ความรัก

รักแท้ เสียสละ ไม่ยึดยื้อรั้ง ให้เขามาเป็นของของเรา

May 19, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,554 views 0

รักแท้ เสียสละ ไม่ยึดยื้อรั้ง ให้เขามาเป็นของของเรา

ในบทความนี้ จะมานิยามความรัก ที่เรียกว่า “รักแท้” ในอีกมุมหนึ่งที่ต่างจากที่โลกของทำกัน ต่างจากที่เขาเป็นกัน ต่างจากที่เขาคิดกัน และเป็นความแท้ ที่จริงที่สุด ไม่ใช่รักที่ล่อลวงด้วยกิเลสแล้วหลงว่าเป็นรักแท้

รักแท้คือการเสียสละ ยอมสละออก ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องมีใครมาบำรุงบำเรอหรือมาดูแล ไม่ต้องมีใครมาเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อบูชาความรัก ไม่ต้องลวงเขามาเพื่อสนองกามตนเอง ไม่ต้องล่อเขามาเพื่อเติมอัตตาตัวเองให้เต็ม ยอมเป็นคนเต็มคน ไม่ต้องแสร้งว่าพร่อง เพื่อหาใครสักคนมาเติมเต็มชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยากและความยึด

หากว่าเราสามารถเลือกที่จะสละออกไปตั้งแต่แรกเลย ก็จะยิ่งบริสุทธิ์ ถ้าการนำใครสักคนเข้ามาในชีวิตแล้วทำเป็นว่าจะเสียสละเพื่อเขา อันนั้นยังไม่ใช่การเสียสละ ยังไม่ใช่ความรักที่แท้ เพราะยังต้องใช้ใครสักคนมาเพื่อบำเรอการเสียสละของตน ยังต้องการคนรับการเสียสละจากตนอยู่ ยังต้องใช้บุคคลเพื่อสนองความต้องการเสียสละของตนอยู่ ซึ่งมักจะเป็นเล่ห์ลวงของกิเลส ที่จะใช้ความเสียสละจ่ายไปเพื่อจะได้สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่จะมาสนองความอยากของตน เป็นอุบายของกิเลสที่จะแสร้งว่า “นี่ฉันจะเสียสละนะ ถ้าได้คนคนนี้มาเป็นคู่ครอง” มันยังมีเงื่อนไขในการเสียสละอยู่ คือ การได้เขามาครอบครอง ดังนั้นจึงไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นการ “เอา” มาเพื่อตนโดยวิธีการอันแนบเนียนยากที่จะสังเกตได้

ความรักที่แท้จริงนั้นไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน พาให้เจริญ ไม่ทำให้หลง แต่ความรักโลกีย์หรือรักที่เต็มไปด้วยกิเลสนั้น กลับไปในทิศทางตรงกันข้าม แล้วยังสร้างมนต์สะกดให้หลงมัวเมาว่ารักนั้นไม่ทำร้าย รักนั้นไม่เบียดเบียน พากันทำดี พากันเจริญได้ พากันมีสติรู้แจ้ง อะไรก็ว่ากันไปตามแต่กิเลสจะสรรหาคำมาปรุงแต่งให้รักโลกีย์นั้นดูสวยงาม เลิศเลอ น่าจับต้อง ไม่เป็นพิษเป็นภัย เป็นของน่าได้น่ามี

ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ดังนั้นจึงไม่ควรยึดสิ่งใดไว้เลย โดยเฉพาะเรื่องการเสียสละในความรัก เมื่อเรารู้แล้วว่ารักไม่เที่ยง รักเป็นทุกข์ และสุดท้ายรักนั้นก็ไม่มีตัวตน คือรักก็เป็นเพียงภาพลวงที่กิเลสสร้างขึ้นมา แท้จริงมันก็คือความหลงติดหลงยึดในสิ่งที่ตนชอบ พอยึดแล้วมันก็จะผูกเอาไว้ ติดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย ไม่ปล่อยวางเขาเสียที ไม่ปล่อยให้เขาเป็นไปในแบบของเขา ยังใช้อำนาจ วิธีการ อุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะยื้อและรั้งเขาไว้ ไม่ให้ไปจากเรา ให้ลุ่มหลงในตัวเรา ให้สนใจแต่เรา ให้เป็นทาสรักของเราไปจนกว่าจะเสพสุขจนสาแก่ใจ สุดท้ายก็ใช้ความเป็นเรานี่แหละเป็นบ่วงผูกเขาไว้

และแน่นอนว่าบ่วงนั้นก็ย่อมไม่เที่ยงเช่นกัน คนเราก็มีอำนาจในตัวเอง มีธรรมะ มีกิเลส มีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่อยู่นิ่ง ๆ ตลอดไป ถ้าเขาพยายามศึกษาและปฏิบัติธรรมจนเจริญ บ่วงที่เราพยายามผูกไว้ก็ย่อมไร้อำนาจ แม้ว่าจะเป็นบ่วงที่เลิศยอดที่สุด รูปที่งาม มารยาทดีเยี่ยม ทรัพย์สินมหาศาล อำนาจหน้าที่ ลูกหลานบริวาร อุดมการณ์สร้างฝัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ค่าเมื่อเทียบกับธรรมะ ดังนั้นถ้าเขาไม่เที่ยงไปในทิศทางเจริญ คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็ย่อมจะต้องทุกข์จากการพลัดพราก แต่ถ้าเขาไม่เที่ยงไปในทางเสื่อมหรือในทิศทางของกิเลส บ่วงของเราก็ย่อมจะต้านทานอำนาจกิเลสของเขาไม่ไหวเช่นกัน เขาก็จะแหวกออกไปแสวงหาคนที่เขาจะได้เสพสุขมากกว่าเรา ตามฤทธิ์ของกิเลสที่เพิ่มขึ้นของเขา เมื่อเราไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาก็จะจากไป ดังนั้น รักที่มีการยึดยื้อเหนี่ยวรั้งไว้ ย่อมไม่ใช่รัก แต่มันคือความหลง ซึ่งจะนำพาให้เกิดการทำร้าย การเบียดเบียน ความทุกข์ ความร่ำไร คร่ำครวญ หดหู่ ซึมเศร้า ฯลฯ ทั้งตนเองและผู้อื่น

เมื่อรู้แล้วว่ารักนั้นไม่เที่ยง ก็ย่อมไม่ควรยึดเอามาเป็นของตน คนที่เข้าใจสัจธรรม จะไม่แสวงหาผู้ใดมาเป็นคู่ของตน มาเป็นของของตน มาเป็นตัวเราของเรา เพราะรู้แล้วว่าสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พาให้ทุกข์ แล้วท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็ไม่ใช่สาระใด ๆ ที่สำคัญในชีวิตเลย สภาพคู่ครองไม่ใช่ที่พัก ไม่จำเป็นต้องแวะ ไม่ใช่ที่อาศัย ไม่จำเป็นต้องอยู่ สรุปคือไม่จำเป็นต้องมีในชีวิต ซึ่งจะเป็นไปตามทิศทางความเจริญตามที่พระพุทธเจ้าตรัส นั่นก็คือ ผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด คือบัณฑิต , คือคนที่ตั้งใจที่จะปฏิบัติตนให้เป็นโสดนั่นแหละคือผู้ที่เจริญ ส่วนคนที่ทำตรงข้าม ก็ต้องตกต่ำและเสื่อมลงไปตามสัจธรรม

ถ้าหากเราสามารถเสียสละได้จริง เสียสละได้ถึงจิตวิญญาณคือสละความโลภ ความอยากเอาชนะ ความหลงมัวเมาที่เคยยึดไปได้ ก็จะเหลือแต่ความแท้ของความรัก นั่นคือความหวังดี หวังให้เกิดประโยชน์แก่เขา เหลือแต่ความเมตตา ที่ไม่มีก้อนอัตตามาปน มีแต่รสแท้ ๆ ของความรัก ไม่มีหวานปรุงแต่ง เปรี้ยวแปลกปลอมปน ความขมขื่นที่ต้องยอมทน หรือความเผ็ดเร่าร้อนใด ๆ ให้แสบคันทุกข์ทรมาน มันจะมีแค่หวังดี มีเท่านั้นจริง ๆ ไม่มีหลอกล่อลวง หรือการตลบตะแลง หรือแม้กระทั่งการแลกเปลี่ยนใด ๆ คือหวังดีอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละ คนอื่นจะดีหรือไม่ดีไม่ใช่เป้าหมาย แต่จิตของเราที่หวังดี เมตตา เกื้อกูลอยู่ตลอดนั่นแหละคือสภาพของผลที่เกิดจากการเสียสละกิเลสออกไปได้อย่างแท้จริง

เป็นความรักแท้ ที่มีแต่ให้ ไม่มีการเอา เป็นสภาพของความรักที่เที่ยงแท้ที่สุด ไม่ใช่เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็ชัง แต่จะเป็นรักอยู่แบบนั้น ไม่มีความชัง เป็นรักที่เบา สงบ ร่มเย็น ประณีต ลึกซึ้ง และขัดเกลาไปในทิศทางที่พาเจริญ ไม่ใช่การให้แบบสนองกิเลส ไม่ใช่การหวังดีให้เกิดความสุขที่หลงงมงาย หากแต่เป็นความหวังดี เมตตา เกื้อกูลให้เกิดความเจริญทางจิตวิญญาณ ให้พ้นทุกข์ ให้รู้จักโทษชั่วของกิเลส ให้รู้ภัยของวัฏสงสารที่พากันหลงมัวเมาในคู่ครอง จนต้องเวียนว่ายตายเกิดแสวงหาบุคคลที่จะมาเติมเต็มตนชาติแล้วชาติเล่า

รักแท้จะเกิดได้เพราะสละกิเลสออกไป กิเลสคือสิ่งแปลกปลอมในจิตวิญญาณ เหมือนหนามที่ฝังอยู่ เหมือนฝีที่อักเสบอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้เกิดหลุม เกิดช่องที่เหมือนจะต้องหาอะไรมาเติมเต็มตลอดเวลา เมื่อสละกิเลสออกไป จิตวิญญาณก็เป็นคนเต็มคน ไม่มีรูรั่ว ไม่มีแผลอักเสบใด ๆ ให้ต้องหายาวิเศษหรือคนพิเศษใด ๆ มารักษาใจหรือมาเติมใจให้เต็ม แต่ถ้ารักนั้นยังถูกควบคุมด้วยกิเลส ก็จะต้องพบกับความทุกข์ ความปวดร้าว เศร้าโศก เสียใจ ทุรนทุราย ไปจนชั่วนิจนิรันดร์

17.5.2562

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

จะหลีกเลี่ยงผู้ชายที่ไม่ดี ป้องกันไม่ให้เขาเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร?

July 22, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,324 views 0

หลีกเลี่ยงผู้ชายที่ไม่ดี

คำถาม : จะหลีกเลี่ยงผู้ชายที่ไม่ดี ป้องกันไม่ให้เขาเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร?

คำตอบ : ผู้ชายที่เข้ามาหวังจะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เข้ามาคบหาเป็นแฟน หวังจะเป็นคู่ชีวิต ไม่ดีทุกคนนั่นแหละ ถ้าจะป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาในชีวิตก็ให้อยู่เป็นโสด

ขยายคำตอบ : ผู้ชายดีที่จะพาไปสู่ความผาสุก ผู้ชายที่ไม่ดีจะพาไปสู่ความเป็นทุกข์ ตามหลักศาสนาพุทธ การเข้าไปรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีคู่ การแต่งงาน ไม่ใช่เรื่องน่าสรรเสริญของบัณฑิต เพราะการที่ใครคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตแล้วพาให้เกิดความรัก นั้นก็ว่าเป็นทุกข์แล้ว ยังไม่รวมสิ่งที่พากันหลงมัวเมาทำสิ่งที่เบียดเบียน ทำสิ่งที่ไร้สาระ ทำสิ่งที่ชั่วกันโดยไม่รู้ตัวอีกมากมาย

กิเลสจะหลอกให้เราเห็นว่าสิ่งที่เราหรือเขาทำนั้น เกิดผลเป็นสุขในเบื้องต้น และหลอกเราว่าสิ่งชั่วที่เราทำนั้นเป็นสุขตลอดไปตราบเท่าที่เรายังไม่มีปัญญา แต่เมื่อเราได้เห็นทุกข์จนเกินจน เราจึงจะสามารถเห็นธรรมได้ชัดขึ้นเช่น คนที่เคยรักกันเปลี่ยนไปจากเดิม คนที่เคยรักกันนอกใจกัน คนที่เคยรักกันทำร้ายกัน คนที่เคยรักกันฆ่ากัน ฯลฯ เราก็จะเห็นความจริงได้เองว่า แท้จริงแล้ว เขาเป็นสิ่งที่สร้างทุกข์ให้กับเรา ทีนี้หลายคนผูกพันไปแล้วมันออกไม่ได้ บางคนมีลูกเป็นบ่วงเวรบ่วงกรรมยิ่งแล้วใหญ่ ก็ทั้งรักทั้งเกลียดต้องทนอยู่ในสภาพทุกข์ที่ต้องยอมจำนน

การที่เราจะหวังว่าจะคัดผู้ชายที่ดีที่สุดไม่ทำให้เราทุกข์ เข้ามาเป็นคู่ชีวิตนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ แม้ว่าเราจะพยายามหลอกตัวเองว่าที่เราเลือก จะเป็นทุกข์น้อย เป็นสุขมากกว่า มันก็ไม่ใช่ เพราะความจริงแล้วเมื่อเทียบทุกข์น้อยกับไม่ทุกข์เลย ความไม่ทุกข์ย่อมเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีกว่า นั่นหมายถึงอยู่เป็นโสดจะไม่ต้องทุกข์เพราะคู่ที่ไม่ดีเลย

แต่ถึงกระนั้นก็ยากที่คนจะยอมทิ้งสุขลวงที่โลกหลอก เพราะตนเองหลงสุขในการมีคู่ จึงอยากได้คู่มาบำเรอตนในมุมต่าง ๆ ที่ตนเองหลงติดหลงยึด และหลงว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นโทษน้อย เป็นคุณประโยชน์มาก ซึ่งการอยากมีคู่นี้เองคือสภาพของการเห็นกงจักรเป็นดอกบัวโดยสมบูรณ์ คือเห็นสิ่งที่เป็นโทษภัยเป็นประโยชน์สุข เห็นสิ่งที่ไร้สาระเป็นสาระ เป็นความกลับหัวกลับหางในความถูกต้อง หรือที่เรียกว่ามิจฉาทิฎฐิ

ดังนั้นเมื่อเรายังเห็นผิดว่าการมีคู่นั้นดี เห็นว่าเป็นประโยชน์อยู่ เราก็จะแสวงหาสิ่งนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งดึงใครสักคนเข้ามาในชีวิต นั่นคือเราเลือกเราว่าจะให้เขาคนนั้นเข้ามาทำร้ายเรา เข้ามาทำให้เรารักเราหลงจนงมงาย ให้เราเป็นทุกข์แสนสาหัสเพราะคนคนนั้น จึงสรุปได้ว่า ถ้าเราอยากจะพ้นไปจากคนไม่ดีที่จะเข้ามาเป็นคู่ เราก็จะต้องทำลายความอยากมีคู่ ซึ่งเป็นพลังหลักที่ผลักดันให้เราไปมีคู่นั่นเอง

22.7.2560

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

รัก เพื่อ ทุกข์

February 14, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,971 views 1

รักเพื่อทุกข์

รัก เพื่อ ทุกข์

บางครั้ง การที่เราพยายามแสวงหาไขว่คว้าความรักและกอดมันไว้ นับเดือน นับปี จนถึงหลายสิบปีหรือกระทั่งหลายต่อหลายล้านชาติ ก็เพียงเพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่า รักมันทุกข์อย่างนี้นี่เอง…

ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่หลายคนกลับยินดีที่จะหลงรักใครสักคนหนึ่ง หลงยึดมั่นถือมั่นคนที่เพิ่งพบเจอได้ไม่นานมาเป็นหลักชัย มาเป็นเป้าหมาย มาเป็นที่พึ่งพิงของชีวิต แม้ตัวเราเองอยู่กับตัวเองมาจนถึงป่านนี้ ก็ยังทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์ ต้องเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยความโลภ โกรธ หลง ใด ๆ ก็ตาม เราก็ยังแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ แต่เรากลับเชื่อมั่นว่าใครสักคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตในบทบาทของคู่รักนั้น จะทำให้เราพ้นไปจากทุกข์ได้

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่การมีคู่นั้นจะทำให้พ้นไปจากทุกข์ ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว เราคนเดียวก็ทุกข์จากความโลภโกรธหลงของเราจะแย่อยู่แล้ว ยังเพิ่มอีกคนเข้ามาและยึดเขาเป็นของเรา แล้วมาเพิ่มความโลภโกรธหลง แบ่งปันกิเลสตัณหาให้มันเป็นทุกข์ทวีทับถมหนักขึ้นไปอีก

จริงอยู่ที่แรกรักนั้นว่าหวาน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า  “ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น” รสหวานหรือความรู้สึกสุขของความรักนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่คนปั้นแต่งขึ้นมาหลอกจิตว่าเมื่อได้เสพสิ่งนั้นแล้วจะเป็นสุข เป็นสิ่งที่คนหลงหลอกตัวเองและหลอกกันเองมาหลายภพหลายชาติ และจะหลอกกันไปอีกนานไม่จบไม่สิ้น สามารถพิสูจน์ความลวงของความหลงได้โดยการทดลองเปรียบเทียบ เช่น มีคนร้อยคน แม้เขาจะทำบางสิ่งบางอย่างที่เหมือน ๆ กันให้กับเรา เราจะไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนกันทุกคน หรือ ให้เราไปทำดีกับคนร้อยคน ให้ทำแบบเดียวกันเลย เราจะไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนกันทุกคน มันจะมีชอบมากชอบน้อยต่างกันไปตามความหลง ตามความลำเอียง ตามความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกที่เกินหรือขาดตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือความหลงทั้งนั้น ความรักที่จะต้องมีคู่มาสนองนั้นจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของความหลง

ความทุกข์จากความรัก เกิดขึ้นเมื่อไม่ได้สมใจอยาก การมีคู่คือการหาใครสักคนมาสนองตัณหา ให้ใครคนนั้นมาสร้างสุขให้ แรก ๆ มันก็อาจจะพอทนทำดีต่อกันไปได้ เพราะได้ผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน แต่วันหนึ่งสิ่งที่เขาเคยอยากได้ เคยหลงชื่นชอบ ยกย่องและให้คุณค่า มันเสื่อม มันเก่า มันแก่ มันเปลี่ยนแปลง ฯลฯ หรือไม่มันก็มีอะไรที่มันดีกว่า เขาก็อาจจะเลิกสนองตัณหาให้เราก็เป็นได้

เมื่อถึงวันใดวันหนึ่งที่เกิดความพร่อง เขาไม่ส่งส่วย ไม่บำเรอความรัก ไม่บำบัดความใคร่อยากของเราเหมือนดังเดิม วันนั้นแหละ คือวันที่จะทุกข์และทุกข์สะสมไปเรื่อย ๆ จากความไม่พอใจบ้าง จากความอยากเอาชนะบ้าง จากความหึงหวงบ้าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือผลจากความโลภโกรธหลงที่สะสมมาตั้งแต่แรกรัก หรือที่เรียกว่ากิเลส หรือรู้จักกันสั้น ๆ ว่า “บาป

การหลงรักแล้วไม่ทุกข์นั้นไม่มีหรอก ถึงจะพยายามเลี่ยงบาลี หาคำวิเศษวิโสหรือนิยามอันสวยหรูขนาดไหนมาอ้าง การเข้าไปหลงรักมันก็ทุกข์อยู่ดี เพราะถ้าไม่มีความหลง มันก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะเข้าไปสัมพันธ์กับใคร ๆ ในเรื่องชู้สาวเลย “เหตุ” นั้นแหละคือความหลง คือกิเลส คือบาป คือทุกข์ คือความชั่วที่ทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน

ถ้ามีใครสักคนเอ่ยขึ้นมาว่า “การที่เราเข้าไปหลงรักสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะความไม่รู้” อาจจะฟังดูเป็นประโยคสรุปปัญหาที่แสนจะสั้น แต่ในความเป็นจริงนั้นการเดินทางสู่การปลดเงื่อนแห่งความหลงนั้นเป็นเส้นทางที่แสนจะยาวไกลและยากลำบาก

เพราะการที่เราจะ “รู้” โทษภัยของความหลงอย่างแท้จริงนั้น ต้องไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือทุกข์จะพอใจ ทุกข์จนสาสมใจ ทุกข์จนสาแก่ใจให้มันเข็ดขยาดไม่เอาสิ่งนั้นด้วยปัญญารู้โทษชั่วของสิ่งนั้นอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการหลงรักนั้นมีแต่ทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ สุขไม่มีอยู่จริงเลย และสิ่งนั้นไม่จำเป็นกับชีวิตแม้แต่นิดเดียว มีแล้วจะเป็นภาระด้วยซ้ำ

ความทุกข์จากความรักนั้น เป็นสิ่งที่หลายคนได้รับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะ “รู้” ถึงขนาดจะปลดปล่อยตัวเองจากความหลงได้ จะเห็นได้ว่ามีคนที่ทุกข์แต่ก็ยังทน ทนอยู่ทนเจ็บ นั่นเพราะเขาทนเพื่อจะเสพบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่เขาเรียกว่าความรักนั้น เพราะเขาหลงว่านั่นเป็นสุขมากกว่าทุกข์ ดังนั้นแม้เขาจะเป็นทุกข์ แต่เขาก็จะไม่ยินดีออกมาจากวังวนนั้น

บางคนทุกข์มากจนต้องหนีออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาได้อย่างถาวร เพราะไม่ได้มีความรู้จริงว่าการหลงรักนั้นสร้างทุกข์อย่างไร ก็จะทำได้เพียงแค่ออกจากความรักเก่า ไปแสวงหาความรักใหม่ วนเวียนทุกข์จริงและเสพสุขลวงไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

หลักสำคัญไม่ใช่เราจะหลุดพ้นจากสภาพของคนคู่ได้หรือไม่ มันสำคัญตรงที่ว่า เราหลุดพ้นจากความหลงติดหลงยึด หลงสุขลวง ๆ ในการมีคู่ได้หรือไม่ต่างหาก รูปธรรมหรือสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่ตัวยืนยันว่าจะพ้นจากทุกข์ แต่นามธรรมหรือสิ่งที่มองไม่เห็น คือความหลงกับเรื่องใดในจิตได้ถูกกำจัดไปหรือยังต่างหาก คือตัวยืนยันว่าจะพ้นจากทุกข์ในเรื่องนั้น ๆ

เมื่อคนได้เรียนรู้ความทุกข์จากความรักหรือถึงความเข้าใจที่สุดแห่งทุกข์ของการหลงรัก คือไม่มีวันที่จะทุกข์ได้มากกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีความโง่ที่จะหลงสร้างบาปเพื่อทำทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่นไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เขาจะปล่อยวางความรักเหล่านั้นได้เอง เพราะรู้จริงแล้วว่า รักนั้นมีไว้เพื่อเป็นทุกข์เท่านั้นเอง

10.2.2560

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ความรักของแม่ไก่

January 1, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,010 views 0
hen-and-kitten

“Sent in by a fan. This hen is taking care of two barn kittens during a thunderstorm . . . what great motherly instincts! :)” จากเพจ : Phil Van Treuren

ความรักของแม่ไก่

เริ่มต้นปี(ไก่) ก็นึกถึงภาพนี้ เป็นภาพที่เขาเล่าว่าแม่ไก่ช่วยดูแลลูกแมวตอนที่มีฝนฟ้าคะนอง

นิยามความรักสำหรับผม ก็มีแค่ “หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง” อะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์แก่คนอื่นผมก็เรียกว่าความรักทั้งนั้น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้เหมือนรักแบบเป็นคู่ตามที่โลกเข้าใจกัน แต่เมื่อสัตว์ใดได้สัมผัสก็รับรู้ได้ว่านั่นคือความรักความห่วงใย

จริง ๆ แล้วความรักนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไรนัก แต่ที่มันยากและลึกลับซับซ้อนมันไม่ใช่เพราะความรักหรอก นั่นเป็นเพราะกิเลสต่างหาก