ความสัมพันธ์ ครอบครัว มิตรสหาย

วิธีป้องกันคนชั่วคนพาล

June 27, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,717 views 0

วิธีป้องกันคนชั่วคนพาล

วิธีป้องกันคนชั่วคนพาล

แค่มีศีลมีธรรม คนชั่วเขาก็หนีแล้ว

ยิ่งเสนอให้เขาถือศีล เขาจะทุกข์ร้อนหวาดผวา

เหมือนที่ใครเขาเปรียบกันว่า

ถ้าจะกันผี(กิเลส) ต้องใช้สายสิญจน์(ศีล)

……………………………………..

การที่เราเจอแต่คนพาลเข้ามาในชีวิตนั้น ใช่ว่าจะเกิดจากกรรมเก่าในปางก่อนเสมอไป ส่วนใหญ่ก็กรรมเก่าในชาตินี้นี่แหละ คือไม่ศึกษาวิธีป้องกันคนชั่ว ไม่เคยมีศีลมีธรรมเป็นเกราะคุ้มครองตนเอง พอเจอคนชั่วก็โทษกรรมเก่าในชาติก่อนๆเสียหมด กลายเป็นว่าหาเหตุไม่ได้ หาที่มาไม่ได้ พอหาเหตุไม่ได้ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้เช่นกัน

การที่เรายังชั่วอยู่นั้น หมายถึงเราเองเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ยังดึงดูดคนชั่วเข้ามาในชีวิต เพราะถ้าเราชั่ว เราก็จะได้เจอกับคนชั่วๆ อยู่ในสังคมชั่วๆ วนเวียนอยู่กับคนพาลที่สร้างปัญหาให้กับชีวิต

การเริ่มต้นห่างไกลคนพาล ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่สมควรทำเพื่อชีวิตที่ผาสุกคือทำลายความชั่วในตนเสียก่อน เพราะสิ่งที่ดึงดูดชั่วภายนอกเข้ามาหาก็คือชั่วข้างในตัวเองนี่แหละ ดังนั้นหากจะโทษสิ่งใดสักสิ่งที่นำสิ่งชั่วเข้ามาในชีวิตเราก็โทษความชั่วที่เรายังมีนี่แหละ ยังไม่ต้องไปโทษเวรโทษกรรมอะไรที่มันไกลตัวหรอก เพราะชั่วนี่มันเห็นได้ง่าย กรรมมันเห็นได้ยาก

พอเราเริ่มมีศีลมีธรรมก็จะเป็นเกราะคุ้มครองที่ดีระดับหนึ่ง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถป้องกันได้ทั้งหมด เราจึงควรมีกลยุทธ์เชิงรุกด้วย นั่นคือชักชวนให้คนรอบข้างถือศีล คิดดี พูดดี ทำดี ถ้าเขาดีพอ เขาก็จะเอาดีและพยายามจะพัฒนาตัวเองไปสู่ความเจริญ แต่ถ้าเขาชั่วมาก เขาจะออกไปจากชีวิตเราเอง เพราะทนความดีไม่ไหว นั่นเพราะชั่วในตัวเขามันไม่ยอมให้ทำดี

ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับทั้งตัวเขาและตัวเรา สำหรับตัวเขานั้นก็จะได้ไม่ต้องมาทำบาปเวรภัยกับคนอื่น เพราะมีดีมาขวางไว้ และได้เรียนรู้ว่าความดีนั้นเป็นอย่างไร เอาดีมาถ่วงไว้จะได้ไม่ชั่วมากจนเกินไป สำหรับตัวเรานั้นก็ได้อาจจะได้ทั้งบุญและกุศลเกิดขึ้นกับเรา เป็นพลังที่จะหนุนให้เราเกิดความสุขความเจริญ ห่างไกลคนพาล ปกป้องคุ้มครองตัวเองโดยธรรม

แม้แต่คนพาลที่เข้ามาในคราบของคนดี เป็นสัตว์ร้ายที่ปลอมตัวมา เป็นมารในคราบเทวดา แม้จะมีท่าทางดูดี คิดดี พูดดี ทำดี ในทีแรก แต่ถ้าเจอศีลเข้าไปแล้วก็ยากที่จะรอด เพราะศีลจะทำให้คนกิเลสหนาเกิดอาการร้อนรน ไม่เอาศีล รังเกียจศีล ไม่อยากถือศีล ลำบากในการคบหาคนมีศีล

ยิ่งมาดีเท่าไหร่ลองเพิ่มศีลเข้าไปเท่านั้น เดี๋ยววันหนึ่งก็ออกลายเอง ดีไม่ดีคุยกันไม่กี่วันก็หายไปจากชีวิตเลย นี่แหละพลังของศีลที่จะป้องกันคนชั่วที่จะมาในสารพัดลีลาด้วยท่าทีงามสง่าน่าอัศจรรย์ สุดท้ายต้องมาตกม้าตายด้วยศีลกันทุกรายไป

แต่สิ่งที่สำคัญคือ เรารู้จักศีลดีหรือยัง เข้าใจศีลดีหรือยัง สาระของศีลคืออะไร ศีลใดที่ควรใช้ ศีลใดที่เหมาะ ศีลใดไม่เหมาะ รายละเอียดของศีลนั้นต่างกันไป การใช้เพื่อประโยชน์ใดๆก็ต่างมุมกันไป เราจึงควรศึกษาในสาระและประโยชน์ของศีลกันให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น

เพราะการใช้ศีลในการป้องกันสิ่งชั่วนั้น จะใช้ได้เฉพาะในศีลในระดับที่ตนปฏิบัติไหว ใช่ว่าเราจะสามารถให้คนอื่นศึกษาในศีลที่เรายังไม่สามารถปฏิบัติและเข้าใจได้ นั่นหมายถึงถ้าเราไม่ศึกษาและปฏิบัติในสิ่งใด ก็จะไม่สิทธิ์ในการใช้คุณวิเศษของสิ่งนั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

27.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

 

คนอยากมีคู่ศึกษาไว้

May 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,828 views 0

(ผมจะทำยังไงดี เมื่อเมียจนไม่ลง : http://pantip.com/topic/33667527)

ตอนสุขเขาสุขด้วย แต่ตอนทุกข์นี่เขาไม่เอาด้วยนะ…

พึงระวังไว้เลยสำหรับเรื่องนี้ เพราะยากนักที่จะรู้ได้ ก็ตอนจีบกันคบกันก็มีแต่สร้างภาพให้ดูดีกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ที่ได้แต่งงานกันเพราะเสพแต่สุขร่วมกันนั่นแหละ

คนที่เขาผิดใจกัน มีปัญหากันจนทำให้ต้องเลิกกันก่อนแต่งงานนี่เขาโชคดี เพราะได้ทดลองมีปัญหาก่อนจะต้องเจอกับปัญหาที่หนีไม่ได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันที่เราจน วันที่เราป่วย วันที่เราดูแลตัวเองไม่ได้ เขาจะร่วมทนทุกข์กับเรา?

หรือวันที่เขาจน วันที่เขาป่วยจนดูแลตัวเองไม่ได้ จนต้องไปคอยดูแลเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้เขา เราจะดูแลเขาไหวหรือ? เราแค่คิดไปเองหรือเคยลองมาแล้ว เราเคยอดมื้อกินมื้อไหม? เราเคยดูแลคนป่วยไหม? เราเคยดูแลคนแก่ไหม?

…การมองโลกในแง่ดี หรือที่เขามักจะเรียกว่า “โลกสวย” บางครั้งก็เป็นความประมาท ที่ทำให้ชีวิตได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างที่ไม่มีวันแก้ไขได้ ทั้งหมดนั้นเพียงเพราะความอยากเสพในเรื่องคู่เท่านั้นเอง

คุยกับหลานสาว เรื่องมังสวิรัติ

May 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,384 views 0

หลานสาว 7 ขวบ คุยกันเรื่องเราเป็นสัตว์กินพืช แต่คนอื่นเขาเป็นสัตว์กินทั้งพืชทั้งเนื้อ (เรื่องก็เริ่มมาจากบทเรียนที่เขาเรียนรู้มาละนะ)

หลานก็บอกว่าแต่ก่อนน้าดิณก็กินเนื้อมา
เราก็ตอบว่า ก็ตอนนี้ก็เลิกแล้วไง
ว่าแล้วหลานก็บอกว่า หนูก็ทำได้
เราก็ตอบว่า ก็ลองทำสิ
หลาน : แต่หนูก็ต้องกินอาหารที่โรงเรียนทำให้อยู่ (ป.2)
เรา : ซื้อกินเองได้ค่อยกินก็ได้
หลาน : (ท่าทางมั่นใจ)

อืม…. อนาคตก็ยังมาไม่ถึงเนาะ ค่อยว่ากันตอนหลานโต แต่ไม่รู้กิเลสจะโตตามด้วยรึเปล่า สังเกตุว่าเด็กนี่จะมีเหตุผลไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่ผู้ใหญ่นี่เหตุผลในการที่จะไม่เลิกกินเนื้อสัตว์นี่ก็มีกันมากมายก่ายกอง น่าฟังน่าเชื่อเสียด้วยสิ 55

จะหาเหตุผลให้ตัวเองได้มีส่วนเบียดเบียนสัตว์อื่นโดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดบาป ก็ไม่แปลกอะไร ใครๆเขาก็ทำกัน แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่ลำบาก เพราะต้องเติมทั้งเนื้อทั้งผักจึงจะดำเนินชีวิตได้ ไม่เหมือนชีวิตที่กินแต่ผักก็ดำเนินชีวิตได้ง่ายกว่ากันเยอะ

แปลกนะ ที่คนเราคิดว่าการกินทั้งเนื้อทั้งผักเป็นเรื่องปกติ แต่กลับคิดว่าการกินผักอย่างเดียวเป็นเรื่องลำบาก ทั้งๆที่ค่าใช้จ่ายในการกินเนื้อมันก็มากกว่าผัก หาได้ง่ายกว่า(ปลูกเองได้) ช่วยให้ระบบร่างกายทำงานได้ดีกว่า

การเปลี่ยนมาทำให้ชีิวิตประหยัด สะดวก สบายกว่าเดิมนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดจริงหรือ?

คิดๆแล้วก็งงในตรรกะ เอาเป็นว่าโทษกิเลสไปแล้วกันนะ กิเลสนี่แหละตัวทำสับสน ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก …เบื่อมันจริงๆ

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

May 14, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 29,696 views 2

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

คู่บุญนั้นมีจริงไหม ลักษณะจะเป็นอย่างไร แล้วชาตินี้เราจะได้พบเจอหรือไม่ ในบทความนี้ก็จะมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นเหล่านี้กัน

คู่บุญคืออะไร

ความหมายของคู่บุญนั้นก็คือ คู่ที่พากันเจริญไปอย่างเดียว พากันทำสิ่งที่ดีงาม พากันชำระกิเลส พากันศึกษาธรรม เจริญในศีลขึ้นไปเรื่อยๆ ดูแลเกื้อกูลกัน เป็นกัลยาณมิตรที่คอยตักเตือน สร้างเหตุแห่งการพ้นทุกข์ไปด้วยกัน

การเป็นคู่บุญนั้นจะไม่พากันไปในทางเสื่อม ไม่พากันไปสะสมกิเลส ถ้าเป็นคู่ชายหญิง ก็จะไม่คบหากันเหมือนคู่รัก แต่จะมีสถานะเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลย เพราะการเป็นมากกว่าเพื่อนนั้นเป็นทางที่เสื่อมจากธรรม เป็นทางของกิเลส เป็นเรื่องของความหลง ผู้ที่จะพากันไปเจริญย่อมไม่ยินดีผูกมัดกันด้วยเรื่องทางโลกเช่นการแต่งงาน

เพราะการคบหากันเป็นคู่รักตลอดจนแต่งงานนั้น เป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยการบำเรอกิเลสแก่กัน เป็นการสร้างความผูกมัดในบ่วงกรรมของกันและกัน ผู้ที่จะพากันเจริญย่อมไม่ผูกมัดกันด้วยอกุศลกรรมใดๆ แต่จะผูกมัดกันด้วยกุศลกรรมเท่านั้น เรียกได้ว่าชั่วไม่ทำ พากันทำแต่ความดี

ซึ่งก็จะไม่มีความหลงหรือความลำเอียงใดๆ อันเกิดจากกิเลสให้ต้องพัวพันกันด้วยเรื่องอกุศล คู่บุญจึงเหมือนเพื่อนนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ที่เรามองว่าเหมือนกับเพื่อนคนอื่นทั่วๆไปบนโลก ดังนั้นจึงสามารถคอยตักเตือนให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้

คู่บุญเกิดมาได้อย่างไร?

คู่บุญเกิดมาจากกรรมดีที่ทำมาร่วมกันมาหลายต่อหลายชาติ จึงเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้กลับมาทำดีร่วมกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคู่บุญที่พากันเจริญ เพราะการจะมีคู่ปฏิบัติธรรมนั้นต้องหยุดชั่วทำดีให้มากพอที่จะมีกรรมดีให้คงสถานะมิตรต่อไปด้วย

การเป็นคู่รักกันนั้นยากยิ่งนักที่จะกลายเป็นคู่บุญ เพราะจะมีกรรมชั่วที่ร่วมกันเสพมากมาย ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งทะเลาะกัน ทั้งตบตีกัน ทั้งสมสู่กัน ถึงจะพากันทำดีในบางช่วงของชีวิตแต่ก็ต้องมารับกรรมชั่วที่ทั้งคู่ทำอยู่ดี จึงทำให้เกิดผลเจริญได้ยาก เพราะจะมีรักกันบ้าง ชังกันบ้าง โกรธกันบ้าง เกลียดกันบ้าง อาฆาตกันบ้าง คู่รักจึงมีหนี้บาปหนี้กรรมที่ต้องให้มาชดใช้กันมากกว่าพากันไปเจริญ

คู่บุญกัลยาณมิตร

การเป็นคู่บุญนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนต่างเพศ จะเป็นเพศเดียวกันก็ได้ วัยเดียวกันก็ได้ ต่างวัยก็ได้ ซึ่งก็คือคนที่เข้ามาเกื้อกูลกันและกันให้เจริญขึ้นไปในทางธรรม

ยกตัวอย่างเช่นพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร ท่านก็เป็นเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันมาหลายชาติ เกิดชาติไหนก็มักจะเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกัน พากันเจริญร่วมกันอยู่เสมอ นี้คือลักษณะของนักปฏิบัติธรรมที่เกิดมาเป็นคู่ บำเพ็ญเพียรเป็นคู่

ในกรณีต่างเพศหรือต่างวัยก็เช่นกัน สามารถเป็นคู่บุญได้ แต่ลักษณะของคู่บุญที่แท้จริงแล้วจะเอื้อให้เกิดมาเรียนรู้ร่วมกันด้วยโอกาสที่สะดวกที่สุด การมาเป็นเพื่อนนักปฏิบัติธรรมชายหญิงนั้นก็อาจจะไม่สะดวกนัก หรือในคู่ที่ต่างวัยกันก็อาจจะมีคนหนึ่งชิงตายไปเสียก่อน ดังนั้นคู่บุญที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาหลายต่อหลายชาติมักจะเกิดในเพศและวัย รวมถึงองค์ประกอบต่างๆในชีวิตที่ใกล้เคียงกันเพื่อเอื้อให้เกิดการเจริญในธรรมได้ดีที่สุด

คู่รักสู่คู่บุญ

หัวข้อนี้อาจจะถูกใจคนอยากมีคู่รักและเจริญในธรรมไปด้วย แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนจากคู่รักมาสู่คู่บุญนั้นจะต้องผ่านแบบทดสอบมากมาย

การเป็นคู่รักนั้นเกิดจากความหลงเสพหลงสุข เมื่อมีความรักก็อยากได้อยากเสพ จึงหาคนมาครองคู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคนที่มีความพยายามที่จะเจริญในธรรม ดังนั้นจึงต้องขัดเกลากิเลสของตนและคู่เพื่อให้พัฒนาสู่ภพที่เอื้อให้เกิดความเจริญสูงสุด

การขัดเกลากิเลสนั้นมีตั้งแต่การไม่พากันไปสู่ทางชั่ว ไม่บำรุงบำเรอกิเลสให้กันและกัน และในส่วนที่ยากที่สุดคือไม่สมสู่กัน เป็นเรื่องยากที่จะบอกให้คนรักไม่สมสู่กันตั้งแต่วันแรกที่คบหากันไปจนตาย เพราะถ้าไม่ต้องการสมสู่กันแล้ว น้ำหนักในการมีคู่ครองก็แทบจะเบาลงไปในทันที ดังนั้นปราการแรกสู่ความเจริญคือให้เว้นขาดจากการสมสู่กับคู่ของตนตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน

เมื่อเป็นคู่กันแล้ว แต่งงานกันแล้ว แม้จะไม่สมสู่กันก็ยังไม่เรียกได้ว่าหลุดพ้นหรือสามารถเจริญในธรรมได้ดีนัก เขาทั้งคู่ต้องสลัดความหลงในรูปของกันและกัน ผู้ชายก็ไม่หลงในความเป็นหญิง ผู้หญิงก็ไม่หลงมัวเมาในรูปกายของตัวเองและไม่หลงยึดว่าต้องมีชายมาบำเรอตน

ปฏิบัติไปเรื่อยๆหลายภพหลายชาติ ผู้หญิงที่สามารถทำลายภาวะของความเป็นหญิงในตนลงได้ ตัดเหตุแห่งความเป็นหญิงได้ ก็จะเปลี่ยนมาเกิดเป็นเพศชายได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพศชายด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่ หากยังตัดความอยากในการสมสู่หรือความรักใคร่ออกไม่หมด ในชาติใดชาติหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นชายรักชายก็ได้ ไปๆมาๆ กิเลสเพิ่มก็เวียนกลับสลับกันไปเป็นชายหญิงกันใหม่

ดังนั้นกว่าจะเปลี่ยนคู่รักมาเป็นคู่บุญได้แท้จริงนั้นยากมาก ต้องพรากจากการสมสู่ ต้องพรากจากความหลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกรรมที่สะสมมาหลายภพหลายชาติ ใช่ว่าจะหลุดพ้นกันได้ง่ายๆ แม้คนหนึ่งไม่อยากสมสู่ แต่อีกคนอยากสมสู่ สุดท้ายก็ต้องมาคอยบำเรอกัน ซึ่งก็จะผูกติดกันไปแบบคู่รักเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน

ถ้าถามว่าคู่รักเช่นนี้ทำบุญได้ไหม ก็ตอบว่าได้ แต่ไม่สามารถทำได้ดีและเจริญได้เร็วเท่ากับคู่บุญที่เป็นเพื่อนกัน ถ้าเทียบกันแล้วก็เหมือนกับม้าที่วิ่งแข่งกับเต่า ดังนั้นหากจะเรียกคู่รักว่าคู่บุญนั้นก็คงจะไม่เข้าในความหมายของคู่บุญที่ยกไว้ในตอนต้น จึงสรุปว่าการยังอยู่ในภพของคู่รักนั้น จึงไม่เรียกว่าคู่บุญ เพราะยังมีเหตุในการทำบาปและความเสื่อมแห่งมิตรภาพอยู่ในความเป็นคู่รักนั้น

คู่บุญหรือคู่บาป

มาถึงคู่สุดท้าย คือคู่บาป คู่ที่พากันใช้ชีวิตไปตามสังคมและโลก ทำทานบ้าง เข้าวัดบ้าง สนองกิเลสกันบ้าง สมสู่กันบ้าง เรียกง่ายๆว่าใช้ชีวิตไปตามวิถีของคนทั่วไปนั่นเอง

การมีคู่แบบนี้ไม่เป็นบุญสักนิดเดียว เพราะบุญคือการชำระกิเลส แต่คู่รักที่ไม่ยินดีถือศีล ไม่ยินดีในการลดกิเลส ไม่ละเว้นการสมสู่ ไม่สลัดความหลงในรูปของกันและกัน แถมยังพากันบำเรอกามกันอย่างไม่เกรงกลัวพิษภัยของบาปจึงพาเป็นคู่ที่พากันไปแต่ทางเสื่อม หรือที่เรียกว่าคู่บาป

เขาเหล่านั้นก็จะเกิดมาเป็นตัวเวรตัวกรรมของกันและกัน คอยฉุดกันลงนรก หากคนใดคนหนึ่งทำกุศลมากพอจนจะได้ฟังธรรมที่พาพ้นทุกข์ อีกคนหนึ่งก็จะฉุดไปลงนรก ไม่ยอมให้อีกคนได้โผล่พ้นขึ้นมาจากใต้กองกิเลส เพราะกลัวว่าถ้าหากคู่ของตนทิ้งตนไปสนใจธรรมแล้วตนเองจะไม่เหลือใครให้เสพ แล้วก็ผลัดกันสกัดกั้นกันและกันอย่างนี้ไปอีกหลายภพหลายชาติ เป็นภาระของกันและกัน เป็นตัวถ่วงความเจริญของกันและกัน เป็นบาปของกันและกัน

ข้อสังเกตง่ายๆคือคู่บาป จะพาให้เราลดศีลของเราหรือลดความเจริญในธรรม คือธรรมที่มีอยู่แล้วก็เสื่อมลง เช่น เราเป็นคนที่กินมังสวิรัติอยู่แล้ว แต่พอไปมีคนรัก เขาไม่ยินดีที่จะถือศีลตามเรา ถึงแม้จะพยายามทำตามก็ทำได้ยากได้ลำบากจนเขารู้สึกกดดัน เราจึงรู้สึกเห็นใจเขาและเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นเพื่อนเขา

หรือผู้หญิงที่ตั้งใจจะไม่สมสู่จนกว่าจะแต่งงาน แต่เมื่อเจอกับคู่บาปที่มีถ้อยคำสนองกิเลส คำหวานที่ล่อลวงให้ยอมพรากพรหมจรรย์ไปให้เขาก่อนถึงวันที่คิดว่าสมควร ลักษณะเหล่านี้คือคู่ที่พาให้ตกต่ำลง ให้เสื่อมจากศีลธรรมที่เป็นมาตรฐานที่เคยตั้งไว้

หรือพอเราจะไปทำกุศล ไปทำทาน เข้าวัดปฏิบัติธรรม ไปเจอครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่จะไปบวช คนรักของเราก็จะกั้นขวางไว้ไม่ให้เราได้เข้าใกล้ธรรม ไม่ให้เราได้สร้างกุศลหาเจริญในธรรมนานนัก หรือที่หนักๆเลยก็พวกที่จับพระสึกมาแต่งงานก็มีให้เห็นกันมาแล้ว นี่คือพลังของคู่บาปที่จะพยายามพาเรากลับไปนรก กลับไปในทางเสื่อมและจะต้องวนเวียนคอยลากกันและกันกลับไปนรกเพราะจะไม่มีใครยอมให้ใครทิ้งกันไปเจริญ จะต้องอยู่สนองความใคร่อยากด้วยกัน จะต้องมาบำเรอกิเลสของกันและกัน จะต้องเป็นตัวตนของกันและกัน ชาตินี้คนหนึ่งลากอีกคนลงนรก อีกชาติหนึ่งก็จะโดนแก้แค้นโดยการถูกลากลงนรก ผูกพันกันไปด้วยหนี้บาปหนี้กรรมกันอีกหลายกัปหลายกัลป์

. . . จะเห็นได้ว่าการเป็นคู่รักกันโดยไม่มีศีลธรรมนั้นจะพาให้หลงวนอยู่ในกองกิเลสยากจะหลุดออกมาได้ ส่วนคู่รักที่มีศีลมีธรรมนั้นก็กว่าจะทำลายความเป็นคู่รักให้เหลือแต่คู่บุญได้นั้นก็ยากเย็นแสนเข็ญ กามก็อยากเสพ กุศลก็อยากทำ กว่าจะถึงคู่บุญจริงๆนั้นก็ไกลแสนไกล

ดังนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรกจะดีกว่า อย่าไปหลงผูกกันให้ลำบากต้องมาแก้กันทีหลัง เพราะตอนแก้มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนผูก เหมือนกับตอนที่กิเลสเข้ามาแล้วมันไม่ได้ล้างออกไปกันได้ง่ายๆ เพราะถึงแม้จะมีวิธีทำลายกิเลสที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วประกาศไว้อยู่ ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำใจให้เข้าถึงแก่นแท้แห่งความรู้เหล่านั้นได้ง่ายๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

13.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)