือนจะปล่อยวาง แต่ก็ไม่ปล่อยวาง

ผู้ปล่อยวางที่แท้จริงคือ ผู้ที่วางการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ทำให้สัตว์อื่นลำบาก คนที่ปล่อยวางโดยคำพูดแต่ยังเคี้ยวชิ้นเนื้ออย่างมีความสุขนั้นคือผู้ที่พูดธรรมะด้วยความคิด ไม่ใช่ความเข้าใจ

บางคนถึงกับอ้างว่าพระพุทธเจ้ากินเนื้อสัตว์ เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครรู้หรอกเพราะเกิดไม่ทัน แม้ท่านจะรับประเคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านกินเนื้อสัตว์ ในยุคนี้ไม่มีใครเกิดทัน คนที่อยากกินเนื้อสัตว์ก็ได้แต่เดาๆกันไปว่าท่านกินเนื้อสัตว์ประมาณว่าหาเหตุผลเพื่อที่จะได้กินเนื้อสัตว์โดยชอบธรรม

พระพุทธเจ้าบอกไว้ก่อนปรินิพพานว่า หลังจากท่านปรินิพพานไปแล้วพระธรรมจะเป็นศาสดาแทนท่าน และในบทโอวาทปาติโมกว่าด้วย เรื่องบรรพชิต (ผู้ออกบวช) ว่าถ้ายังกำจัดสัตว์อื่นอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ออกบวชในพุทธศาสนา และ สมณะ (ผู้สงบจากกิเลส) ถ้ายังเบียดเบียนสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้สงบจากกิเลสเลย

ธรรมะของศาสนาพุทธนั้น เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียน เพื่อความมักน้อย เพื่อลดละกิเลส และกิเลสในด้านความอยากกินเนื้อสัตว์เป็นกิเลสในระดับหยาบ ไม่ใช่กิเลสที่ฝังลึกแก้ยากแต่อย่างใด สามารถกำจัดได้ง่าย ได้โดยไม่ลำบากนัก หากนักบวชใดยังมีความสุขจากการเสพเนื้อสัตว์อยู่นั้นก็ดูจะห่างไกลจากคำว่าผู้สงบจากกิเลสอยู่มาก

ถ้าเราเจอพระ หรือครูบาอาจารย์ที่เคารพก็ลองถามดูได้ว่าทำไมท่านไม่สนใจกินมังสวิรัติ ถ้าท่านยังไม่รู้โทษภัยของการเบียดเบียนก็ถวายธรรมเป็นทานให้แก่ท่านก็ได้ ว่าการกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามาเบียดเบียนอย่างไร เปิดวีดีโอ เอาสื่อให้ท่านดู ให้ท่านพิจารณาเอาตามปัญญาของท่าน ที่เหลือก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมว่าท่านจะเห็นว่าอย่างไร ถ้าท่านเห็นดีด้วยเราก็ให้ข้อมูลเพิ่ม ถ้าท่านไม่เห็นดีด้วยเราก็ปล่อยก็วางไป และกินมังสวิรัติของเราต่อไป วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง ที่ท่านเห็นโทษภัยของการเบียดเบียน ท่านก็จะเลิกกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา หันมากินมังสวิรัติเองนั่นแหละ

แต่ก็อย่างว่า… นี่มันก็ใกล้กลียุคแล้ว การที่ศาสนาจะเพี้ยนไปในทางเบียดเบียน เป็นไปในทางสะสม เป็นไปในทางเพิ่มกิเลสก็เป็นไปได้ ดังที่เราเห็นในข่าวที่ประโคมอยู่ในปัจจุบัน อย่าว่าแต่มังสวิรัติเลย ที่ชั่วกว่ามังสวิรัติก็มีมาก อลัชชีหรือคนหากินกับผ้าเหลืองที่แฝงมาในศาสนาก็ทำให้ภาพลักษณ์ศาสนาดูเหมือนจะเสื่อมไปไม่น้อย

4)…กินมังสวิรัติไม่มีแรง

เป็นประเด็นอุปาทานระดับโลก ถ้าไปถามคนหัดกินมังสวิรัติใหม่ๆเขาก็จะตอบอย่างนั้น เพราะเขาไม่เข้าใจการกินมังสวิรัติ หรือกินไม่เป็น คือเลือกกินอาหารที่ไม่มีคุณค่า แต่ถ้าไปถามผู้ที่ใช้ชีวิตไปกับมังสวิรัติเขาก็จะตอบทันทีว่า “ข้อคิดเห็นที่ว่ากินมังสวิรัติแล้วไม่มีแรง ไม่เป็นความจริง

จากการทดลองกินมังสวิรัติ แม้ว่าจะกินมื้อเดียวต่อวัน (กินครั้งเดียว นอกจากนั้นไม่มีอะไรเข้าปากอีก ยกเว้นน้ำเปล่า) ยังสามารถที่จะมีกำลังขุดดิน ปลูกต้นไม้ ขนถุงปุ๋ย ผสมปูน ออกแบบงาน ออกแบบสถานที่ ฟังธรรม เรียกได้ว่ามีแรงทั้งบู๊และบุ๋น ได้ทั้งสายแรงงานและสายคิดคำนวณ ในเวลาทั้งวัน ตื่นตั้งแต่ตี 5.45 จนถึง 21.00 โดยประมาณ

ถ้าสามารถข้ามพ้นอุปาทาน หรือสภาพที่คิดไปเอง ข้ามความยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะหมดแรง อ่อนเพลีย ไปได้ ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าจริงๆแล้วกินมังสวิรัติมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายแตกต่างจากทั่วไปนักหรอก ออกจะเอนเอียงไปในทิศทางสบายกว่าเดิมด้วยซ้ำ

5)…เขาเกิดมาเพื่อให้เรากิน กินเขาแล้ว เขาได้บุญ

คนกินเนื้อหลายคนหลงเข้าใจผิดว่าสัตว์นั้นเกิดขึ้นมาให้เรากิน จริงๆเขาไม่ได้เกิดมาให้เรากิน เราไปจับเขามา นำเขามาใส่กรง เพาะพันธุ์เขา ข่มขืนเขาด้วยกระบอกน้ำเชื้อ ให้เขาได้ออกลูกออกหลานมาให้เรากิน กักขังเขา ผลิตเขา มองเขาเป็นทรัพย์ของเรา เป็นอาหารของเรา ทั้งที่จริงแล้วเขาไม่เคยพูดกับเราสักคำว่ายินดีให้เรากิน ไม่มีสัตว์ตัวไหนยินดีจะตาย มันทั้งวิ่งหนี ทั้งร้องไห้ เมื่อมันจะต้องถูกจับ ถูกฆ่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ยืนยันว่าเขาเกิดมาเพื่อให้เรากินหรือ? เราสามารถข่มเหงเขาได้หมายความเขาเป็นของเราหรือ? การที่เขาวิ่งหนีคือความยินดีให้เรากินจริงๆหรือ?

เราสามารถเลือกที่จะกินหรือไม่กินเขาได้ แต่โดยสามัญของกึ่งพุทธกาล คนส่วนมากมันโดนมอมเมาด้วยกิเลส หลงมัวเมาว่ากินเนื้อไม่ผิด เราจำเป็นต้องกินเนื้อ ถึงขนาดหลงหนักๆไปว่ากินเขาแล้วเขาจะได้บุญ ก็เฉโกกันไปตามกำลังกิเลสของแต่ละคน

เราไปกินเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่ามามันไม่มีบุญอยู่แล้ว เพราะครบองค์แห่งปาณาติปาต บาปเน้นๆไม่ต้องคิดกังวลเลย แม้แต่ในบทของมิจฉาวณิชชาว่าด้วยการค้าที่ชาวพุทธไม่ควรกระทำ คือ ค้าขายสัตว์เป็น และค้าขายสัตว์ตาย สรุปคือไม่ว่าจะขายสัตว์เป็นหรือตายก็ไม่ใช่พุทธ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม แต่บอกว่าชาวพุทธไม่ควรทำ จะทำก็ได้ แค่ไม่อยู่ในวิสัยของพุทธ และถ้าศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อความผาสุก แล้วเราทำไม่ถูกทางพุทธ ก็หันหัวไปนรกเท่านั้นเอง

สัตว์ที่ถูกฆ่ามาเป็นอาหารก็ไม่มีทางได้บุญ เพราะคำว่าบุญ หมายถึงการชำระกิเลส การลดกิเลส แล้วโดนฆ่าตายมันกิเลสลดตรงไหน ถ้าบอกว่าตายเพื่อใช้กรรมอันนี้ค่อยตรงประเด็น เพราะถ้าไม่ทำกรรมมาก็ไม่ต้องไปต้องมาตายอย่างทรมาน ก็เป็นไปตามสัจจะ ดังนั้นการจะบอกว่าเรากินเขา เขาได้บุญ อันนี้คิดเข้าข้างตัวเองกันไปเพราะความหลง

หรือถ้าสมมุติแบบมั่วๆมิจฉาทิฏฐิหลุดโลกเลยว่า “กินเขา เขาได้บุญ” เอาแบบคิดเฉโกสุดๆไปเลย แล้วเรากินเขา สุดท้ายเราเอาร่างกายที่ได้พลังงานจากเนื้อของเขาไปทำบาป ไปเสพกิเลส ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ ไปทำลายโลก ไปหลงมัวเมากับกิเลส เช่น เอาร่างกายไปแต่งตัวโป๊ๆยั่วกามชาวบ้าน เอาร่างกายไปเสพอาหารอร่อย เอาร่างกายไปท่องเที่ยวบันเทิงเริงใจ เอาร่างกายไว้ห้อยกระเป๋าแพงๆ เอาร่างกายไว้ทำสารพัดกิจกรรมสนองกิเลส…มันจะได้บุญตรงไหน เขาตายไปเพื่อให้คนกิเลสหนา เอาไปต่อชีวิตสะสมกิเลส แล้วก็ไปกินพวกพ้องเขาต่อ มันได้บุญตรงไหน อย่างไร?

6)…มังสวิรัติ พวกโลกสวย

ถ้ามังสวิรัติคือโลกสวย โลกที่ไม่เบียดเบียนกัน แล้วมันไม่ดีหรือไร หรือเราชอบโลกที่เบียดเบียน แก่งแย่ง แข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ฆ่าฟันกัน อยากกินต้องล่า โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ถูกล่า ถูกเบียดเบียนจะรู้สึกเช่นไร อย่างนั้นมันดีหรืออย่างไร ..อยากได้โลกแบบไหนต้องสร้างเอาเอง โลกมันจะเป็นอย่างไหนมันก็อยู่ที่คนสร้างให้เป็นแบบนั้น คนมีกิเลสสร้างโลกก็เต็มไปด้วยกิเลส มันก็เป็นเช่นนั้น โลกสวยเริ่มสร้างได้ตั้งแต่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมขยายขึ้นไปเรื่อยๆ เท่าที่กำลังจะทำได้ ถึงจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่อย่างน้อยแค่พยายามทำตนเองให้เบียดเบียนผู้อื่นน้อยที่สุดก็พอแล้ว

7)…รู้หมดแต่อดไม่ได้

การกินมังสวิรัติไม่ได้ง่ายขนาดจะคิดเอาแล้วตัดได้ทั้งหมด หลายคนลดการกินสัตว์ใหญ่ได้ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ก็ยังมีความอยากกินเนื้อสัตว์อื่นๆเหลืออยู่ บางคนแม้ว่าจะงดกินเนื้อสัตว์ทั้งหมดได้ แต่ก็ยังมีความอยากกินอยู่ จนบางครั้งตบะแตกกลับไปกินเนื้อสัตว์ อยู่ในสภาพที่ว่ารู้หมดว่าอะไรดี อะไรชั่ว แต่มันอดไม่ได้จริงๆ

อันนี้เรียกว่าไม่รู้จริง เพราะถ้ารู้จริง มันจะไม่มีความอยากเหลือเลย มันจะเบื่อ มันจะคลายความอยากไปเอง ต่อให้เอาเนื้อสัตว์ชั้นดีส่งฟรีถึงบ้านทุกเช้าก็ไม่สนใจใยดี ถ้ารู้จริงมันก็ต้องรู้แบบนี้ ถ้ารู้หมดแต่อดไม่ได้นี่แสดงว่ารู้ไม่จริง

การที่จะดับความอยากได้นั้น จำเป็นต้องมีผู้สอนและถ่ายทอดวิธีการฆ่ากิเลสให้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปที่เข้าใจได้โดยการท่องจำ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องที่เดาเอาเองได้ ไม่ใช่เพียงแค่ดูสัตว์ทรมานหรือดูสัตว์ตาย หรือเมตตาสัตว์แล้วจะผ่านไปได้ เพราะนรกจริงๆมันอยู่ที่ความสุขตอนเอาเนื้อสัตว์เข้าปาก ถ้ายังเหลืออารมณ์สุขอยู่แสดงว่ากิเลสยังไม่ตาย ต่อให้กินมังสวิรัติมาทั้งชีวิตแต่กิเลสไม่ตายมันก็ไม่ได้พบกับความผาสุกที่แท้จริงเสียที

ดังนั้นผู้ที่กินมังสวิรัติได้ไม่ควรประมาท เพราะการกินพืชผักทั้งชีวิต วัวควายมันก็กินได้ เราเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐผู้ประกอบไปด้วยปัญญา จึงควรเห็นค่าของมังสวิรัติมากกว่าแค่การกินพืชผัก มากกว่าแค่เมตตาสัตว์ มากกว่าแค่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น นั่นคือการกินมังสวิรัติเพื่อดับความอยากอย่างสิ้นเกลี้ยง จึงจะถือได้ว่าเป็นคุณค่าสูงสุดของการกินมังสวิรัติ

– – – – – – – – – – – – – – –

30.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ฉลาดทำบุญทำทานด้วยอาหารมังสวิรัติ

October 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,636 views 0

ฉลาดทำบุญทำทานด้วยอาหารมังสวิรัติ

ฉลาดทำบุญทำทานด้วยอาหารมังสวิรัติ

ว่าด้วยการทำบุญทำทานในสมัยนี้ ไม่ว่าจะทำบุญตักบาตรให้กับพระ ทำบุญเลี้ยงอาหารผู้ยากไร้ ทำบุญในงานมงคลต่างๆ หรือการทำการกุศลที่มีอาหารเป็นส่วนประกอบในงานใดๆก็ตาม โดยส่วนมากก็มักจะเป็นอาหารที่พรั่งพร้อมไปด้วยเนื้อสัตว์ไปเสียทุกงาน

เรามักเข้าใจไปว่าการให้อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นการทำบุญ เราหลงเข้าใจไปว่าสัตว์ตายเพื่อเป็นอาหารสัตว์นั้นก็ได้บุญ เราหลงเข้าใจกันว่าเนื้อสัตว์ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้กันมานานแสนนาน ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นการทำบุญที่ได้บาป…

ทำบุญได้บาปอย่างไร?

ในพระไตรปิฏกบทหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องทำบุญได้บาป ได้ชี้แจงไว้ดังนี้ ๑.บุญได้บาปเพราะมีการสั่งให้ไปเอาสัตว์ตัวนั้นมา ๒.ได้บาปเพราะสัตว์นั้นต้องโศกเศร้า เพราะถูกบังคับมา ๓.ได้บาปเพราะมีการสั่งให้ฆ่าสัตว์นั้น ๔.ได้บาปเพราะสัตว์นั้นได้รับความทุกข์ทรมาน ๕.ได้บาปเพราะทำให้ผู้ปฏิบัติสู่ความสงบจากกิเลสทั้งหลาย เกิดความยินดีที่ได้กินเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควรกิน (เนื้อสัตว์ที่ได้มาด้วยการเบียดเบียน)

จึงจะเห็นได้ว่า การนำเนื้อสัตว์มาบริจาคเป็นทานนั้น มีส่วนแห่งบาปปะปนอยู่มากมาย จนเรียกได้ว่า อาจจะไม่คุ้มกันกับการทำบุญทำทานด้วยการเบียดเบียนสัตว์อื่น

กว่าจะได้มาซึ่งเนื้อสัตว์ ต้องผ่านความทุกข์ทรมาน ผ่านความเศร้าโศกเสียใจมากมาย สัตว์ที่จะถูกฆ่าต่างก็มักจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นจะต้องถูกฆ่า บ้างก็น้ำตาไหล บ้างก็วิ่งหนี ดิ้นรนเท่าที่มันจะสามารถทำได้ แต่สุดท้ายสัตว์เหล่านั้นก็ไม่มีทางหนีจากบ่วงกรรม จากบาปที่สัตว์เหล่านั้นเคยทำมา ไม่มีทางหนีคมหอกคมดาบจากคนผู้มีใจเหี้ยมโหด

โดยทั่วไปมนุษย์นั้นมักจะไม่สามารถทนเห็นการกระทำที่แสนจะโหดร้ายทารุณได้ แต่ก็มักจะหลงติดในกามรส ติดในโลกธรรม หลงยึดว่าเนื้อสัตว์อร่อย หลงยึดว่าคนส่วนใหญ่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หลงยึดว่าเนื้อสัตว์นั้นจำเป็นกับชีวิตหลงยึดว่าเนื้อสัตว์ดี

มนุษย์ผู้มีใจสูง หากได้รับรู้ถึงความโหดร้ายทารุณ รู้ถึงความทรมาน รู้ถึงบ่วงกรรมที่จะเกิดขึ้น รู้ถึงโทษชั่ว รู้ถึงภัยจากกิเลสคือความอยากเสพเนื้อสัตว์ เขาเหล่านั้นจะพยายามออกจากการเบียดเบียนเหล่านั้น เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าถ้ายังฝืนเบียดเบียนต่อไปจะนำมาซึ่งทุกข์ โทษ ภัย ต่อตัวเอง ดีไม่ดี อาจจะเป็นเขาเองก็ได้ที่ต้องกลายเป็นสัตว์เหล่านั้นไปในชาติใดชาติหนึ่ง

เพราะโดยสัจจะแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับ เราทำมาแล้วทั้งนั้น สัตว์ที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน และถูกฆ่าเหล่านั้น เขาก็เคยก่อกรรมชั่วมามากมาย และในชาติที่เราเห็นเขาเป็นสัตว์ เขาก็กำลังชดใช้กรรมของเขาอยู่ ใช้แล้วก็หมดไปเรื่องหนึ่ง ถ้ายังไม่หมดก็อาจจะเกิดเป็นสัตว์ไปชดใช้กรรมอีกเรื่อยๆก็เป็นได้ จนชาติใดชาติหนึ่งกรรมชั่วได้เบาบาง ส่งผลให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ด้วยความที่มีกิเลสมากก็กลับไปเบียดเบียนสัตว์กินเนื้อสัตว์อีก สะสมบาป เวร ภัย สะสมความชั่วอีกมากมาย เมื่อตายก็อาจจะวนกลับไปเป็นสัตว์ได้อีก วนเวียนไปเช่นนี้ เราจึงจะเห็นได้ว่ามีสัตว์ที่ถูกฆ่าและคนที่กินเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ร่วมในสังคมเดียวกันเสมอ มีสัตว์ มีคนกินเนื้อสัตว์ ก็มีคนฆ่าสัตว์ และมันจะวนเวียนกันไปจนกว่าคนใดคนหนึ่งจะหลุดพ้นจากกิเลสได้นั่นเอง

ฉลาดทำบุญด้วยการละเว้นเนื้อสัตว์

เมื่อเราเห็นโทษของการกินเนื้อสัตว์ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้ว เรายังคิดจะทำบุญด้วยเนื้อสัตว์อยู่อีกหรือ? เรายังสนับสนุนให้ผู้อื่นกินเนื้อสัตว์อยู่อีกหรือ? แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถเลิกเนื้อสัตว์ได้ แต่ทำไม่เราไม่ให้โอกาสผู้อื่นได้สัมผัสอาหารมังสวิรัติบ้างเล่า

อย่างเช่น การทำบุญตักบาตรให้พระ ถ้าเราใส่แต่อาหารมังสวิรัติ ใส่ผักไป พระท่านก็จะได้โอกาสพิจารณาอาหาร ได้โอกาสที่จะกินมังสวิรัติแม้ว่าตัวท่านเองจะยังมีกิเลสอยากเสพเนื้อสัตว์อยู่ก็ตาม แต่หากสังคมช่วยกันด้วยการไม่ส่งเสริมกิเลสให้พระ ไม่ใส่เนื้อสัตว์ให้พระ ก็จะสามารถช่วยบำรุงความเจริญให้ศาสนาได้

เพราะผู้บวชในพระพุทธศาสนานั้น บวชไปเพื่อความพราก เพื่อความไม่มี เพื่อความลด และดับกิเลส ดังนั้นเราจึงควรส่งเสริมให้ท่านได้ลดกิเลสในเรื่องเนื้อสัตว์นี้ ไม่เอาเนื้อสัตว์ไปถวายท่าน เพราะพระที่ยังมีกิเลสมาก ก็มักจะกินเนื้อสัตว์นั้น ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควร เป็นเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา เราจะได้บาปเพราะทำให้พระผู้ปฏิบัติสู่การลดกิเลส กินเนื้อสัตว์ที่ประกอบไปด้วยบาป ซ้ำยังไปส่งเสริมกิเลสในตัวท่านอีก จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลยหากชาวพุทธจะทำการใดๆ เพื่อส่งเสริมกิเลสพระ

การเลี้ยงพระด้วยอาหารมังสวิรัตินั้นจะเป็นกุศลอย่างยิ่งเพราะไม่ประกอบด้วยบาปใดๆ ปรุงรสให้จืด ทำด้วยวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษ เสริมโปรตีนให้ท่านด้วยถั่วและธัญพืช มีรายงานและการวิจัยมากมาย รวมถึงหลักฐานชนิดที่ว่าเป็นคนทั่วไปว่าการกินมังสวิรัตินั้นไม่ได้ทำให้เสียสุขภาพแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังมีสุขภาพที่ดี ร่างกายเบาสบาย สดชื่น แข็งแรง มีโรคน้อย

ซึ่งจะไปตรงกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “การไม่เบียดเบียนทำให้มีโรคน้อยและอายุยืน” ดังนั้น หากเราคิดจะทำบุญให้ได้กุศลสูงสุด เป็นไปเพื่อสร้างความเจริญให้กับศาสนา ก็พึงพิจารณาหาอาหารมังสวิรัติมาถวายพระ นำอาหารมังสวิรัติไปจัดกิจกรรมการกุศลต่างๆ นำอาหารมังสวิรัติมาทำบุญตักบาตร ส่วนท่านจะฉันหรือไม่ฉันนั้นก็ให้เป็นไปตามกิเลสของท่าน ส่วนเรามีหน้าที่ไม่เสริมกิเลสของท่านก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่แล้ว

เมื่อจิตของเราคิดจะสละทรัพย์บริจาคทานให้ผู้อื่นเพื่อเป็นบุญแล้ว ก็ควรพิจารณาสิ่งที่จะนำไปบริจาคนั้นให้ดีด้วย เพื่อทำกุศลให้ถึงพร้อม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หากทานที่เราให้ไปนั้น ให้แล้วกลับกลายเป็นเพิ่มกิเลส เพิ่มบาปให้กับผู้อื่น เราก็ไม่สมควรให้ หรือให้แต่น้อย ส่วนทานใดที่เราให้ไปแล้วพาให้เขาลดกิเลส พาให้เขาเกิดความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมไปในทางเดียวกัน ทานนั้นจึงเป็นทานที่สมควรให้

– – – – – – – – – – – – – – –

29.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ทำบุญทุกวันด้วยการกินมังสวิรัติ

October 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 6,156 views 0

ทำบุญทุกวันด้วยการกินมังสวิรัติ

ทำบุญทุกวันด้วยการกินมังสวิรัติ

การทำบุญที่หลายคนเข้าใจกันนั้นคือการทำบุญตักบาตร ไปวัด ทำสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลา ทำทานช่วยเหลือวัดและพระด้วยปัจจัยต่างๆ นั่นคือการทำบุญแบบที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการทำบุญนั้นมีมิติที่หลากหลายและละเอียดอ่อนกว่าที่เห็นและเป็นอยู่มาก

คำว่า “บุญ” คือการสละกิเลส ลดกิเลส ทำลายกิเลส กิจกรรมใดๆ ที่ทำให้กิเลสน้อยลง ไม่ว่าจะโลภน้อยลง โกรธน้อยลง หลงน้อยลง ทำให้ความอยากเสพอยากได้อยากมีในสิ่งใดๆลดลงได้ ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ และการทำบุญที่ดีที่สุดนั้นคือการทำที่ตัวเอง คือทำตัวเองให้เป็นเนื้อนาบุญ ลดกิเลสที่ตัวเอง ทำให้เกิดสภาพที่กิเลสนั้นหายและตายไปจากจิตของตัวเองไป นั่นคือสภาพที่สุดของบุญ ซึ่งสอดคล้องกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ดังนั้น การทำบุญที่ดีที่สุดก็คือการทำที่จิตใจตัวเองนั่นเอง

การกินมังสวิรัตินั้น สำหรับคนที่เสพติดเนื้อสัตว์ แต่สามารถพยายามฝืน ต้านกิเลส กดข่ม พิจารณาโทษของกิเลส ให้ความอยากเสพนั้นจางคลายลงไปได้ ก็ถือว่าเป็นบุญที่ทำได้ในทุกโอกาสที่เราจะหยิบเนื้อสัตว์เข้าปาก เป็นการลดความอยากเสพ ลดกิเลสที่เคยมี สำรวม กาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปเสพเนื้อสัตว์ ไม่ให้เกิดการเบียดเบียน ไม่ให้กิเลสให้กำเริบมากไป การกินมังสวิรัตินี้ก็ถือว่าเป็นบุญ ซึ่งทำได้ทุกวัน วันละหลายๆครั้งตามมื้ออาหาร หรือตามจำนวนครั้งที่หักห้ามใจไม่ไปเสพได้

ถ้าการไม่ไปเสพเนื้อสัตว์คือ “บุญ” ดังนั้น การไปเสพเนื้อสัตว์ก็เป็น “บาป” เพราะคนที่ตั้งใจไว้ว่าตนเองจะละเว้นการกินเนื้อสัตว์ หากบกพร่องไปจากศีลหรือตบะที่ตนตั้ง พลั้งเผลอใจ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกินเนื้อสัตว์แล้ว ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มกิเลส ยอมให้กับกิเลส บาปนั้นคือการสั่งสมกิเลส ตามใจกิเลส เพิ่มพูนกิเลส

สำหรับคนที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกินมังสวิรัติอาจจะสงสัยว่าตัวเองบาปไหม? บาปแน่นอน เพราะทุกวันมีแต่การสั่งสมกิเลส เสพตามใจกิเลส ไม่เคยคิดค้านแย้งกับกิเลส ไม่มีโอกาสที่จะเกิดบุญเลย ต่างจากคนที่ถือศีล ตั้งตบะจะกินมังสวิรัติ เขาเหล่านั้นก็จะเกิดบุญบ้าง บาปบ้าง ตามกำลังที่แต่ละคนมี ไม่ใช่บาปอย่างเดียวอย่างที่คนทั่วไปเป็น

แต่บางครั้งเราอาจจะต้องยอมเลือกที่จะบาปบ้างเพื่อไม่ให้เกิดบาปที่มากกว่าเช่น ในกรณีคนที่มีกิเลสมาก ถ้าจะให้อดเนื้อสัตว์ในระยะเวลานานๆเขาจะไม่สามารถทำได้ หรืออดเนื้อสัตว์ในงานเลี้ยง เทศกาล วันสำคัญต่างๆ เขาจะทรมานมาก ความทรมานที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นนี้ก็เป็นการเบียดเบียนตัวเองเช่นกัน ซึ่งบางครั้งเมื่อเรายึดมั่นถือมั่นในการกินมังสวิรัติมากไปจนจิตใจทรมาน เพราะการลดเนื้อสัตว์ในระดับนั้นไม่อยู่ในฐานะที่เราจะกระทำได้ไหว จิตใจเรายังไม่เข้มแข็งพอ ก็ให้ลดความยึดดี ถือดีออกไปบ้างและกลับไปกินเนื้อสัตว์บ้างให้หายจากความทรมานจากการอด ซึ่งเป็นลักษณะการปฏิบัติธรรมที่ไม่เคร่งจนเครียด

เราจำเป็นต้องยอมรับว่าการกำจัดกิเลสที่สุดแสนจะหนานั้น ไม่สามารถทำได้เพียงแค่คิดเอา บางคนดูเหมือนจิตใจแข็งแกร่ง แต่พอต้องมากินมังสวิรัติกลับไม่สามารถทำได้ แม้ว่าเขานั้นจะเห็นประโยชน์ของมังสวิรัติ และโทษของการกินเนื้อสัตว์แล้ว แต่กิเลสที่หนาของเขานั้นไม่ยอมให้เขาได้หลุดพ้นจากนรกเนื้อสัตว์ได้โดยง่ายนัก

การลดกิเลส หรือการทำบุญนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คิดเอาได้ หวังเอาได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องเพียรพยายามทำอย่างตั้งมั่น สำหรับการกินมังสวิรัติก็คือการตั้งมั่นในการกินมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง แม้จะพลาดพลั้งก็รีบตั้งตบะสู้ใหม่ ไม่จมอยู่กับความสุขที่ได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์นาน พร้อมกับพิจารณาคุณและโทษไปเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้คือการทำบุญ โดยที่ไม่ต้องไปวัด ไม่ต้องบริจาคเงิน ไม่ต้องลำบากเสาะหาพระดัง วัดดังใดๆ แต่เป็นการทำบุญที่ใจ ยอมปล่อยให้กิเลส ออกไปจากจิตใจของเรา ไม่ยึดกิเลสไว้เป็นตัวเราของเรา เป็นบุญที่พึงกระทำได้ทุกวัน จนกระทั่งวันสุดท้าย ที่เรียกว่าหมดบุญหมดบาป คือกำจัดกิเลสเนื้อสัตว์หมดแล้ว ก็ไม่ต้องทำบุญอีก เพราะไม่มีกิเลสเกี่ยวกับความอยากกินเนื้อสัตว์เหลือให้กำจัด หมดบาปก็เพราะไม่มีการสั่งสมกิเลสอีก เพราะมีปัญญาเห็นโทษจากการเสพเนื้อสัตว์อย่างเต็มรอบ จึงไม่มีวันที่จะเห็นดีเห็นงามกับการกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป

หากพุทธศาสนิกชน เข้าใจแก่นแท้ของการทำบุญ คือการกระทำใดๆ เพื่อเป็นไปซึ่งการลดกิเลสแล้ว สังคมจะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก เพราะมีแต่คนที่พากันลดกิเลส ลดความอยากได้อยากมี ลดความกลัว ลดความเห็นแก่ตัว ลดการเก็บสะสม ลดความหลงในกิเลส เมื่อมีแต่คนที่พากันลดกิเลส สังคมก็จะเติบโตไปในทางดีงาม ไม่ไปในทางเสื่อม ไม่พากันหลงมัวเมาด้วย อบายมุข กาม ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขลวงๆ อีกต่อไป

– – – – – – – – – – – – – – –

29.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์