คู่มือคนโสด
โสดโหยหวน
โสดโหยหวน
—————
โสดโหยหวน คืออาการของจิตใจที่ขาดพร่อง จึงซัดส่ายแสวงหาดิ้นรนเพื่อใช้ประโยชน์จากความโสดให้ตนได้ผลประโยชน์บางอย่างมาเสพสมดังใจหมาย
โสดโหยหวน นั้นจะแสดงออกทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งจะพยายามทำให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตนโสด ตนยังมีอยู่ ตนอยู่ตรงนี้ ตนยังมีคุณค่า ตนดีแบบนี้ ตนมีสิ่งที่ดีรอให้คนมาพิสูจน์อยู่ ฯลฯ ผ่านกลยุทธ์การโฆษณาที่หยาบอย่างชัดเจนไปจนถึงลึกลับซับซ้อน เช่นการแสดงตนว่าโสดพร้อมสื่อยั่วยุต่าง ๆ ดังเช่น รูปถ่าย วีดีโอ หรือข้อความที่หยอกล้อยั่วเย้ามอมเมา ถ้าหยาบ ๆ ก็แต่งหน้าแต่งตัวให้มันจัด ๆ ให้โป๊เปลือย ให้หล่อ ให้สวย ให้ดูแล้วหลง และจะละเอียดซับซ้อนลดความหยาบไปเรื่อย ๆ จนเหลือแต่การแสดงตัวตน เช่นการทำให้ผู้อื่นรู้ว่าตนมี ตนอยู่ ตนเป็นเช่นนี้ เพื่อหวังให้ใครสักคนมาหลงชอบในความเป็นตน
โสดโหยหวน ในที่ลึกลับที่สุดคือไม่ออกอาการทางกายและวาจาแล้ว แต่ใจยังโหยหวนอยู่ แม้ภายนอกจะดูดี ไม่สร้างภาพ ไม่เรียกร้องความสนใจ แต่ในใจกลับซัดส่าย ไม่อยู่นิ่ง อยากได้ อยากเป็น อยากมี ไม่ยินดีในความโสดทั้งของตนเองและผู้อื่น มีความยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้เสพผลประโยชน์ที่แลกไปด้วยความโสดเช่น เห็นเขารักกันก็มีจิตไปยินดีกับเขา เห็นเขาแต่งงานกันก็มีจิตไปยินดีกับเขา เห็นเขาได้ลาภยศสรรเสริญสุขจากการสละโสดก็มีจิตไปยินดีกับเขา ฯลฯ แบบนี้ยังเรียกว่ายังมีความโสดโหยหวนอยู่ภายใน ที่ยังไม่แสดงออกมานั้น อาจจะด้วยหลายสาเหตุหลายประการ เช่น มารยาท ประเพณี ค่านิยม ความกลัว ความยึดมั่นถือมั่นในข้อปฏิบัติบางอย่าง หรือยังไม่มีสิ่งกระตุ้นที่เพียงพอ เป็นต้น
ในท้ายที่สุด คนที่ยังมีสภาพของ “โสดโหยหวน” ก็จะแสวงหาใครสักคนที่จะทำให้สละโสดนั้นไปได้ เพื่อแลกกับอะไรก็ตามที่เขาหรือเธอหลงว่าเป็นสุขนั่นเอง
11.2.2560
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ข้อสอบคนโสด จะผ่านโจทย์นี้ได้อย่างไร?
ข้อสอบคนโสด จะผ่านโจทย์นี้ได้อย่างไร?
การจะเป็นคนโสดที่มั่นคงกับความโสดได้อย่างไม่หวั่นไหว แม้จะมีคนที่ถูกใจเข้ามาก็ยังยินดีในความเป็นโสดได้อย่างผาสุกนั้น เป็นโจทย์ที่ยากยิ่งนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้ แต่ก็ไม่ยากเกินไปนักหากเรามีการศึกษาที่ถูกหลัก
ศาสนาพุทธกับการมีคู่
ศาสนาพุทธไม่ได้มีกฎห้ามฆราวาสมีคู่ การมีคู่ครองนั้นเป็นสิทธิของแต่ละคน แต่การเป็นโสดก็เป็นสิทธิที่พึงได้เช่นเดียวกัน
ศาสนาพุทธได้มีคำสอนเกี่ยวกับความรักดังเช่นว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ การมีคู่นั้นเป็นดั่งบ่วงที่คล้องเราไว้กับความทุกข์ แต่ผู้ที่มีความเห็นตรงกันข้ามนั้นมีอยู่ เช่น การมีคู่รักนั้นคือความสุขคือความสมบูรณ์ของชีวิต หรือเขาจะเข้าใจว่ารักนั้นมีทุกข์จริง แต่ก็มีสุขร่วมด้วย หรือการมีคู่ทำให้เราพัฒนาตนเองได้ โดยรวมๆ แล้วคือพยายามสรรหาข้อดีของการมีคู่ ซึ่งหมายความว่ามีทิศทางไปทางตรงกันข้ามกับหลักคำสอนของศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธสอนให้เราไปสู่การพ้นทุกข์ แต่ผู้ที่หลงผิด(มิจฉาทิฏฐิ) ก็จะไปในทิศทางที่เป็นทุกข์
ตามหาแนวทางปฏิบัติ
เมื่อเราต้องการจะพัฒนาตนเองไปสู่ความโสดที่ผาสุกและยั่งยืน ไม่ใช่โสดรอเสพ ไม่ใช่โสดเพราะหาไม่ได้ แต่เป็นความโสดที่มั่นใจแล้วว่านี่แหละคือทางแห่งการพ้นทุกข์ ทางอื่นไม่ใช่ แม้เรามีความเห็นที่ตรงไปสู่ทางพ้นทุกข์แล้ว แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ก้าวแรก ส่วนเป้าหมายจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ไม่รู้ และการจะเดินไปสู่เป้าหมายนั้นไม่ง่าย มารมักจะแปลงร่างมาลวงให้หลงได้เสมอ มาในคราบเทพบุตรบ้าง มาในคราบเทพธิดาบ้าง
เมื่อทางปฏิบัตินั้นดูไม่ชัดเจน เราจึงจำเป็นต้องมีผู้ที่รู้จริงเกี่ยวกับคุณค่าของความโสด ผู้ที่มีความเห็นว่าการอยู่เป็นโสดนี่แหละคือความผาสุกที่สุดแล้ว การมีคู่ครองนั้นเป็นทางแห่งทุกข์ รู้เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้ถึงสภาพที่ทุกข์ดับ และรู้วิธีปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์นั้นๆ ซึ่งเข้าใจภาวะนั้นจริงในตนเอง เป็นในตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่ท่องกันตามตำรา มีความเที่ยงแท้ ยั่งยืน ไม่เวียนกลับไปโสด หรือเหลาะแหละโลเล เป็นไม้ปักเลน
เมื่อได้เจอกับผู้รู้แล้วก็ศึกษาตามที่ท่านเหล่านั้นเป็น เพื่อที่เราจะได้มีหลักยึดในการปฏิบัติว่า มีผู้ปฏิบัติได้จริงเช่นนี้ ถ้าเราปฏิบัติตาม เราก็จะได้ผลเหล่านี้เช่นกัน
คัมภีร์คนโสด
คู่มือคนโสดที่ตกทอดกันมาหลายพันปีนั้น เป็นสมบัติที่ชาวพุทธรู้จักกันดี นั่นคือพระไตรปิฎก แม้ว่าพระไตรปิฎกจะมีเนื้อหาหลากหลาย แต่ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับ “โทษภัย” ของการมีคู่อยู่ไม่น้อย เช่นในอนุตตริยสูตรได้กล่าวไว้ว่า การได้ภรรยานั้นเป็นลาภก็จริง แต่ก็ถือเป็นลาภเลว หรือ “ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง” ยิ่งถ้าอ่านเกี่ยวกับพระวินัยของผู้บวชเพื่อการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์อย่างจริงจังแล้วล่ะก็ จะรู้ทันทีเลยว่า ศัตรูชีวิตก็คือสตรี…
หนีรอตาย หนีรอโต
โดยพื้นฐานของนักปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อเจอกับสิ่งที่ตนเองรู้สึกชอบใจ ก็ควรจะหลีกหนีหรือรักษาระยะห่างที่เหมาะสม ไม่ใกล้ชิดจนเกินไป จนจิตไปสะสมความรักใคร่ที่มากขึ้น ในขณะที่คนทั่วไปนั้นทำตรงกันข้าม คือมุ่งหน้าหาสิ่งที่ตนเองชอบใจ และพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่มากขึ้น
การหนีห่างออกมานั้น แม้จะช่วยไม่ให้เกิดการปะทะที่มากจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายว่าจะหนีได้ตลอดไป ผู้ที่เอาแต่หนี ไม่ยอมศึกษาเพื่อให้ความอยากมีคู่นั้นจางคลายลงไป ก็ทำได้เพียงแค่ “หนีรอตาย” เท่านั้น ไม่พลาดชาตินี้ ก็ไปพลาดชาติหน้า การหนีนั้นแท้จริงแล้ว ก็เพื่อใช้เวลาในช่วงที่ห่างออกมาเร่งศึกษาและปฏิบัติตนให้พ้นจากความอยากมีคู่ ให้เกิดจิตที่ตั้งมั่นในความโสด ให้เกิดปัญญารู้แจ้งในโทษชั่วของการมีคู่นั้น การหนีนี้คือ หนีเพื่อรอการเติบโต หรือ “หนีรอโต”
ศึกษาเพื่อก้าวข้ามความอยากมีคู่
การศึกษาของพุทธนั้น มีไว้เพื่อความเจริญโดยลำดับ มิใช่เพื่อดับสิ้นเกลี้ยงในทันที ซึ่งจะมีความเจริญพัฒนาไปตั้งแต่ คนโสดที่อยากมีคู่ (กามภพ) ไปเป็นคนโสดที่ยังอยากมีคู่แต่เห็นโทษก็เลยไม่มีคู่ (รูปภพ) ไปเป็นคนโสดที่ไม่ยินดีในการครองคู่แต่ลึกๆ แล้วยังคงเหลือความอยากมีคู่ ยังมีความขุ่นข้องหมองใจ ไม่ยินดีในความโสดอย่างเต็มที่ (อรูปภพ) ไปจนถึงขั้นดับความอยากมีคู่จนสิ้นเกลี้ยง
การที่เราจะศึกษาและปฏิบัติเพื่อข้ามความอยากมีคู่ได้นั้น จะต้องเริ่มจากศีล คือมีเจตนาละเว้นการครองคู่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการปฏิบัติ เมื่อมีเป้าหมายที่จะขัดเกลากิเลสนั้นแล้ว ก็ให้พัฒนาจิตของตนด้วยสมถะ เช่น การนั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดลมหายใจ หรือจะเป็นสมถะในการงานต่างๆ เช่น ขุนดิน ตัดกระดาษ เย็บผ้า ออกกำลังกาย โยคะ ฯลฯ ฝึกจิตให้เกิดความสงบบ่อยๆ ก็จะสะสมเป็นกำลังของจิต ที่จะช่วยเพิ่มพลังไม่ให้หวั่นไหวฟุ้งซ่านเมื่อต้องเผชิญกับเนื้อคู่ ( ตัวเวรตัวกรรม )
ในส่วนของปัญญานั้น เกิดจากการรู้แจ้งโทษภัยของการมีคู่ได้ครบทุกเหลี่ยมทุกมุมตามที่ตนเองเคยหลงติดหลงยึด ซึ่งการจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นมาได้นั้น ก็ต้องแก้ไขความเห็นผิดต่างๆ ด้วยธรรมะ ด้วยคำตรัสของพระพุทธเจ้า ด้วยประสบการณ์ของผู้รู้ และทำความรู้นั้นให้มีในตน
เดิมทีนั้นเรามีแต่อธรรม แม้จะอยากเป็นโสด แต่ก็ยังเป็นเพียงความใฝ่ดี ยังไม่เกิดผลดีนั้นจริง เราก็ต้องเอาธรรมที่ตรงกันมาล้างอธรรม เราหลงติดหลงยึดในสิ่งใดเราก็เอาธรรมะนั้นมาล้าง กิเลสจะบอกแต่ประโยชน์ของการมีคู่ เราต้องใช้ปัญญาเอาโทษของการมีคู่นั้นมาหักล้าง ซึ่งในช่วงแรกของผู้ปฏิบัติใหม่นั้น กิเลสมักจะมีแรงมากกว่า เรียกว่าเถียงไม่ทันกิเลส แต่พอเรียนรู้ไป ขยันฝึกไป จะเริ่มรู้ทางกิเลสและเถียงกิเลสเก่งขึ้น อันนี้เรียกว่าปัญญาที่จะมาชำระกิเลส มีทั้งแบบจำมา และรู้จริงในตน แบบที่จำหรือเรียนรู้มาก็จำเป็นต้องเรียนรู้ จำเป็นต้องใช้ แบบที่รู้จริงในตนก็จำเป็นจะต้องทำให้เกิดขึ้นในตนเอง ถ้ามันไม่เกิด เอาแต่จำเขามา มันก็จะไม่ไปไหน เพราะยังไม่สามารถสร้างความเจริญขึ้นในตนได้ ยังไม่สามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตนได้
ลงสนามสอบเมื่อจำเป็น
สำหรับเรื่องคู่นั้นเป็นเรื่องที่อันตราย พลาดแล้วพลาดเลย แก้ไขยาก เช่น คบหากันไปแล้ว แต่งงานกันไปแล้ว มีบุตรร่วมกันไปแล้ว พอเข้าไปแล้วมันไม่ได้ออกกันง่ายๆ ดังนั้นพื้นฐานของนักปฏิบัติธรรมก็คือหนีห่างไว้เป็นหลัก ปะทะเมื่อจำเป็น นั่นหมายถึงในเรื่องคู่ไม่ต้องขยันไปหาสนามสอบที่ไหน ไม่ต้องไปสมัครเพื่อทดสอบฝีมือตัวเอง เพราะถ้าหลงแล้วมันหลงเลย รู้ตัวอีกทีก็อาจจะมีลูกไปแล้วก็ได้
เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเราจะไม่ได้สอบ ฝึกปฏิบัติมาอย่างเต็มที่แล้วกลัวจะไม่เจอโจทย์ (ร้อนวิชา) เพราะหลายชาติที่ผ่านมาของเรา กว่าจะถึงวันที่อยากออกจากนรกคนคู่ ส่วนมากแล้วก็ต้องมีคู่มามากมายจนเห็นทุกข์โทษภัยกันมาแล้วทั้งนั้น นั่นหมายถึงเราเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับใครต่อใครไว้มากมาย ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโจทย์ เนื้อคู่(ตัวเวรตัวกรรม) ที่จะเข้ามาพิชิตใจเรานั้น มีอยู่ไม่ใช่น้อยอย่างแน่นอน
แต่เราก็จะไม่ประมาท ถึงแม้ว่าวันสอบยังไม่มาถึง เราก็ซ้อมทำโจทย์กันไปก่อน เห็นคนนั้นคนนี้เขารักกัน เราก็ตรวจใจเราไป ว่าเรายังอยากเป็นอย่างเขาอยู่ไหม เรายังมีจิตยินดีในแบบของเขาอยู่ไหม เรายินดีในการเป็นโสดของเราอยู่ไหม หรือมีอาการน้อยใจ หดหู่ใจ ขุ่นใจ แอบอิจฉาเขาอยู่ลึกๆ เราก็ขยันตรวจใจ หากิเลสแล้วทำลายมันไปเรื่อยๆ
โสดอย่างเป็นสุข
การผ่านโจทย์จากโสดรอเสพไปสู่โสดอย่างเป็นสุขนั้น ไม่ได้ทำได้ง่ายเพียงแค่ครั้งเดียวผ่าน เราอาจจะต้องลงสนามสอบหลายครั้ง สอบตกกันหลายครั้ง ต้องมาสอบซ่อมกันอีกหลายครั้ง ถึงแม้จิตใจเราจะหวั่นไหว รู้สึกอยากมีคู่ แต่ถ้าเราอดกลั้นฝืนทนข่มใจ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามกิเลส แล้วกลับมาฝึกใจใส่ปัญญาใหม่ เราก็จะมีโอกาสได้สู้เรื่อยๆ และปฏิบัติธรรมก็เป็นแบบนี้ สู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ เพราะชนะจริงๆ นั้นมีครั้งเดียว แต่ในระหว่างที่เราศึกษา เราก็เก็บปัญญาตามทางมาว่าเราแพ้เพราะอะไร พลาดไปโดนเหลี่ยมไหน มันมีรูรั่วตรงไหน เราก็กลับมาอุดรูรั่วนั้นแล้วค่อยไปสู้ใหม่
การปฏิบัติธรรมนั้น ต้องมีผัสสะเป็นเหตุเกิด นั่นหมายถึงจะนั่งนึกคิดเอาเองไม่ได้ว่าเราหลุดพ้นจากความอยากมีคู่แล้ว เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทบกับสิ่งที่เราเคยชอบใจ แล้วไม่มีอาการสั่นไหวใดในจิตใจเลย มีเพียงการรับรู้ตามจริง ไม่ดูดดึง ไม่ผลักไส คือไม่มีความรู้สึกลำเอียงใดๆ เกิดขึ้นกับสิ่งนั้น และไม่มีอคติใดๆ เกิดขึ้นเช่นกัน จึงเป็นสภาพไม่ดูดไม่ผลัก ไม่รักไม่เกลียด เป็นสภาพไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ใช่ว่ายังเห็นว่าการมีคู่นั้นเป็นเรื่องสุขอยู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นยังไม่พ้น และที่สำคัญไม่ว่าจะต้องกระทบ เผชิญหน้า พูดคุย ทำอะไรต่อมิอะไร เขาทำสิ่งดีให้เรา เขาทำเป็นง้องอนเรา เขายั่วเรา เขาบอกรักเรา เขาอ้อนวอนขอให้เราเป็นคู่ เราก็จะไม่มีอาการหวั่นไหว จิตใจไม่เคลื่อนไปจากความเห็นที่ว่าความโสดคือความผาสุกในชีวิตเลย สุดท้ายไม่ว่าจะกระทบสักแค่ไหนในปัจจุบัน ตรวจใจไปถึงเหตุการณ์ในอดีต จินตนาการไปถึงอนาคต ก็ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่จะทำให้เราหวั่นไหวเผลอตัวห่างจากความโสดได้เลย แล้วก็ตรวจใจซ้ำลงไปให้ละเอียดว่าแม้ธุลีของความลังเลแม้น้อยเดียวก็ไม่มีในจิต ก็จะเข้าถึงสภาวะของความโสดอย่างเป็นสุขได้นั่นเอง
….การอยู่เป็นโสดนั้นถือเป็นโจทย์ปราบเซียนโจทย์หนึ่ง เพราะไม่ง่ายที่คนทั่วไปจะทำได้ แม้ผู้มีศีล ๕ อย่างตั้งมั่นในจิตก็ยากจะต้านทานความอยากมีคู่ได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาท ควรระลึกไว้เสมอว่าก่อนวันสอบจะมาถึง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านกำลังจิตและกำลังปัญญา เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากโจทย์นรกคนคู่นี้ให้ได้ อย่างน้อยๆ ก็ให้สามารถคงสถานะโสดไว้ได้ แม้จิตใจจะยังหวั่นไหวก็ตามที
24.7.2559
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
วิ่งสู้ อย่าไปฟัด : หนีรัก หนีนรก หนีกันข้ามภพข้ามชาติ
โจทย์ของคนโสดที่ต้องการชีวิตที่ผาสุก
ถ้าคนทั่วไปมีคนถูกใจเข้ามา เขาก็จะลองพูดคุย ลองคบหากัน ถ้าถูกใจจริงๆ ก็จะเพิ่มความสัมพันธ์กันต่อไป แต่สำหรับคนโสดที่อยากจะหนีออกจากวนเวียนของคนคู่นั้น ยาก…กว่า..ที่.คิด
ทันทีที่เราตั้งใจว่าจะโสด เพื่อความผาสุกที่ยิ่งกว่า ไม่ใช่โสดเพื่อรอเสพ โสดเพราะไม่มีให้เสพ หรือโสดให้ท่า คือโสดจริงๆ โสดไปจนตายเลย มีความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่าโสดนี่แหละดี เราจะอยู่เป็นโสดตลอดไป ซึ่งแน่นอนว่าในขั้นนี้เรียกว่ามีความเห็นที่ถูกตรงแล้ว คือมีสัมมาทิฏฐิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีสัมมาสมาธิ เพราะยังเป็นเพียงแค่ความเห็น แต่ยังไม่มีธรรมะนั้นจริงในใจ คือยังอยู่ในขั้นเดินมรรค แต่ยังไม่ได้ผล
เมื่อเราตั้งจิตว่า เราจะโสด ฟ้า(ผลของกรรม) จะส่งโจทย์ เข้ามาทดสอบความจริง ทดสอบธรรมะของเราว่าแท้หรือไม่ และเป็นแบบฝึกหัดให้เราเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามไปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่จะพ่ายแพ้ เพราะกิเลสนี่มันร้ายกว่าเรามาก ในสภาพที่ธรรมะของเรายังไม่เจริญเต็มที่ การจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราคาดว่าจะแพ้นั้น ไม่ใช่แนวทางที่ดีเลย ดังนั้นเราจึงมาชวนกันหนี! หนีจากตัวเวรตัวกรรม หนีจากโอกาสที่จะได้เสพสมใจกิเลส
เมื่อตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะอยู่เป็นโสด เราจะเจอโจทย์ที่โหดตามธรรมที่ควรของเรา ใครที่ยังติดความงามอยู่ ฟ้าก็จะส่งสาวสวยหนุ่มหล่อมา เขาจะเข้ามาในชีวิตเราแบบเนียนๆ เหมือนมาทางด่วนไม่ต้องฝ่ารถติดยังไงอย่างนั้น แล้วเราจะทนได้ไหม เราจะผ่านไปได้ไหม ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หนีก่อน อย่าเพิ่งเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จอย่างเดียว
ถ้าเราผ่านด่านความงาม (กาม) ก็จะมาเจอกับโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะมีใครสักคนที่อัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา และทำให้เรารู้ว่าถ้าเราไปครองคู่เขา เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ตลอดชีวิต ถ้าหนักๆ ก็เรียกว่าทั้งหน้าตาดี ทั้งมีฐานะ มีความรู้ มีหน้าที่การงานดี ฯลฯ เข้ามาใกล้ชิด พาให้คิด พาให้เพ้อฝัน ณ จุดนี้เรายังจะโสดไหวอยู่รึเปล่า อุดมการณ์ของเรายังหนักแน่นอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็หนี!
ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันเช่น เราเคยคบกับคนหน้าตาดีมา เราก็หน้าตาดีและมีฐานะ เราอาจจะไม่อยากเสพสองสภาพแรกสักเท่าไหร่เลยผ่านมาได้ง่ายๆ แต่ถ้าเรามาเจอกับคนดีล่ะ คนดีที่เขามีชีวิตดีๆ พยายามทำดี พร้อมทั้งอุดมไปด้วยลาภ สักการะต่างๆ เราจะทนไหวไหม เขาก็เป็นคนดีนะ นิสัยดีนะ มีธรรมะด้วย เราจะหวั่นไหวไปร่วมหัวร่วมหางกับเขา หรือเราจะหนี!
สุดท้ายแม้เราเป็นคนที่ไม่สนใจหน้าตา ลาภ ยศ ความดี ฯลฯ อะไรเลยก็ตาม แต่ถ้าเรามาเจอคนที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อที่จะบรรลุมรรคผลเหมือนเราล่ะ เขาจะเดินไปทางเดียวกับเราเลยนะ เราจะรับเขาเข้ามาในชีวิตของเราไหม เราจะเลิกพึ่งตนไปพึ่งเขาหรือไม่ หรือเราจะหนีห่างออกมาในระยะที่สมควร ไม่เกินเลยไปกว่าเพื่อน
ถึงจะบอกว่าหนี … แต่ในความจริงมันก็ยากจะหนีพ้น เพราะโจทย์จะเข้ามากระทุ้งกระแทกกระทั้นให้กิเลสนั้นออกอาการ คนปากหนักใจแข็งที่ไม่คิดว่าจะรักใครอีกก็อาจจะหวั่นไหวได้ เราหนีไปที่ไหนเขาก็จะตามไป ถึงคนหนึ่งไม่ตาม แต่ก็จะมีอีกคนหนึ่งตามมา จะมีคนเข้ามาใกล้ชิดเราอยู่เสมอ เราหนีเข้าป่า ก็จะมีคนเข้ามาหาในป่า เราหนีเข้าวัด เราก็จะเจอกับคนแบบนั้นในวัด เอาเป็นว่าไปไหนก็จะเจอ นั่นเพราะเรานั่นแหละที่เป็นตัวดึงดูดเขาเข้ามา เป็นผลของกรรมของเราเองที่จะเข้ามาทดสอบความแท้ ของความโสดของเรา
ดังนั้นในการปฏิบัติก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก เพราะยากนักที่ลูกหนูจะสู้กับสิงโตได้ ถึงจะใกล้ตัวก็ควรวางใจให้ห่างเอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้สู้ ถ้าวันหนึ่งเราเติบโต เรามีอินทรีย์บารมีแก่กล้า ก็ต้องกลับมาเผชิญหน้าสู้กันเพื่อพิสูจน์มรรคผลกันอยู่ดี
ใครที่ไม่แน่ใจก็ยังไม่ต้องรีบพิสูจน์กันมาก เพราะโดนลากลงนรกกันมาเยอะแล้ว ถึงจะบวชเป็นพระแก่พรรษา มีลูกศิษย์มากมาย เขาก็จับสึกเอาไปเป็นคู่ได้ ถ้าเราไม่ใช่ของแท้แล้วไปพัวพันเข้ามากๆ นี่เขาลากลงนรกเลยนะ พอคนหลงแล้วนี่มันหลงเลย มันถอนตัวยาก กว่าจะเห็นโทษของกิเลสนี่ก็ไม่ง่าย ดีไม่ดีตีกลับเห็นกิเลสว่าเป็นของดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นว่าการมีคู่นั้นดี รู้อย่างนี้เรามีคู่ไปตั้งนานแล้ว จะมาทนโสดอยู่ทำไม! มันตีกลับไปแบบนี้ก็ได้นะ
– – – – – – – – – – – – – – –
21.7.2559